ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 40 เพียรเยือนกระท่อมสามหน (5)
ข้าเดาเจตนาที่เซี่ยโหวหยวนเฟิงมาออกแล้ว แต่กลับประหลาดใจว่าเขาอาศัยสิ่งใดมาเชื่อมั่นว่าตนเองจะเกลี้ยกล่อมข้าได้ ดังนั้นจึงจงใจมิถามเจตนาที่เขามา ตรงกันข้ามกลับขยันยุให้เขาดื่ม ชมดูหิมะที่โปรยปรายนอกศาลาแล้วหยิบยกบทกวีโบราณขึ้นมาถกกาพย์กลอนบทกวีกับเซี่ยโหวหยวนเฟิง
รู้จักกับเซี่ยโหวหยวนเฟิงมานานเพียงนี้ ข้ารู้แต่ว่าเขาเป็นผู้มีความคิดลึกซึ้ง ในหัวมีแต่แผนการชิงอำนาจ วรยุทธ์เหนือล้ำกว่าผู้อื่นและจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต แต่วันนี้เมื่อได้สนทนากันกลับเพิ่งทราบว่าคนผู้นี้บุ๋นบู๊เพียบพร้อมจริงดังคนกล่าวขาน ตอนแรกตั้งใจจะทดสอบสร้างความลำบากให้เขา หลังจากถกไปหลายเรื่องกลับรู้สึกว่าการสนทนากับคนผู้นี้เพลิดเพลินยิ่งนัก จนค่อยๆ ลืมเจตนาที่เขามาอย่างช่วยมิได้
เซี่ยโหวหยวนเฟิงเห็นบรรยากาศปรองดอง ในใจก็ลอบยินดี ยกสุราขึ้นกล่าวว่า “ผู้น้อยได้ยินมาว่าท่านโหวเคยประพันธ์บทกวีบทหนึ่งยามอยู่เป่ยฮั่นเป็นการถ่ายทอดความในใจ บทกวีบทนั้นมีสองวรรคที่ว่า ‘ยามเป็นมิหวังหวนคืนบ้านเกิดเมืองนอน เพียงยามตายฝังร่างข้าริมลำน้ำฉู่’ มิทราบเป็นความรู้สึกที่แท้จริงหรือไม่”
ข้าตระหนักได้ทันทีว่าในที่สุดเขาก็เริ่มโจมตีแล้ว บทกวีที่เขาเอ่ยถึงเป็นบทกวีที่ข้าประพันธ์ขึ้นตอนข้าสะเทือนใจกับบทเพลงอันเศร้าสลดที่ถานจี้ร้องก่อนสิ้นใจ เรื่องนี้เซี่ยโหวหยวนเฟิงจะทราบก็มิใช่เรื่องน่าแปลกใจนัก เขาเป็นหัวหน้าของกรมวินิจการณ์ ยามนั้นองครักษ์ที่อยู่ข้างกายข้าล้วนเป็นยอดฝีมือของราชองครักษ์หู่จี แน่นอนว่ามีบางคนจดบทกวีบทนี้นำมารายงานต่อฝ่าบาท เซี่ยโหวหยวนเฟิงได้รับความโปรดปรานจากหลี่จื้อ อีกทั้งเรื่องนี้ก็มิใช่ความลับประการใด เขาจะล่วงรู้ก็เป็นไปได้ แต่เขาจะชี้ว่าข้าอาลัยอาวรณ์บ้านเกิดหรือ มุมปากของข้าเผยรอยยิ้มเย้ยหยันจางๆ ตอบอย่างนิ่งสงบว่า “ความคะนึงหาบ้านเกิด เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ ใต้เท้าเซี่ยโหวกล้ายื่นฎีการ้องเรียนข้าหรือไม่เล่า”
เซี่ยโหวหยวนเฟิงกลับเปลี่ยนประเด็นอีกหน กล่าวขึ้นว่า “หนนี้แม่ทัพเผยประมาทเอาตัวไปเสี่ยงอันตรายในไหวตง ใช้อุบายยึดฉู่โจว แม้จะสร้างความดีความชอบครั้งใหญ่ แต่ก็เสี่ยงอันตรายเกินไปสักหน่อย”
ข้าตอบอย่างมิคิดอันใด “แม่ทัพเผยก็นิสัยเป็นเช่นนี้ ชมชอบเข้าสมรภูมิเข่นฆ่าศัตรูด้วยตนเอง แต่หากถึงช่วงเวลาสำคัญ เขาย่อมมิทำเช่นนั้น”
เซี่ยโหวหยวนเฟิงหัวเราะ “แต่แม่ทัพเผยก็ช่างขวัญกล้ายิ่งนัก หยามหมิ่นญาติสนิทของท่านโหวต่อหน้าธารกำนัลที่หอเจิ้นไหว เพียงคิดก็ทำให้ผู้น้อยนับถือ”
ข้าหวาดผวาวูบหนึ่งในใจ สายตาหลุบต่ำเอ่ยตอบว่า “แม้จิงฉางชิงจะเป็นญาติผู้พี่ของผู้แซ่เจียง แต่เขาเป็นขุนนางภักดีแห่งหนานฉู่ คนต่างปณิธานมิอาจเดินร่วมทาง แม่ทัพเผยทำเช่นนี้มิมีสิ่งใดมิสมควร”
เซี่ยโหวหยวนเฟิงส่ายหน้ากล่าวขึ้นว่า “แม่ทัพเผยเพียงมิทันคิดเท่านั้น หากเขาทราบตัวตนของคนผู้นี้ก่อนจักต้องมิหยามหมิ่นแน่นอน แต่ท่านโหวเป็นห่วงเป็นใยญาติของท่านยิ่งนัก ผ่านไปไม่กี่วันจิงฉางชิงก็หายตัวไปจากคุกของฉู่โจว ได้ยินว่ากลับไปถึงจยาซิงแล้ว แม้ศึกนี้หนานฉู่จะได้ชัยชนะ ทำให้ญาติผู้พี่ของท่านถูกคำครหาว่าทอดทิ้งหน้าที่หลบหนีเอาตัวรอดอย่างช่วยมิได้ แต่คิดว่าคงมิมีผู้ใดสร้างความลำบากให้ตระกูลจิง อย่างไรเสียยามนี้แม่ทัพใหญ่ลู่ก็มีอำนาจในราชสำนัก เห็นแก่หน้าเขา คงมิมีผู้ใดลงมือกับตระกูลจิง”
ข้าเผยรอยยิ้มเย็นชาจางๆ สมัยเหตุการณ์ที่ตงชวน เซี่ยโหวหยวนเฟิงก็คิดจะแย่งชิงอำนาจของกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่ว แม้ข้าปล่อยให้เขาสมปรารถนา แต่ก็ให้บทเรียนแก่เขาไปหนหนึ่ง ยามนี้เขายังคิดสอดมือเข้ามายุ่งกับอำนาจในหนานฉู่ของข้าอีกหรือ หรือว่าเขามาหนนี้มิใช่เพื่อเกลี้ยกล่อมให้ข้าคืนดีกับหลี่จื้อ
ข้าลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาด้านข้างแท่นวางพิณ ไล้สายพิณแผ่วเบา เสียงพิณกระจ่างใสแฝงความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวดังขึ้น จากนั้นก็เอ่ยด้วยท่าทางเฉยชา “ใต้เท้าเซี่ยโหว ยังมีสิ่งใดต้องการพูดอีกหรือ”
เซี่ยโหวหยวนเฟิงมิสนใจท่าทางไล่แขกของข้าแม้แต่น้อย เขาดื่มสุราอีกหนึ่งจอกแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ลู่อวิ๋นบุตรชายคนโตของลู่ช่าน เป็นวีรบุรุษตั้งแต่ยังเยาว์ สังหารต่งซานต่อหน้ากองทัพ สร้างชื่อระบือไกลทั่วไหวซี เด็กคนนี้จากที่กรมวินิจการณ์ตรวจสอบ เคยมาอยู่ในฉางอันอยู่หลายวัน”
ดวงตาของข้าฉายแววเย้ยหยัน เรื่องของลู่อวิ๋นข้าทราบนานแล้วว่ายากจะปิดบังหูตาของกรมวินิจการณ์ มิเช่นนั้นข้าไยต้องลากฮั่วฉง หลี่หลินกับโหรวหลันเข้ามาเกี่ยว นอกจากจะฝึกฝนเด็กน้อยทั้งหลายพวกนี้แล้ว ก็เพราะต้องการให้คนบางกลุ่มระวังหากคิดเล่นงาน
แต่แล้วพริบตาเดียว แววตาของข้าก็เปลี่ยนเป็นเศร้าสร้อย เดิมทีข้าหวังว่าจะปกป้องลู่อวิ๋นได้ แต่น่าเสียดา ยสิ่งที่เขากระทำในไหวซีทำให้ความพยายามของข้ากลายเป็นฟองอากาศไปเสียแล้ว ผู้ใดจะคิดว่าเด็กหนุ่มอายุสิบสามปีคนหนึ่งจะมีความสามารถและประสบความสำเร็จถึงเพียงนี้กันเล่า
เซี่ยโหวหยวนเฟิงน่าจะสัมผัสความรู้สึกที่เปลี่ยนไปของข้าได้ จึงเอ่ยต่อว่า “ท่านโหวถือกำเนิดในหนานฉู่ รักและผูกพันกับบ้านเกิดมาก ทั้งยังมีญาติมิตรลูกศิษย์อยู่ทางนั้น เมื่อสงครามเริ่มต้นขึ้น ยากจะเลี่ยงหยกหินแหลกลาญทั้งสองฝ่าย บางทีเจตนาของท่านโหวอาจเป็นความรอบคอบ ทว่าหากท่านโหวเอาตัวไว้วงนอก วันหน้าจะเอาความดีความชอบประการใดมาร้องขอความเมตตาแทนตระกูลจิงกับตระกูลลู่
ผู้น้อยเคยได้ยินว่าท่านโหวรับปากเต๋อชินอ๋องว่าจะปกป้องสายเลือดราชวงศ์ของหนานฉู่ หากท่านโหวมิยอมถวายกลยุทธ์ปราบหนานฉู่ วันหน้าจะเอาสิ่งใดไปเจรจากับฝ่าบาท ในอดีตท่านโหวมีความดีความชอบต่อราชวงศ์ต้ายงจากเหตุการณ์ก่อกบฏ ณ พระราชวังเลี่ยกง ทว่าราชวงศ์ก็มอบองค์หญิงฉางเล่อให้แต่งงานด้วยแล้ว เรียกว่ามิติดค้างท่านโหว ท่านโหวมีความดีความในการชอบปราบเป่ยฮั่น ทว่ายามนี้ท่านโหวก็มีบรรดาศักดิ์เป็นจวิ้นโหว บุตรชายเป็นกั๋วกง บุตรีเป็นท่านหญิง ทั้งครอบครัวเกียรติยศพรั่งพร้อม ความดีความชอบที่ปราบเป่ยฮั่นก็ได้รับค่าตอบแทนแล้ว
หรือว่าเมื่อถึงยามหนานฉู่ล่มสลาย ท่านโหวยังจะเอาความดีความชอบเก่าก่อนเหล่านี้มาแลกกับพระกรุณาของฝ่าบาทอีกหรือ ถึงยามนั้นต่อให้ฝ่าบาทมิตรัสอะไร แต่ท่านโหวจะมิละอายใจได้หรือ ยิ่งไปกว่านั้นหากมิมีท่านโหวเดินทางไปเจียงหนานวางกลยุทธ์ปราบหนานฉู่ด้วยตนเอง เกรงว่าความทุ่มเทที่ผ่านมาของท่านโหวคงสลายกลายเป็นฟองอากาศ ผู้น้อยขอบังอาจ แต่ทุกประโยคล้วนเป็นคำพูดจากใจจริง ขอท่านโหวโปรดพิจารณา”
ดวงตาของข้าฉายประกายประหลาด มองไปทางเซี่ยโหวหยวนเฟิง คนผู้นี้มิธรรมดาเลยจริงๆ คำพูดพวกนี้โน้มน้าวข้าได้อย่างสมบูรณ์ ยิ่งไปกว่านั้นคำพูดนี้มีแต่เขาเท่านั้นที่พูดได้ หากหลี่จื้อ หลี่เสี่ยนกล่าวเช่นนี้ออกมากลับจะทำให้ข้ารู้สึกว่าพวกเขามีเจตนาบีบบังคับ หากขุนนางคนสำคัญอย่างพวกสืออวี้เป็นคนกล่าวก็จะเหมือนมิใช่คำพูดจากใจจริง กลับกลายเป็นเหมือนจะยกเอาคุณธรรมอันยิ่งใหญ่มาตำหนิ ยิ่งทำให้ข้ารู้สึกอยากขัดขืนมากกว่าเดิม มีเพียงเซี่ยโหวหยวนเฟิงผู้หัวใจสนแต่เพียงความดีความชอบกับผลประโยชน์คนนี้เท่านั้นที่พูดแล้ว ข้าจึงจะรู้สึกถึงความจริงใจ
เซี่ยโหวหยวนเฟิงยิ้มละไม เอ่ยขึ้นว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง มิทราบว่าท่านโหวทราบหรือไม่ ยามนี้เหวยอิงเป็นขุนนางอยู่ใต้สังกัดของลู่ช่าน แม้เรื่องนี้จะเป็นความลับ แต่ก็ปิดบังหูตาของกองการข่าวกับกรมวินิจการณ์มิได้”
ข้าสีหน้าเรียบเฉย เรื่องนี้ข้าทราบนานแล้ว อยู่ต่อหน้าเซี่ยโหวหยวนเฟิงคนฉลาดเช่นนี้ ข้าคร้านจะเสแสร้งแกล้งวางท่า
เซี่ยโหวหยวนเฟิงรู้แก่ใจดี จึงเอ่ยต่อว่า “เหวยอิงเกลียดท่านโหวยิ่งนัก เขาฉลาดล้ำเหนือผู้ใด ยามลงมือก็อำมหิต แม่ทัพใหญ่ลู่เองก็วางกลศึกได้เก่งกาจเหนือผู้อื่น อีกทั้งยังเคยรู้จักท่านโหวตั้งแต่ยังเล็ก ศิษย์อาจารย์ต่างรู้ใจ เขาเข้าใจท่านโหวอย่างยิ่ง สองคนนี้ร่วมมือกันย่อมเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งของท่านโหว ท่านโหวชาญฉลาดเหนือผู้ใด พบเจอคู่ต่อกรเช่นนี้ มิอยากประมือกับพวกเขาสักหน่อยหรือ
ลู่ช่านกุมอำนาจทหารแคว้นหนานฉู่ ท่านโหวก็บัญชาการวางกลยุทธ์ปราบหนานฉู่ให้ต้ายง ดวลหมากกันที่เจียงหนานกันสักตา ดูสิว่าท่านโหวจะชาญฉลาดมิมีผู้ใดเทียม หรือว่าแม่ทัพลู่จะเป็นสีครามที่เข้มกว่าต้นคราม นี่ไยมิใช่เรื่องน่าสนุกอย่างยิ่งเรื่องหนึ่ง”
ฟังมาถึงตรงนี้ แม้ใจข้าจะเกิดความดื้อรั้นอยากเอาชนะขึ้นมา แต่ก็ยังกลั้นมิไหวหลุดหัวเราะ “ใต้เท้าเซี่ยโหวคารมคมคาย มิเป็นรองซูฉิน[1]กับจางอี๋[2] วันนี้เจียงเจ๋อได้รับการสั่งสอนแล้ว”
เซี่ยโหวหยวนเฟิงสีหน้าไม่เปลี่ยน กล่าวขึ้นมาว่า “ท่านโหวชมเกินไปแล้ว ผู้น้อยอับอายมิกล้ารับ เพียงแต่ในอดีตเคยล่วงเกินท่านโหวไว้มาก ดังนั้นวันนี้จึงเดินทางมาเกลี้ยกล่อม หวังว่าวันที่ท่านโหวทำความดีความชอบสำเร็จจะจดจำเจตนาดีของผู้น้อยได้สักนิด อย่าคิดแค้นผู้น้อยก็พอ”
ในที่สุดข้าก็ข่มกลั้นมิไหวหัวเราะออกมาเสียงดัง ตอบว่า “ดี ดี เซี่ยโหวหยวนเฟิงมิเสียทีเป็นเซี่ยโหวหยวนเฟิงจริงๆ ดูท่าเจ้าคงจะรีบร้อนอยากกลับไปรายงานเหมือนกัน ข้าจะมิรั้งเจ้าไว้แล้ว ฝากกราบทูลฝ่าบาทสักคำ ยามเช้าพรุ่งนี้ข้าจะเข้าวังไปเข้าเฝ้า”
เซี่ยโหวหยวนเฟิงคลี่ยิ้ม “ความตั้งใจของท่านโหว ผู้น้อยจะนำไปกราบทูลแน่นอน แต่มิทราบว่าจะมอบสุรากลั่นวสันต์สักไหให้ผู้น้อยได้หรือไม่ สุรานี้ผู้น้อยชมชอบมากจริงๆ”
ข้าเหลือบมองใบหน้าเซี่ยโหวหยวนเฟิง แต่มิว่าอย่างไรก็มองมิเห็นความเสแสร้งของเขาสักนิด สุรากลั่นวสันต์นี้หอมหวานละมุน แต่มิถูกรสนิยมของบุรุษทางเหนือ ดังนั้นสุรานี้นอกจากถวายให้ไทเฮา ฮองเฮากับพระชายาฉีอ๋องแล้ว ฉางเล่อก็มิได้มอบให้ผู้อื่นอีก แม้แต่พระชายาฉีอ๋องหลินปี้ ข้าก็เดาว่านางคงจะชอบสุราร้อนแรงของทางเหนือมากกว่า ข้าส่ายศีรษะน้อยๆ อย่างอดไม่ไหวแล้วสั่งเสียงเรียบเฉย “เสี่ยวซุ่นจื่อ ให้คนนำสุรากลั่นวสันต์หนึ่งไหมอบให้จวนใต้เท้าเซี่ยโหว”
เซี่ยโหวหยวนเฟิงอมยิ้มเอ่ยขอบคุณ หลังจากนั้นจึงขอตัวจากไป ข้ามองดูท่าทางอันสง่างามของเขายามอยู่ท่ามกลางเกล็ดหิมะโปรยปราย ในใจบังเกิดความรู้สึกนับถือ ต้องระวังไว้แล้วสิ ก่อนหน้านี้ที่ข้าจับคนผู้นี้มาวางเล่นบนฝ่ามือได้ มากกว่าครึ่งน่าจะเป็นเพราะเขายินยอมให้เป็นเช่นนั้น หากมิระวังหาทางป้องกันไว้สักหน่อย น่ากลัวว่าวันหน้าคนที่เสียท่าคงจะเป็นข้าเอง
[1] ซูฉิน นักการทูตและนักเจรจาในสมัยจั้นกั๋ว ทำให้หกแคว้นรวมตัวเป็นพันธมิตรจนแคว้นฉินมิกล้ากรีฑาทัพยึดแคว้นอื่นเป็นเวลานานถึงสิบห้าปี
[2] จางอี๋ นักการทูตและนักเจรจาในสมัยจั้นกั๋ว โน้มน้าวหกแคว้นให้ปรองดองและเข้าร่วมกับแคว้นฉิน