ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 39 เพียรเยือนกระท่อมสามหน (4)
เมื่อเงาร่างของคนเหล่านั้นหายลับไป นิสัยเดิมของหลี่เสี่ยนก็โผล่มาทันที เขาดึงเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่งตรงตำแหน่งถัดมาตามใจชอบ แล้วบ่นว่า “เสด็จพี่ ข้าทำเรื่องนี้พังเสียแล้ว สุยอวิ๋นมิมีทางฟังคำไกล่เกลี่ยของข้าแน่”
หลี่จื้อมิถือสากิริยาท่าทางอันเหิมเกริมของหลี่เสี่ยนแม้แต่น้อย สรวลตรัสว่า “ก่อนเจ้าไปมิได้ตบหน้าอกบอกว่าทำสำเร็จแน่หรือ”
หลี่เสี่ยนสีหน้าอับอาย “เรื่องนี้ โชคไม่ดีจริงๆ”
กล่าวจบหลี่เสี่ยนก็เล่าเรื่องราวในวันนี้ออกมา หลี่จื้อฟังจบก็ยิ้มเจื่อน หลี่เสี่ยนกล่าวต่อด้วยสีหน้าจริงจัง “เสด็จพี่ ดูท่าสุยอวิ๋นจะเพียงขุ่นเคืองชั่วคราวเท่านั้น รอเวลาผ่านไปสักหน่อย เขาต้องคิดดูใหม่แน่ ท่านมิต้องร้อนใจไป ตอนนี้สุยอวิ๋นลงเรือลำเดียวกับพวกเราแล้ว เขามิมีทางมองดูเรือของพวกเราล่มหรอก”
หลี่จื้อยิ้มเจื่อน “เวลามิคอยท่า หากผ่านไปอีกสักสองสามเดือน เกรงว่าแนวป้องกันของเจียงไหวคงแข็งแกร่งประหนึ่งปราการเหล็ก พวกเราคงยิ่งมิมีโอกาส หากตอนวางแผนปราบหนานฉู่ขาดความเห็นของสุยอวิ๋น ข้ามิวางใจจริงๆ
หนานฉู่ในยามนี้มิใช่หนานฉู่ในอดีต ข้ามิต้องการให้ศึกครั้งนี้รบกันไปแล้วบาดเจ็บย่อยยับทั้งสองฝ่าย ประชาชนต้องลำบากยากแค้น ดังนั้นจำเป็นต้องโน้มน้าวให้สุยอวิ๋นเข้าร่วมศึกหนนี้ ความจริงข้าเตรียมจะจัดตั้งกองบัญชาการศึกเจียงหนาน ให้เจ้าเป็นผู้บัญชาการด้วยตนเอง คอยควบคุมดูแลสงครามแถบจิงเซียงกับเจียงไหว ส่วนสุยอวิ๋น ข้าก็ต้องการให้เขาติดตามกองทัพไปเป็นที่ปรึกษาด้วย ดังนั้นจำเป็นต้องรีบเกลี้ยกล่อมเขาสักหน่อย นิสัยของสุยอวิ๋นดื้อดึงเกินไปแล้วจริงๆ”
หลี่เสี่ยนได้ยินเรื่องกองบัญชาการศึกเจียงหนาน คิ้วก็เลิกขึ้นเล็กน้อย แต่มิได้ตอบคำใด ทว่าพอฟังถึงประโยคสุดท้ายกลับหัวเราะกล่าวว่า “สุยอวิ๋นเป็นถึงยอดบัณฑิตแห่งแว่นแคว้น ฝ่าบาทให้เกียรติเขาดั่งยอดบัณฑิตจึงทำให้เขายินยอมพร้อมใจทำงานรับใช้ ทั่วใต้หล้านอกจากเสด็จพี่ยังมีผู้ใดใช้งานเขาได้อีก ข้าคิดว่าเขาก็เพียงโมโหชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น ความจริงข้าดูแล้วโทสะของเขาก็เหมือนจะคลายลงแล้ว เพียงแต่มิมีบันไดให้ลงก็เท่านั้น หากมิใช่ว่าวันนี้ตอนข้าไปจังหวะไม่ดี ไม่แน่ว่าตอนนี้เขาอาจจะเข้าวังมากับข้าแล้วก็เป็นได้”
หลี่จื้อยิ้มน้อยๆ หูตาของพระองค์ในจวนองค์หญิงฉางเล่อมีมากมายนัก พระองค์ย่อมทราบว่าหลายวันนี้อารมณ์ของเจียงเจ๋อฟื้นกลับมาเป็นดังเดิมแล้ว มิเช่นนั้นพระองค์ก็คงจะมิให้หลี่เสี่ยนเดินทางไปไกล่เกลี่ย เพียงแต่ยามนี้หลี่เสี่ยนถูกไล่กลับมาเสียแล้ว ถ้าเช่นนั้นสมควรให้ผู้ใดไปไกล่เกลี่ยดีเล่า ครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน แต่ขุนนางคนสำคัญทั้งราชสำนักกลับมิมีสักคนที่น่าจะพูดคุยกับเจียงเจ๋อได้
หลายปีที่ผ่านมาเจียงเจ๋ออาศัยอยู่ในนครหลวงต้ายงแต่กลับหลีกหนีจากราชสำนัก มิคบหาผู้ใด แม้แต่ขุนนางจวนยงอ๋องในอดีตเขาก็ไปมาหาสู่น้อยนัก ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องเช่นนี้มิอาจให้ผู้คนล่วงรู้มากเกินไป หลี่จื้อมิต้องการให้ผู้คนจดจำว่าเจียงเจ๋อได้รับความโปรดปรานจนเอาแต่ใจ ชั่วขณะหนึ่ง สองพี่น้องจึงนั่งล้อมวงกลัดกลุ้ม แต่กลับคิดสิ่งใดมิออก
เวลานี้เอง ซ่งหว่านก็เข้ามารายงานอีกหน “กราบทูลฝ่าบาท ใต้เท้าเซี่ยโหวหยวนเฟิงขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่จื้อมิได้เปล่งเสียงตอบ เพียงโบกมือ ซ่งหว่านถอยออกไป หลี่เสี่ยนทราบว่าเซี่ยโหวหยวนเฟิงเป็นคนสนิทของหลี่จื้อที่รับภาระสำคัญในการสอดส่องขุนนางทั้งหลาย เขาย่อมมีความลับบางอย่างจะรายงานเป็นแน่ ตนเองมิรู้จะดีกว่า ดังนั้นหลี่เสี่ยนจึงลุกขึ้นขอตัวลา
หลี่จื้อกลับสรวลตรัสว่า “มิเป็นอันใด น้องหกมิต้องหลบเลี่ยง ข้าให้เซี่ยโหวสืบว่าพักนี้ผู้ใดเป็นคนกระจายข่าวลือ คิดจะยุแยงพวกเราเจ้าแผ่นดินกับขุนนางให้แตกคอกัน คิดว่าเขาคงได้ผลลัพธ์มาแล้ว เจ้าจะฟังสักหน่อยก็มิเป็นอันใด”
ไม่นานเซี่ยโหวหยวนเฟิงก็เดินเข้ามา แม้จะอายุสามสิบต้นๆ แล้ว อีกทั้งยังผ่านสนามรบในแวดวงขุนนางมาอย่างโชกโชนหลายปีจนมีริ้วรอยแห่งความตรากตรำเพิ่มขึ้นมาอยู่บ้าง มิสง่างามไร้ผู้เทียบเทียมดั่งเช่นในอดีต แต่กระนั้นกาลเวลาก็เหมือนจะมิได้ทิ้งร่องรอยไว้บนร่างเขามากเท่าใดนัก เซี่ยโหวหยวนเฟิงยังคงสง่าและหล่อเหลา มิผิดต่อชื่อเสียงบุรุษรูปงาม
เซี่ยโหวหยวนเฟิงเดินเข้ามาในห้องทรงพระอักษร จากนั้นก้าวเข้าไปคารวะกล่าวว่า “กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมสืบมาอย่างถี่ถ้วน ผู้ที่กระจายข่าวลือเกรงว่าจะเกี่ยวพันกับหนานฉู่”
หลี่จื้อมิประหลาดใจ ยามนี้ทางใต้กับทางเหนือประจันหน้ากันอยู่ หากมีคนคิดจะยุแยงให้ตนแตกคอกับเจียงเจ๋อ คนของหนานฉู่ย่อมมีแรงจูงใจมากที่สุด เขาตรัสอย่างนิ่งสงบ “เรื่องนี้มิอาจป่าวประกาศ เจ้าถวายรายชื่อขึ้นมา วันหน้าจับตาดูพวกเขาไว้ให้ดี หากมีความเคลื่อนไหวผิดปกติก็จงคอยคุมเอาไว้”
เซี่ยโหวหยวนเฟิงถวายฎีกาที่เขียนเรียบร้อยแล้วให้ ขณะที่กำลังจะหมุนตัวออกไป ก็เห็นสีหน้ากลัดกลุ้มของหลี่เสี่ยนอย่างมิได้ตั้งใจ ในใจฉุกคิดบางสิ่ง จึงเอ่ยว่า “ฝ่าบาทกับฉีอ๋องกำลังกลัดกลุ้มเรื่องฉู่จวิ้นโหวอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่จื้อได้ยินก็ยิ้มจืดเจื่อน “เซี่ยโหว ท่านมีวิธีการอันใดคลี่คลายเรื่องนี้หรือไม่” เขาเพียงลองถามดูเท่านั้น เซี่ยโหวหยวนเฟิงกับเจียงเจ๋อมีความแค้นเก่ากันอยู่เล็กน้อย หลี่จื้อจึงมิเชื่อสักนิดว่าเซี่ยโหวหยวนเฟิงจะมีวิธีการอันใดเกลี้ยกล่อมเจียงเจ๋อให้ถวายกลยุทธ์ได้
คิดมิถึงเซี่ยโหวหยวนเฟิงกลับก้าวเข้ามาเอ่ยอย่างนอบน้อม “หน้าที่ของกระหม่อมก็คือการแบ่งเบาความกังวลของฝ่าบาท กระหม่อมยินดีเดินทางไปโน้มน้าวฉู่จวิ้นโหว”
หลี่จื้อตกตะลึง มองสำรวจเซี่ยโหวหยวนเฟิงจากบนลงล่างครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “เจ้าไปลองดูก็ดี”
เซี่ยโหวหยวนเฟิงอมยิ้มถอยออกไป คล้ายกับว่าการเกลี้ยกล่อมเจียงเจ๋อเป็นงานที่ง่ายดายอย่างที่สุดเรื่องหนึ่ง นี่ทำให้หลี่จื้อกับหลี่เสี่ยนเกิดความคาดหวังขึ้นมาด้วย
หิมะโปรยปรายติดกันมาหลายวัน เมฆสีชาดปกคลุมท้องฟ้า ข้านั่งอยู่ในศาลาหลินปัว ดีดสายพิณอย่างสงบ เสียงพิณลอกเลียนลักษณะของเกล็ดหิมะที่ลอยล่องอยู่กลางอากาศก่อนจะกลืนเป็นหนึ่งเดียวกัน ผ่านไปเนิ่นนานข้าจึงดันพิณหยกออกแล้วถอนหายใจเบาๆ ต้นไม้เหมือนจะนิ่งสงบแต่สายลมกลับมิหยุดพัด คลื่นใต้น้ำที่โหมกระหน่ำในฉางอันหลายวันนี้จะปิดบังหูตาข้าได้เช่นไร แม้ฝ่าบาทเจตนาจะปกป้อง แต่ข้าจะมิรับรู้การมีอยู่ของข่าวลือที่เล่นงานข้าเหล่านี้ได้หรือ
ข้าลูบลายไม้บนตัวพิณแล้วนึกถึงชิวอวี้เฟยขึ้นมา นับตั้งแต่เป่ยฮั่นล่มสลาย พรรคมารก็หลบเร้นตัว แต่พวกต้วนหลิงเซียวย่อมมิอาจถอนตัวออกมาได้โดยง่าย ต้วนหลิงเซียวเร้นกายอาศัยอยู่ในพระราชวัง เซียวถงติดตามอยู่ข้างกายหลินปี้ ศิษย์พรรคมารผู้อื่นบางคนเข้ากองทัพ บางคนเป็นองครักษ์อยู่ในพระราชวัง แม้ศิษย์พรรคมารจะค่อนข้างพยศ แต่ความสามารถและฝีมือของพวกเขาก็โดดเด่น
ยามนี้พรรคมารจึงกลายเป็นขุมกำลังที่คานอำนาจกับพวกสำนักทางฝั่งเส้าหลินอยู่เลือนราง ในหมู่คนเหล่านั้นมีเพียงชิวอวี้เฟยที่วางตัวอยู่วงนอก พาหลิงตวนไปหลบเร้นอาศัยอยู่ในจวนจิ้งไห่ที่ข้ายกให้เขา ได้ชื่นชมทิวทัศน์ทะเลตงไห่ตลอดทั้งปี บางวันล่องเรือแจวลำน้อยออกโต้คลื่นท่องทะเล บางวันดีดพิณใต้แสงจันทร์อย่างอิสระเสรี น่าชังนักที่ข้าถูกเรื่องราวในโลกมนุษย์ผูกรั้งไว้ มิอาจออกจากนครต้ายงได้แม้แต่ก้าวเดียว ข้ารับสุราอุ่นที่เสี่ยวซุ่นจื่อส่งให้แล้วดื่มคำเดียวจนหมด น้ำสุราใสรสหวานละมุนเจือกลิ่นหอมทำให้ข้ามึนเมา
องครักษ์นายหนึ่งเหยียบหิมะเข้ามา เสี่ยวซุ่นจื่อเดินออกจากศาลาไปฟังว่าเขามารายงานสิ่งใด แล้วจึงหมุนตัวกลับมาบอกว่า “คุณชาย เซี่ยโหวหยวนเฟิงขอพบ”
ข้าตกตะลึงเล็กน้อย เหตุไฉนเซี่ยโหวหยวนเฟิงจึงมาหาข้าที่นี่ นับตั้งแต่เรื่องที่ตงชวน คนผู้นี้มักจะหลบลี้หนีไกล ทำเหมือนว่าข้าเป็นภูตผีปีศาจ ข้านึกประหลาดใจ แต่ก็ยิ้มตอบว่า “เชิญใต้เท้าเซี่ยโหวมาที่นี่”
มินานเซี่ยโหวหยวนเฟิงก็ตามองครักษ์เดินลัดเลี้ยวเข้ามา เสื้อคลุมขนสัตว์สีดั่งหิมะ สง่างามดุจต้นหยกเล่นลม สว่างไสวประหนึ่งดวงจันทรา หากมองแต่เพียงภายนอกคงคิดมิถึงอย่างสิ้นเชิงว่าคนผู้นี้จะเป็นผู้รับผิดชอบกรมวินิจการณ์ที่สองมือแปดเปื้อนโลหิต
ข้าลุกขึ้นมาต้อนรับในศาลา นอกศาลาหิมะพร่างพรมถักทอเป็นสาย ข้าย่อมมิเอาตัวไปให้ไอเย็นจู่โจม ข้าวาดมือออกมาเชื้อเชิญแขก เชิญเซี่ยโหวหยวนเฟิงเข้ามานั่ง จากนั้นแย้มยิ้มกล่าวว่า “มิทราบว่าใต้เท้าเซี่ยโหวเหตุไฉนจึงมีเวลาว่างมาเยี่ยมเยือน หิมะตกหนักทั่วฟ้า อุตส่าห์มีแขกผู้ทรงเกียรติมาเยือนถึงบ้านย่อมมิอาจขาดสุรา เสี่ยวซุ่นจื่อ ไปหยิบสุราพระราชทานมาหนึ่งไห สุรากลั่นวสันต์ไหนี้หอมหวานเกินไป ใต้เท้าเซี่ยโหวคงมิชมชอบ”
เซี่ยโหวหยวนเฟิงหัวเราะ “ท่านโหวมิต้องใส่ใจปานนี้ ได้ยินมานานแล้วว่าองค์หญิงฉางเล่อเก็บร้อยบุปผามาบ่มเป็นสุรากลั่นวสันต์ หอมอบอวลนุ่มละมุน ดื่มลงไปปานประหนึ่งน้ำทิพย์ ผู้น้อยปรารถนาจะลิ้มลองรสชาติของมันนัก เพียงแต่ว่าไร้หนทาง วันนี้โชคดีสบโอกาส ไฉนจะยอมพลาดเมรัยรสเลิศ”
ดวงตาข้าวาววับวูบหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “สุรากลั่นวสันต์นี้ฉางเล่อเป็นผู้บ่มด้วยตนเอง ในนี้นอกจากส่วนผสมจากร้อยบุปผา ยังใส่ยาบำรุงร่างกายลงไปอีกมาก หากดื่มเป็นประจำจะทำให้หูตาดี ร่างกายแข็งแรง เพียงแต่ว่ารสชาติละมุนหอมหวาน มิถูกปากชาวต้ายงนัก คิดมิถึงว่าใต้เท้าเซี่ยโหวกลับเข้าใจความยอดเยี่ยมของมันด้วย”
เซี่ยโหวหยวนเฟิงตอบอย่างนอบน้อม “องค์หญิงฉางเล่อมีความรักลึกล้ำจนสวรรค์ซาบซึ้ง บ่มสุราชนิดนี้เพื่อร่างกายของท่านโหว คนนอกเหล่านั้นไหนเลยจะทราบความในใจขององค์หญิงฉางเล่อ เข้าใจความรู้สึกล้ำลึกในสุราชนิดนี้ ยิ่งไปกว่านั้น บุรุษคนหยาบเหล่านั้นย่อมมิมีสิทธิ์ได้ลิ้มลองสุราเลิศรสนี่”
ข้าฟังถึงตรงนี้ก็ทราบเจตนาที่เซี่ยโหวหยวนเฟิงมาแล้ว ใช้ความรักลึกซึ้งของฉางเล่อเตือนข้าว่าอย่าลืมว่าตัวข้ากับราชวงศ์ต้ายงผูกพันตัดกันมิขาด แต่เขาฉลาดพอที่จะใช้สุรากลั่นวสันต์อันเต็มไปด้วยความรักของฉางเล่อมาบอกกล่าวเจตนา ทำให้ข้าโมโหมิลง
ข้าทำท่าบอกให้เขานั่ง จากนั้นรินสุราให้เขาด้วยมือตนเองหนึ่งจอกแล้วกล่าวขึ้นว่า “ในเมื่อใต้เท้าเซี่ยโหวทราบความล้ำค่าของสุราชนิดนี้ก็เชิญดื่มสักจอก สุราไหนี้ปีหนึ่งบ่มออกมาได้ยี่สิบสี่ไห นอกจากถวายให้ไทเฮา ฮองเฮา พระชายาฉีอ๋องไม่กี่ไห ก็มิได้หลุดลอดออกไปที่ใดอีก”
เซี่ยโหวหยวนเฟิงนั่งลงอย่างมิเกรงใจ เอ่ยขึ้นว่า “ภรรยาของผู้น้อยเคยได้รับพระกรุณาจากฮองเฮา ได้รับพระราชทานสุรากลั่นวสันต์มาไหหนึ่ง ผู้น้อยจึงมีวาสนาลิ้มลองยอดเมรัยหายากชนิดนี้ วันนี้หากท่านโหวใจกว้าง มิสู้ให้ผู้น้อยดื่มเพิ่มสักสองสามจอก”