ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 55 สำเนียงบ้านเกิดยังคงเดิม (3)
เวลานี้เอง แม่ทัพวัยกลางคนผู้หนึ่งก็ก้าวขึ้นมาชั้นบน ประสานหมัดเอ่ยกับเด็กหนุ่มอาภรณ์เขียวผู้นี้ว่า “ที่ปรึกษาฮั่ว จยาซิงอยู่ใต้การควบคุมทั้งหมดแล้ว เชิญท่านที่ปรึกษาออกคำสั่ง”
เด็กหนุ่มอาภรณ์เขียวลุกขึ้นกล่าวว่า “แม่ทัพฟางมิจำเป็นต้องพิธีรีตอง ฮั่วฉงมีเพียงตำแหน่งผู้นำชั่วคราวเท่านั้น”
แม่ทัพวัยกลางคนผู้นั้นกลับตอบด้วยสีหน้านอบน้อมว่า “ท่านโหวมีคำสั่ง ภารกิจหนนี้ให้ฟังคำสั่งของท่านที่ปรึกษา เชิญที่ปรึกษาฮั่วสั่งการได้เต็มที่”
เด็กหนุ่มอาภรณ์สีเขียวผู้นั้นยิ้มละไม กล่าวว่า “หากเป็นเช่นนี้ผู้แซ่ฮั่วก็จะสั่งการตามใจ วานแม่ทัพฟางเชิญเจ้าตระกูลของตระกูลขุนนางกับผู้มีความสามารถในเมืองจยาซิงมารวมกันที่หอเยียนอวี่เถิด”
แม่ทัพวัยกลางคนผู้นี้ก็คือฟางหย่วนซิน เขาเป็นแม่ทัพอันดับหนึ่งอันดับสองของตงไห่ เก่งกาจการรบชำนาญศึก แต่เดิมเขามิมีทางฟังคำสั่งของเด็กหนุ่มปากยังมิสิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่ง แต่ฮั่วฉงผู้นี้นับตั้งแต่มาถึงติ้งไห่ก็รับคำสั่งจัดการเอกสารและแผนที่ซึ่งถูกทิ้งไว้ในค่ายทหารติ้งไห่ เอกสารเหล่านี้ล้วนเกี่ยวข้องกับส่วนสำคัญของค่ายทหารติ้งไห่
ต่อมาฮั่วฉงผู้นี้จึงทราบชัยภูมิและสภาพของกองทัพติ้งไห่กับแนวชายฝั่งอู๋เย่ว์กระจ่างดุจฝ่ามือ แม้แต่จิ้งไห่โหวก็ยังต้องพึ่งพาเขา ค่ายใหญ่ของกองเรือตงไห่ที่ติ้งไห่ก็ได้เขาช่วยดูแผนผังปรับปรุงให้ดีขึ้น ป้อมปราการจุดใดควรซ่อมแซม จุดใดควรวางเวรยามรักษาการณ์ เขาล้วนทราบกระจ่าง สุดท้ายจิ้งไห่โหวก็แต่งตั้งเขาเป็นตำแหน่งที่ปรึกษา มิมีผู้ใดคัดค้าน
ยิ่งไปกว่านั้น เขาเป็นลูกศิษย์ของฉู่จวิ้นโหว นับความสัมพันธ์กับติ้งไห่โหวก็เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้อง ดังนั้นแม่ทัพเหล่านี้จึงมิกล้าดูแคลนเขา หนนี้เจียงไห่เทาขัดขวางเจียงเจ๋อจนเดินทางมาจยาซิงมิได้ จึงจงใจส่งฮั่วฉงมารับผิดชอบการกวาดปล้นเย่ว์จวิ้น แล้วให้ฟางหย่วนซินเป็นผู้บัญชาการทัพ ทำเช่นนี้ก็เพราะขบคิดถึงความปลอดภัยของเจียงเจ๋อ มิเช่นนั้นต่อให้ฮั่วฉงความสามารถโดดเด่นเพียงใด เจียงไห่เทาก็คงมิมีทางให้เด็กหนุ่มคนหนึ่งมาควบคุมดูแลเรื่องนี้
จิงซิ่นที่อยู่ด้านข้างได้ยิน สีหน้าก็เปลี่ยนไปโดยพลัน แม้เขาเดาได้ว่าฐานะของเด็กหนุ่มผู้นี้คงสำคัญ แต่คิดมิถึงว่าความเป็นความตายของทหารและประชาชนจยาซิงล้วนอยู่ในกำมือของคนผู้นี้
เขาตั้งใจจะกล่าวขอตัว แต่ผู้ใดจะคิดว่ายังมิทันเอ่ยปาก เด็กหนุ่มผู้นั้นก็หัวเราะกล่าวขึ้นว่า “พี่จิงเพียบพร้อมด้วยความสามารถ ฮั่วฉงนับถือจากใจ ขอเชิญพี่จิงอยู่ต่ออีกสักหน่อย ประการแรกจะได้ช่วยแนะนำเหล่าผู้มีความสามารถแห่งจยาซิงให้ข้ารู้จัก ประการที่สองข้ายังต้องการอยู่กับพี่จิงนานขึ้นอีกสักนิด”
จิงซิ่นเงยหน้ามองก็เห็นเด็กหนุ่มอาภรณ์สีเขียวผู้นั้นสีหน้านิ่งสงบ มิมีท่าทีคุกคามสักนิด แม้ในใจจิงซิ่นรู้สึกขุ่นเคืองแต่ก็ยากจะเอ่ยปาก ต้ายงมีคนเก่งเช่นนี้ หนานฉู่ไฉนเลยจะคงอยู่ได้นาน จิงซิ่นถอนหายใจ ชีวิตมิอยู่ในกำมือตน แล้วจะทำเช่นไรได้อีกเล่า
ริมทะเลสาบยวนยางมีป่าต้นเหมยอยู่แห่งหนึ่ง ในป่าต้นเหมยมีที่ราบขนาดหลายจั้ง สุสานแห่งหนึ่งตั้งอยู่ใต้เงาประปรายของดอกเหมย หน้าสุสานมีป้ายสุสานทำจากหินเขียว ตัวอักษรด้านบนเลือนรางอย่างยิ่งแล้ว ทั้งยังถูกตะไคร่ขึ้นกลบไว้จนยากจะมองเห็นตัวอักษรชัด
ทว่าแม้ป้ายสุสานจะทรุดโทรม แต่ตัวสุสานแห่งนั้นกลับเหมือนมีคนดูแลอยู่ตลอด หญ้าบนสุสานเขียวชอุ่ม ทั้งยังมีดอกไม้กลิ่นหอมมาเซ่นไหว้ บนที่ราบมีรอยเหยียบย่ำจนกลายเป็นทางเดิน เห็นชัดว่ามีคนไปมาที่แห่งนี้อยู่เสมอ เทียบกับด้านนอกป่าต้นเหมยที่มีหญ้ารกขึ้นเต็มไปหมด ช่างประหลาดยิ่งนักจริงๆ
ใกล้ถึงยามเที่ยงวัน ความเงียบสงัดของที่แห่งนี้ก็ถูกคนทำลาย บุรุษผู้สวมเสื้อคลุมตัวใหญ่สีเขียว บนศีรษะสวมหมวกปีกกว้างคนหนึ่งกำลังเยื้องย่างเข้ามาในป่าต้นเหมยอย่างเชื่องช้า ด้านหลังของเขา มีชายหนุ่มอาภรณ์สีเขียว ดวงหน้าขาวผ่องประหนึ่งหิมะคนหนึ่งเยื้องย่างตามมาด้วย ฝั่งซ้ายขวาด้านหลังทั้งสองคนมีทหารอาภรณ์สีดำจำนวนหนึ่งคอยตามติดคุ้มกัน นอกป่าต้นเหมย ทหารที่สวมผ้าคลุมสีดำจำนวนหนึ่งล้อมป่าต้นเหมยไว้ก่อนแล้ว หญ้าเขียวชอุ่มนอกผืนป่าถูกเหยียบย่ำกระจุยกระจาย บุรุษผู้นั้นเห็นเช่นนี้พลันขมวดคิ้วมุ่น อดนึกดีใจมิได้ที่สั่งห้ามมิให้ทหารเหล่านี้เข้ามาในป่าต้นเหมยไว้ล่วงหน้าเพื่อมิให้รบกวนความสงบของผู้วายชนม์
ชายหนุ่มอาภรณ์สีเขียวผู้นั้นเดินมาถึงหน้าป่าต้นเหมยแล้วก็เข้าไปในป่า แม้เขามิได้ระวังเท้าที่เหยียบย่างนัก แต่จุดที่เดินผ่านมิมีต้นหญ้าหักสักต้น เห็นได้ว่าวิชาตัวเบาของเขาล้ำเลิศ มินานชายหนุ่มอาภรณ์สีเขียวก็เดินออกมาจากป่า กล่าวว่า “คุณชาย เข้าไปเซ่นไหว้ฮูหยินผู้เฒ่าได้แล้วขอรับ”
บุรุษผู้นั้นถอนหายใจยาวแผ่วเบา ถอดเสื้อคลุมตัวใหญ่สีเขียวออกเงียบๆ จากนั้นถอดหมวกที่ปกปิดใบหน้าออก เผยให้เห็นเส้นผมขาวแต่ดวงหน้าเยาว์วัย อาภรณ์สีขาวปลอด เขาก้าวเท้าเดินเข้าไปด้านในป่าต้นเหมย
ชายหนุ่มอาภรณ์สีเขียวผู้นั้นรับธูปกับกระดาษเงินกระดาษทองมาจากมือนายทหารคนหนึ่งแล้วตามเข้าไปในป่า องครักษ์อาภรณ์ดำเหล่านั้นล้วนเฝ้ารอบด้านอย่างระมัดระวัง
พระราชบุตรเขยแห่งต้ายง ฉู่จวิ้นโหวเจียงเจ๋อเดินทางมาเซ่นไหว้มารดาผู้ล่วงลับถึงที่แห่งนี้ด้วยตนเอง แม้จยาซิงตกอยู่ในมือกองทัพต้ายงแล้วก็มิอาจประมาท หากถูกสายลับของหนานฉู่ที่แอบสะกดรอยอยู่พบเข้า ไยมิใช่จะยุ่งยากยิ่งนัก
ข้ามองป่าต้นเหมยที่เลือนรางดั่งอยู่ในห้วงฝัน หวนนึกถึงภาพในวันวานยามมาบอกลาสุสานมารดา น้ำตาหยดร่วงลงบนฝุ่นดินอย่างมิอาจห้าม ข้าคุกเข่าคารวะหน้าสุสาน ศีรษะแนบจดพื้นเบื้องหน้าหัวเข่า น้ำตาไหลรินเงียบงัน
หากมิใช่เพราะท่านแม่จากโลกไป ท่านพ่อไหนเลยจะบาดหมางกับพวกท่านลุงจนต้องออกจากบ้านเกิด ระเหเร่ร่อนไปทั่วเจียงหนาน หากมิใช่เพราะเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทาง ท่านพ่อไฉนเลยจะโรคเก่ากำเริบ ไฉนจะตรอมใจกับการตายของมารดาผู้เป็นที่รักจนมิอาจเยียวยาให้หายดี สุดท้ายก็ทิ้งข้าคนนี้ไว้เพียงลำพังท่ามกลางหมู่มวลมนุษย์ ท่านพ่อหัวใจแตกสลายจนสิ้นใจ ข้าต้องเร่ร่อนอยู่ครึ่งชีวิตล้วนเป็นเพราะความตายของมารดา หวนนึกถึงเรื่องนี้จะมิให้หัวใจข้าแทบขาดรอนได้เช่นไร
ข้ามิทราบว่าร่ำไห้อยู่นานเท่าใด จู่ๆ หลังคอก็มีลมปราณเย็นยะเยือกรุกล้ำเข้ามา ข้าสั่นสะท้านไปทั้งตัว สติพลันกลับมาแจ่มชัด เข้าใจทันทีว่าเสี่ยวซุ่นจื่อเห็นข้าเสียใจมากเกินไปจึงใช้ลมปราณเรียกสติข้า มิให้ข้าเศร้าโศกจนเกินไป
ข้ามองเสี่ยวซุ่นจื่อที่คุกเข่าอยู่ด้านหลัง ดวงตาเผยแววตาอ่อนโยนออกมาเสี้ยวหนึ่ง หลังจากนั้นจึงรับธูปกับกระดาษเงินกระดาษทองในมือเขามาเผาหน้าสุสานของมารดา สายตาตวัดไปเห็นป้ายหินที่ถูกตะไคร่สีเขียวปกคลุมนั่น หัวใจก็เจ็บปวด ยื่นมือไปปัดตะไคร่ออก ตัวอักษรงามสง่าบนแผ่นป้ายปรากฏออกมา บนป้ายศิลาเขียนไว้ว่า ‘สุสานจิงซื่อผู้แต่งเข้าตระกูลเจียง’ คำลงท้ายมีสี่คำคือ ‘หันชิวร่ำไห้’
ข้าเห็นตัวอักษรของบิดาบนแผ่นป้าย ความคิดชั่วร้ายที่บังเกิดในจิตใจพลันมลายหาย ตอนนี้เองหูของข้าก็ได้ยินเสียงฝีเท้าแข็งแรงดังขึ้น จากไกลขยับเข้ามาใกล้ เสี่ยวซุ่นจื่อเดินออกจากป่าต้นเหมย มินานก็ย้อนกลับมาบอกว่า “ผู้เฒ่าเจ้าตระกูลจิงเดินทางมา ถูกแม่ทัพฮูเหยียนขวางไว้อยู่ คุณชายต้องการพบเขาหรือไม่”
ข้าลังเลครู่หนึ่งก็กล่าวว่า “เชิญท่านลุงเข้ามาเถิด”
มินานผู้เฒ่าสวมอาภรณ์งดงามคนหนึ่งหนึ่งก็กุมไม้เท้าเดินเข้ามา คนผู้นี้อายุเกินเจ็ดสิบปีแล้ว เส้นผมหนวดเคราล้วนขาวโพลน ดวงหน้าแก่ชรา สีหน้าเยือกเย็นเคร่งขรึม แต่พอเห็นร่างกายของเขาก็ทราบว่าเขายังคงร่างกายปราดเปรียวแข็งแรง
เขาเดินเข้ามาในป่าต้นเหมยแต่มิชายตาแลข้าสักหน เดินตรงไปหน้าสุสาน มองตัวสุสานเนิ่นนานกว่าจะกล่าวขึ้นว่า “เจ๋อเอ๋อร์ เจ้าออกจากจยาซิงไปหลายปี หนนี้คงจะเป็นหนแรกที่กลับมาเซ่นไหว้มารดาของเจ้า”
ข้าถอนหายใจเฮือกหนึ่ง สุดท้ายก็ก้มลงคารวะตอบว่า “ท่านลุงยังแข็งแรงเช่นเดิม หลานเจียงเจ๋อคารวะท่านลุง”
ผู้เฒ่าคนนั้นมิก้าวเข้ามาประคอง แต่เอ่ยอย่างเฉยชา “สำเนียงพูดของเจ้ายังมีสำเนียงจยาซิง เจ้าคงยังมิลืมเลือนบ้านเกิด แต่เจ้าไยต้องคารวะแต่เปลือกนอกเช่นนี้ เจ้าน่าจะทราบความแค้นที่ข้ามีต่อบิดาของเจ้า มารดาของข้ากับแม่เจ้าเสียไปเร็ว มารดาเลี้ยงมิใช่คนดี บิดาก็หมกมุ่นอยู่กับเส้นทางขุนนาง ทำให้พวกเราสองพี่น้องโดดเดี่ยวทุกข์ทรมานอยู่ในบ้าน หากมิใช่เพราะน้องเล็กคอยปลอบโยนอยู่เสมอ ยามนั้นข้าก็คงออกจากบ้านไปนานแล้ว มิมีโอกาสสืบทอดตำแหน่งเจ้าตระกูลโดยสิ้นเชิง
มารดาของเจ้าร่างกายไม่แข็งแรง ข้ามิยินดีให้นางแต่งงานกับคนไร้รักผู้มุ่งมั่นกับตำแหน่งขุนนาง ดังนั้นจึงเลือกคู่ครองให้นางด้วยตนเอง บิดาของเจ้ามิมีใจหมายเป็นขุนนาง ความสามารถเปี่ยมล้น ดังนั้นข้าจึงถูกใจเขา โน้มน้าวท่านพ่อให้หมั้นหมายน้องเล็กกับเขา”
ข้าลุกขึ้นยืน ฟังเขาเล่าอย่างเงียบๆ น้ำเสียงของเขาสั่นไหว เห็นชัดว่าเรื่องเหล่านี้ซุกซ่อนอยู่ในใจมาหลายปี มิอาจเล่าให้ผู้ใดฟังได้ หนนี้เพิ่งได้เล่าให้ข้าฟัง เรื่องราวในอดีตเหล่านี้ข้ามิทราบชัดเจนนัก วันนี้ท่านลุงเล่าให้ฟัง ข้าย่อมฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ พอฟังมาถึงตรงนี้ ข้าก็เอ่ยแทรกขึ้นมา “ตอนท่านพ่อยังอยู่ เคยกล่าวว่าในอดีตที่ได้ครองคู่กับท่านแม่ ล้วนต้องขอบคุณท่านลุงที่ช่วยจัดแจง”