ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 6 รู้ข่าวสหายเก่ามาเยือน (2)
ขณะที่ข้ากำลังลิ้มรสชาพลางคิดไปเรื่อยเปื่อย หลี่หลินก็เดินเข้ามา เวลานานเท่านี้ต่อให้เป็นเต่าก็คลานมาถึงแล้ว เขาก้มหน้าเดินเข้ามาคารวะหลี่เสี่ยนเสร็จก็ทำท่าจะหลบไปอยู่ที่มุมห้อง ข้าคลี่ยิ้มเอ่ยขึ้นว่า “หลินเอ๋อร์ เจ้าหลบอะไรเล่า จะไม่มาคารวะข้าอาเขยคนนี้หน่อยหรือ”
หลี่เสี่ยนได้ยินพลันขมวดคิ้ว “หลินเอ๋อร์ นี่เจ้าทำอะไรกัน ไม่รู้จักมารยาทสักนิด”
ข้าสะบัดพัดเบาๆ เอ่ยขัดคำพูดของหลี่เสี่ยน “หลินเอ๋อร์ เจ้าคงไม่ได้ทำความผิดอันใดมาจึงมิกล้าพบหน้าข้ากระมัง”
หลี่หลินรีบตอบ “มิได้ มิได้ ข้ามิได้ทำให้โหรวหลันโกรธจนร้องไห้นะ” หลุดปากประโยคหนึ่งออกมาก็แทบกัดลิ้น ไม่รู้เป็นอย่างไร พอเห็นสีหน้ายิ้มแย้มแต่ไม่เหมือนรอยยิ้มของเจียงเจ๋อ จิตใจเขาก็สับสนปั่นป่วน เขาลอบมองผู้อาวุโสทั้งสองคน
หลี่เสี่ยนถลึงตาทันควัน “อะไรนะ เจ้าทำโหรวหลันโกรธจนร้องไห้ เกิดเรื่องอะไรขึ้น แล้วยังไม่อธิบายให้ข้าฟังอีก หลังจากนี้จงกลับไปเก็บตัวสำนึกผิดเสีย อาหารเย็นไม่ต้องกินแล้ว”
หลี่หลินทำหน้าทุกข์ระทม ไม่กล้าส่งเสียงตอบ เวลานี้ข้ากลับยิ้ม เอ่ยว่า “ข้าก็คิดว่าเรื่องอะไร โหรวหลันสาวน้อยคนนั้นเอาแต่ใจนัก มีคนทำให้นางโกรธสักหน่อยก็ดี อย่าปล่อยให้นางใช้อำนาจบาตรใหญ่มากเกินไป
พี่หกท่านก็อย่าทำเหมือนฮองเฮา ตามใจสาวน้อยคนนี้ประหนึ่งว่าอมอยู่ในปากก็กลัวจะละลายเลย หลินเอ๋อร์ เล่ามาสิว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น หากสาวน้อยคนนี้ทำตัวไม่มีเหตุผล กลับไปข้าจะลงโทษนาง”
หลี่หลินเกือบจะหลั่งน้ำตาแล้ว โชคดีที่มิใช่ความผิดของโหรวหลัน หากปล่อยให้เจียงเจ๋อฉวยโอกาสไปลงโทษโหรวหลันได้ น่ากลัวว่าหลังจากนี้ตนคงถูกลงโทษด้วยกฎตระกูล แล้วหลังจากนั้นอาจจะยังถูกฮองเฮาต่อว่าอีกหนึ่งยก สุดท้ายยังมีโอกาสแปดส่วนที่เสด็จพี่รัชทายาทจะหนีบตนเองติดไว้ข้างตัวอีกสิบวันครึ่งเดือน
ยามอยู่ในพระราชวัง ทุกหนทุกแห่งล้วนมีแต่กฎเกณฑ์ อย่าให้พูดเลยว่าน่าเบื่อมากเพียงใด ตนเองทนมิไหวหรอก พอเห็นสายตาจับจ้องหมายมาดของเจียงเจ๋อ หลี่หลินก็รีบเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้เพื่อเลี่ยงจากโทษหนักเป็นเบา
หลี่เสี่ยนฟังจบพลันขมวดคิ้ว เขากลับมิได้ตำหนิที่หลี่หลินอาศัยอำนาจรังแกคน ตรงกันข้ามเขาทราบดีว่าหลี่หลินมิทำเกินไปอยู่แล้ว อย่างมากที่สุดก็ให้เด็กหนุ่มหนานฉู่ผู้นั้นลำบากสักเล็กน้อยเท่านั้น ตอนเขาอายุน้อยยโสโอหังใช้อำนาจบาตรใหญ่มากกว่าหลี่หลินเสียอีก
เขาเอ่ยขึ้นเหมือนขบคิดบางอย่าง “เจ้าบอกว่าเด็กหนุ่มคนนี้อายุราวสิบสามถึงสิบสี่ปีแต่ใช้ศรหนักสามต้าน หากกล่าวถึงทักษะการยิงธนู ไต้โจวย่อมชำนาญการขี่ม้ายิงธนูที่สุด พวกเขาเป็นอันดับหนึ่งในดินแดนพันลี้ ไม่รู้ว่าทักษะการยิงธนูของเขาเป็นเช่นไร เรื่องนี้ก็ไม่แปลกที่เจ้าจะสนใจ หลินเอ๋อร์ ไปถ่ายทอดคำสั่งแทนข้า พาเด็กหนุ่มคนนั้นกลับมา ข้าอยากลองฝีมือของเขาสักหน่อย”
พอฟังมาถึงคำนี้ ข้าก็หัวเราะออกมาอย่างช่วยมิได้ มีพ่ออย่างไรย่อมมีลูกอย่างนั้น แม้เซิ่นเอ๋อร์จะมิเหมือนข้า แต่หลี่หลินกลับเหมือนฉีอ๋องอย่างยิ่ง
เห็นหลี่หลินกำลังจะไปถ่ายทอดคำสั่งแล้ว ข้าจึงห้ามว่า “รอประเดี๋ยวก่อน เรื่องเล็กน้อยเท่านี้ ท่านชินอ๋องผู้ยิ่งใหญ่กลับยื่นมือเข้าไปยุ่งออกจะทำให้คนตกตะลึงเกินไป เรื่องของเด็กๆ ให้พวกเขาจัดการกันเองเถิด หลินเอ๋อร์ แม้เจ้าจะอายุน้อย แต่ก็เป็นจยาจวิ้นอ๋องที่ได้รับพระราชานบรรดาศักดิ์จากราชสำนัก เรื่องนี้ยกให้เจ้าจัดการ เพียงแต่ห้ามเจ้าคร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ จะจัดการเช่นไรให้เจ้าเป็นผู้ตัดสินใจก็แล้วกัน”
หลี่หลินดีใจยิ่งนัก ในใจเขายังคงนึกถึงเด็กหนุ่มหนานฉู่ผู้นั้นมิคลาย แต่ติดที่โหรวหลันจึงมิกล้าก่อเรื่องอีก ยามนี้ในเมื่อเจียงเจ๋ออนุญาต ถ้าเช่นนั้นตนเองย่อมทำตามใจต้องการได้แล้ว ในใจอยากจะไปจับตัวเด็กหนุ่มคนนั้นกลับมาที่จวนเสียประเดี๋ยวนี้
หลี่เสี่ยนเห็นเขารีบร้อนเช่นนี้ก็ต่อว่า “ไม่มีความสุขุมสักนิด รีบร้อนอะไรเล่า ในเมื่อคนผู้นี้บอกเองว่าจะมาตามหาญาติ เขาจะรีบจากไปเร็วเพียงนี้หรือไร แล้วอีกอย่าง ต่อให้เขาหนีไป ขอเพียงออกคำสั่งกองทัพ ยังจะกลัวเขาหนีกลับหนานฉู่ได้อีกหรือ วันนี้น้าเล็กของเจ้ามาเยี่ยมเสด็จแม่ของเจ้า งานเลี้ยงครอบครัวค่ำวันนี้ เสด็จแม่ของเจ้าบอกแล้วว่าผู้ใดก็ห้ามขาดทั้งสิ้น”
หลี่หลินได้แต่รับบัญชาด้วยความยำเกรง ทว่าดวงตาลอบมองเจียงเจ๋อ ตอนนี้เขาทราบแล้วว่าเหตุใดอาเขยจึงอยู่ที่นี่ แม่ทัพหวังจี้ สามีของน้าเล็กเป็นลูกน้องของอาเขย หากมาถึงฉางอัน เขารายงานตัวที่กรมกลาโหมเสร็จแล้วเป็นต้องมาคารวะอาเขยก่อนเสมอ แต่มารดาเลี้ยงของตนคงอยากจะพบน้องสาวกับน้องเขยก่อน ดังนั้นจึงบังคับให้อาเขยมารอที่บ้านของตน
หลี่หลินอดมิได้ก้มหน้าลอบยิ้ม แม้อาเขยของตนจะเป็นที่ยำเกรงทั่วทุกสารทิศ แม้แต่ตอนอยู่หน้าเสด็จลุงก็ยังท่าทางไม่แยแส ทว่ามีแต่ยามอยู่ต่อหน้าองค์หญิงจยาผิงเท่านั้นที่เขากลัวจนตัวสั่นระริก น่าขำเป็นที่สุดอย่างแท้จริง คิดไม่ออกจริงๆ ว่าตอนแรกเขาทำให้เจ้าแผ่นดิน ขุนนางและเหล่าแม่ทัพของเป่ยฮั่นวิ่งเต้นอยู่บนฝ่ามือได้เช่นไร
เวลานี้ข้าไม่มีอารมณ์สนใจท่าทีเล็กน้อยของหลี่หลินแล้ว ชำนาญวิชายิงธนู อายุยังน้อยก็ยิงศรหนักสามต้านได้ อวิ๋นลู่ ลู่อวิ๋น เหอะๆ ทักษะเด็กเล่นเช่นนี้ยังคิดจะปิดบังหูตาของข้า ก็มิรู้ว่าเขาเดินทางมาต้ายงเพื่อทำสิ่งใด แต่ต้องมิใช่มาคารวะอาจารย์ปู่เป็นแน่
อีกอย่างหนึ่งได้ยินว่าลู่ช่านรักลู่อวิ๋นบุตรชายคนโตคนนี้มากนัก เรื่องนี้คงจะเป็นความคิดของตัวเด็กหนุ่มคนนั้นเอง ข้าต้องแจ้งหัวหลิวสักคำ บอกให้เขาอย่าจับเด็กหนุ่มคนนี้เข้าคุกในฐานะสายลับ ในเมื่อเด็กหนุ่มคนนี้มาแล้ว ข้าก็สมควรทำหน้าที่ผู้อาวุโสให้เต็มที่ ให้บทเรียนเล็กๆ น้อยๆ กับเขาสักหน่อย อืม ให้หลี่หลินกับโหรวหลันไปจัดการก็แล้วกัน มีฮั่วฉงคอยคุมสถานการณ์อยู่ น่าจะไม่เกิดเรื่องร้ายแรงที่มิคาดฝันอันใดขึ้นมา
นึกถึงฮั่วฉง ข้าก็เผยรอยยิ้มพึงพอใจอย่างช่วยมิได้ ฮั่วฉงคนนี้เป็นลูกศิษย์ที่ข้าภาคภูมิใจที่สุด วันหน้าเขาจักต้องเป็นสีครามที่เข้มยิ่งกว่าต้นครามอย่างแน่แท้ ตัวข้าเป็นคนจับจดจึงศึกษาเล่าเรียนได้ไม่ลึกซึ้ง อีกทั้งแม้จะตั้งใจเก็บซ่อนความสามารถ แต่กลับทนมิไหวต้องเผยคมออกมาเสมอ
ลูกศิษย์คนอื่นของข้า แต่ละคนต่างก็มีข้อด้อยต่างกันไป ลู่ช่านสุจริตภักดีมากเกินไป สุดท้ายก็คงต้องถูกทำร้ายเพราะเหตุนี้ จิงฉือเป็นคนมิรอบคอบ บางครั้งหุนหันพลันแล่นจนยากจะควบคุม แม้ข้าชอบความซื่อตรงเรียบง่ายของเขา แต่น่าเสียดายสุดท้ายเขายากจะเป็นยอดแม่ทัพ แปดหัวหน้าแห่งค่ายลับเองต่างก็มีจุดเด่นของแต่ละคน ทว่าถูกจำกัดด้วยพรสวรรค์กับประสบการณ์ แม้จะรับผิดชอบงานด้านหนึ่งด้านใดได้ แต่ก็มิอาจคอยคุมสถานการณ์รอบด้าน
ส่วนบุตรชายบุตรสาวคู่นั้นของข้า แม้โหรวหลันจะฉลาดเฉลียวหัวไว แต่ยามนี้ข้าตั้งใจมิให้นางมีโอกาสได้เผชิญความเป็นจริงอันโหดร้าย เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ข้ามิคาดหวังให้นางโดดเด่นมากเกินไป ต้องการเพียงให้นางได้มีความสุขชั่วชีวิตก็พอ
ส่วนเซิ่นเอ๋อร์ ไม่ต้องพูดถึงเขา เขาอาจสืบทอดสติปัญญาอันชาญฉลาดของข้ามาสามส่วน แต่ความเกียจคร้านของข้าเขาสืบทอดมาเต็มสิบส่วน ข้ารู้สึกเสียใจแทนฉือเจินต้าซือเสียแล้วด้วยซ้ำ เจ้าเด็กไม่รู้ความเช่นนี้จะรับผิดชอบหน้าที่ผู้คุมกฎได้หรือ แต่คนโง่ก็มีโชคของคนโง่ เขามีนิสัยเช่นนี้ บางทีชั่วชีวิตอาจมีแต่ความสุขสมปรารถนาก็เป็นได้
ยกนิ้วนับดูรอบหนึ่ง มีแต่ฮั่วฉงเป็นลูกศิษย์ที่ข้าภาคภูมิใจที่สุด แน่วแน่มิหวั่นไหว ใจกว้าง มีความคิดเป็นของตนเองแต่ก็ปรับเปลี่ยนได้ รอบรู้ตำราหลากหลายแต่ก็ยังศึกษาพงศาวดารอย่างลึกซึ้ง สิ่งที่หายากที่สุดก็คือเขาพอใจกับความเรียบง่าย ชำนาญการเก็บงำความสามารถ
ข้าเป็นนักโทษที่ถูกจองจำด้วยลาภยศสรรเสริญ แม้โซ่ตรวนที่ผูกรั้งจะเป็นมิตรภาพอันงดงามในโลกมนุษย์ แต่สุดท้ายก็มิอาจเป็นอิสระ แต่เขาเป็นบัณฑิตผู้ซ่อนเร้นจากราชสำนักได้อย่างแท้จริง แล้วก็เป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียวที่จะสืบทอดมรดกของข้าได้ ดังนั้นทั้งที่ข้าทราบว่าตัวตนของเขามีปัญหาแต่กลับยังรั้งเขาไว้ ประการแรกเพราะชื่นชมความสามารถ ประการที่สองคนมีความสามารถเช่นนี้หากไม่รั้งไว้ข้างกายย่อมอันตรายอยู่บ้าง
เวลานี้เอง เถาหลิน หนึ่งในสี่ยอดองครักษ์ข้างกายฉีอ๋องก็รีบร้อนเดินเข้ามาแจ้งว่า “ทูลท่านอ๋อง เจียงโหว ท่านหญิงกับท่านเขยหวังมาถึงแล้ว องค์หญิงให้มาเรียนเชิญ”
ข้ากับหลี่เสี่ยนสบตากันแล้วคลี่ยิ้ม เดินเคียงกันไปยังห้องโถงอิ๋นอานในจวนอ๋อง เพิ่งจะเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ ก็เห็นองค์หญิงจยาผิงผู้งามสง่าจับแขนหลินถงกระซิบกระซาบเสียงเบาอยู่ตรงตำแหน่งประธานของงาน ชื่อจี้ยืนมือแนบข้างลำตัวอยู่ด้านข้าง ยามอยู่ต่อหน้าหลินปี้ เขามักจะเกร็งเล็กน้อยอยู่เสมอ
เมื่อเห็นข้า เขาก็รีบเข้ามาคารวะ ปากเอ่ยขึ้นว่า “เห็นท่านรูปโฉมยังเป็นเช่นเดิม ชื่อจี้รู้สึกวางใจนัก หนนี้ระหว่างทางพบเต้าหลี เขาฝากข้ามาทักทายท่านด้วย เดิมทีข้าต้องการไปพบท่านก่อน แต่ตอนเข้าเมืองมาได้ยินหัวหน้าองครักษ์เซียวบอกว่าท่านอยู่ที่จวนฉีอ๋องเหมือนกัน”
ข้านึกฉุนอย่างอดมิไหว เจ้าเด็กคนนี้เหตุไฉนมิรู้จักว่าสิ่งใดสมควรพูดไม่สมควรพูด ข้าเผยรอยยิ้มชั่วร้ายจางๆ ที่มุมปากแล้วว่า “ไม่มีอะไร วันนี้มาดวลหมากกับฉีอ๋องเท่านั้น ชื่อจี้ เป็นเช่นไรบ้าง ได้ยินว่าครึ่งปีก่อนเจ้าได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้ไม่เป็นอันใดแล้วหรือ”
หลินถงได้ยินเข้าก็เอ่ยอย่างกลัดกลุ้ม “ท่านเจียง แผลที่ถูกศรยิงของจี้หลางแม้หายดีแล้ว แต่พอพบลมแรงฝนตกก็ยังเจ็บปวดอยู่ ข้ากำลังคิดจะขอร้องท่านเจียงให้ช่วยดูให้เขาอยู่พอดีเลยเชียว”
ข้ายิ้มแย้ม “มิเป็นไร มิเป็นไร นี่เป็นอาการเส้นลมปราณบาดเจ็บ ให้เขามาหาข้าที่จวน ข้าฝังเข็มให้เขาสักสองสามหนก็หายแล้ว แล้วข้าจะสอนวิชาฝังเข็มวิชานี้ให้เขาด้วย หากกล่าวถึงวิชาแทพย์ ชื่อจี้เป็นคนที่เรียนรู้ได้ดีทีเดียว แม้ต่อมาจะเปลี่ยนไปเป็นหมอรักษาสัตว์ก็เถอะ”
ในใจกลับลอบคิดกับตนเองว่าวิชาเข็มทองชิงวิญญาณของข้าเป็นหนึ่งในใต้หล้า กำจัดโรคของชื่อจี้ได้อย่างไม่มีปัญหาแน่นอน เพียงแต่วิชาฝังเข็มทองชุดนั้นแต่เดิมใช้ลงทัณฑ์คน บางทีอาจจะเจ็บสักหน่อย แน่นอนว่าด้วยความสามารถของข้า บนใบหน้าย่อมมิแสดงพิรุธแม้แต่น้อย
หลินถงพยักหน้าเอ่ยขอบคุณอย่างดีอกดีใจ ขณะที่ข้ากำลังลอบกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่นั่นเอง ก็เห็นหลินปี้เหลือบมองข้าอย่างเฉยชา ในแววตาแฝงคำเตือนอยู่เลาๆ ข้าสะดุ้งในใจ รีบหลบเลี่ยงสายตาของนาง แล้วคิดในใจกับตนเองว่าชื่อจี้คงมิกล้าบอกความจริงพวกนางหรอก
เวลานี้งานเลี้ยงตระเตรียมเรียบร้อยแล้ว หลินปี้จูงหลินถงเดินออกไปด้านนอก หลี่เสี่ยนก็ตามออกไปด้วย ข้าเห็นชื่อจี้ทำหน้าแปลกประหลาดเล็กน้อย คล้ายมีเรื่องลับอยากจะรายงานจึงจงใจเดินคล้อยหลังหนึ่งก้าว แล้วชื่อจี้ก็มากระซิบข้างหูข้าจริงๆ “ท่านเจียง เต้าหลีฝากข้ามารายงานว่า แม่ทัพต้วนกลับมาแผ่นดินจงหยวนแล้ว เขาให้คนพาแม่ทัพต้วนไปส่งที่คฤหาสน์หนานซานตามคำสั่งก่อนหน้านี้ของท่าน อีกไม่กี่วันน่าจะเดินทางมาถึงนครฉางอัน ถึงยามนั้นจะมีข่าวละเอียดมากกว่านี้”
ในใจข้าตกตะลึง ต้วนอู๋ตี๋หรือ ตอนนั้นหลังเป่ยฮั่นยอมสวามิภักดิ์ ข้าเคยคิดจะเรียกเขากลับมา ผู้ใดจะคาดคิดว่าพอเขาเดินทางออกไปโพ้นทะเลก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย คิดมิถึงว่าวันนี้ในที่สุดก็กลับมาแล้ว คู่ต่อสู้ที่ข้าค่อนข้างรู้สึกละอายใจด้วยคนนี้ ข้าสมควรจัดการกับเขาเช่นไรดีเล่า