ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 62 หอมกลิ่นชาต้อนรับแขก (2)
ตอนนี้เสี่ยวซุ่นจื่อที่อยู่ด้านข้างกำลังชงชาช้าๆ แต่ละขั้นตอนทำอย่างประณีตและคล้ายจะสอดประสานกับเสียงพิณ แต่ละการเคลื่อนไหวชัดเจน ทั้งยังสง่างามและคล่องแคล่ว เมื่อเสียงพิณสิ้นสุด กลิ่นหอมของชาก็ลอยอบอวลทั่วลำเรือ เสี่ยวซุ่นจื่อแบ่งชาเป็นสามถ้วย ใช้ถ้วยกระเบื้องเงาแวววาว สีขาวเกือบโปร่งแสงบรรจุชา น้ำชาสะท้อนสีถ้วยคล้ายหยกไร้ตำหนิ ประเดี๋ยวสีเขียวอ่อน ประเดี๋ยวสีเขียวเข้ม สลับไปมาระหว่างสีเข้มอ่อนดุจเกลียวหมอกถักร้อย กลิ่นชาหอมจรุงใจ ใบชาด้านในบ้างม้วนหงิกงอ บ้างแผ่ออกเป็นแผ่น
ติงหมิงถือถ้วยชาขึ้นมาแล้วตกตะลึงเล็กน้อย เขาเป็นคนอู๋เย่ว์ ทั้งยังออกท่องเที่ยวไปทั่วมาหลายปี จึงคุ้นเคยกับชาเซี่ยซาเหรินเซียงที่ผลิตจากยอดเขาปี้หลัวบนเขาตงซานทะเลสาบเจิ้นเจ๋อดี จุดเด่นของใบชาชนิดนี้คือใบเรียวผอม ม้วนหงิกเป็นก้นหอย บนใบมีเส้นขน เห็นเป็นสีเงินขาวปนกับสีหยก กลิ่นหอมอบอวล รสชาติหวานเข้มข้น สีน้ำชาเขียวหยกใส ใบชาที่ก้นถ้วยสีเขียวอ่อน แต่ในชาป้านนี้ของวันนี้เห็นชัดว่าผสมชาชื่อดังอีกชนิดหนึ่งลงมาด้วย
ในใจเขาเกิดความสงสัยใคร่รู้จึงดื่มน้ำชารวดเดียวจนหมด รู้สึกว่ารสชาติแปรเปลี่ยนไปมายากประเมิน แต่มีรสชาติหอมเข้มข้นสายหนึ่งแทรกอยู่ เมื่อครุ่นคิดพิจารณา กลิ่นหอมของชาชนิดนั้นกลับมิคุ้นเคยนัก คิ้วจึงขมวดมุ่นครุ่นคิดอย่างห้ามตนเองไม่ได้
แม้วันนี้ไผ่ระทมจะอารมณ์ฉุนเฉียวมากไปบ้าง แต่เดิมทีเขาเป็นสายลับอันดับหนึ่งแห่งหนานฉู่ หลังจากได้ยินคำพูดเป็นนัยของติงหมิงก็ใจเย็นลงแล้ว เขาเป็นนักพรต ปกติย่อมมีช่วงเวลาที่ดื่มชาสงบจิตใจอยู่แล้ว ทั้งยังเคยขึ้นเหนือล่องใต้ท่องทั่วแม่น้ำฉางเจียง เขาจึงรู้จักชาชื่อดังในใต้หล้าอยู่ไม่น้อย หลังจากดื่มน้ำชาลงไปก็ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “นี่คือชาเหมาเจียนของซิ่นหยางผสมกับเซี่ยซาเหรินเซียง ชาดี ความคิดดี”
ข้าดื่มน้ำชาในถ้วยบ้าง จากนั้นก็คลี่ยิ้ม “หลี่เอ้อร์ชำนาญการชงชาที่สุด ชามีชื่อในใต้หล้า เขาเคยเห็นมาแล้วแปดเก้าในสิบส่วน เซี่ยซาเหรินเซียงหนนี้เก็บเร็วเกินไป เพิ่งจะผ่านพ้นวสันต์ ดังนั้นจึงเลี่ยงมิได้มีรสอ่อนอยู่บ้าง เขาจึงใช้เหมาเจียนของซิ่นหยางมาช่วยเสริม ท่านนักพรตลิ้มรสเพียงหนึ่งคำก็เดาออก คงเป็นผู้ชื่นชอบชาเช่นเดียวกัน”
สายตาของติงหมิงกวาดมองร่างของเสี่ยวซุ่นจื่อรอบหนึ่ง เขารู้สึกว่าบ่าวรับใช้หน้าตาธรรมดาผู้นี้ แม้จะเงียบขรึม แต่ดวงตาทั้งสองใสกระจ่างเย็นยะเยือก มิว่าการชงชาหรือการยื่นถ้วยชาส่งให้ล้วนชำนิชำนาญ ขอเพียงเป็นตระกูลขุนนางตระกูลเศรษฐีส่วนใหญ่ก็มีบ่าวรับใช้ชั้นยอดเช่นนี้ บางคนถึงขั้นรับใช้สืบต่อกันมาหลายรุ่น มิพรากจากมิทอดทิ้ง
ในเมื่อข้างกายคุณชายอวิ๋นมีบ่าวรับใช้เช่นนี้ ย่อมเห็นชัดว่าฐานะคงไม่ธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้นในเมื่อเขาเป็นสหายกับเถ้าแก่โรงปักผ้าเสียซิ่วก็สมควรมีฐานะใกล้เคียงกัน แต่มิเคยได้ยินว่าจยาซิงมีตระกูลใหญ่แซ่อวิ๋น ในใจยิ่งสงสัยเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน จึงเอ่ยปากหยั่งเชิงว่า “ในเมื่อคุณชายอวิ๋นเป็นคนจยาซิง คิดว่าคงเคยพบกับคนผู้นั้นที่บุกอู๋เย่ว์ในวันนี้ มิทราบว่าคุณชายคิดว่าเขาเป็นคนเช่นไร”
ข้าหัวเราะ “เรื่องนี้ข้าคงตอบยากแล้ว แม้ข้าเกิดที่จยาซิง ทว่าตั้งแต่เล็กครอบครัวยากจน คนในตระกูลน้อยนิดดั่งดวงดาวในเหมันต์ ได้ยินว่าเจียงเจ๋อผู้นั้นจากบ้านเกิดไปตั้งแต่เล็ก ทั้งยังเป็นตระกูลสายรองของตระกูลจิง สถานะและฐานะเช่นนี้ แม้อยู่ในจยาซิงเหมือนกัน ไหนเลยจะมีโอกาสรู้จักกันได้
หากพี่ติงอยากรู้ว่าเขาเป็นคนเช่นไร มิจำเป็นต้องถามข้าหรอก เพียงฟังคำเล่าลือตามตลาดตรอกซอกซอยก็คงทราบแล้ว แต่ในความเห็นของข้า เขาเป็นคนมีบุญคนหนึ่ง ได้ตบแต่งภรรยาผู้งามปานบุปผา จักรพรรดิต้ายงเองก็ไว้เนื้อเชื่อใจยิ่งนัก โชควาสนาดีเช่นนี้ ในโลกหล้าจะมีสักกี่คน”
ติงหมิงดวงตาทอประกายเย็นยะเยือกแวบหนึ่ง “ที่แท้คุณชายอวิ๋นก็เกิดในครอบครัวยากจน วันนี้ประสบความสำเร็จเช่นนี้คงจะผ่านความยากลำบากมานานัปการ แต่สมบัติตระกูลของคุณชายคงล้วนอยู่ในเจียงหนาน มิกังวลว่าไฟสงครามจะเผาทุกสิ่งมอดมลายสิ้นบ้างหรือ”
ในใจติงหมิงขบคิดทบทวนซ้ำไปมา คุณชายอวิ๋นผู้นี้ฟังจากน้ำคำของเขาแล้วคงมิใช่ลูกหลานตระกูลใหญ่ตระกูลขุนนาง แต่บุคลิกลักษณะของคนผู้นี้ก็มิใช่คนธรรมดาสามัญอย่างแน่นอน ทว่าดูจากข้าวของอันหรูหรา เขาก็คงเป็นคนมั่งคั่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ ตัวตนของคนผู้นี้ก็น่าสนใจยิ่งนัก จะปล่อยผ่านไปง่ายๆ มิได้ อีกประการ เขาอยู่ในอู๋เย่ว์มานานกลับมิเคยทราบว่ามีบุคคลเช่นนี้อยู่ จะให้เขายินยอมปล่อยให้คลุมเครือต่อไปได้เช่นไร
ข้ายิ้มละไมตอบว่า “ผู้ที่มิอาวรณ์สมบัติตระกูลมีข้าเพียงคนเดียวเสียที่ไหน เจ้าแคว้นหนานฉู่ทุกรุ่น ยกเว้นฝ่าบาทอู่ตี้ ล้วนแต่เป็นคนที่มิอาวรณ์สมบัติของวงศ์ตระกูลที่สุดแล้ว”
ติงหมิงถามเสียงขรึม “เหตุใดคุณชายจึงกล่าวเช่นนี้”
ข้ามองออกไปนอกหน้าต่าง อธิบายด้วยท่าทางสุขุม “นับตั้งแต่ราชวงศ์จิ้นก่อตั้งแว่นแคว้น ราชสำนักก็คัดเลือขุนนางด้วยคุณธรรมและชาติตระกูลเป็นหลัก สิ่งที่เรียกว่าคุณธรรมล้วนเป็นการยกยอตนเองของตระกูลขุนนาง สิ่งที่เรียกว่าวงศ์ตระกูลก็คือการกีดกันสามัญชนกับตระกูลยากจนไว้วงนอก ผลก็คือกำลังของแว่นแคว้นเสื่อมถอยลงทุกวันจนพวกคนเถื่อนบุกมาถึงนครหลวงของแคว้นสำเร็จ จักรพรรดิและฮองเฮาล้วนสิ้นพระชนม์ รัชทายาทข้ามแม่น้ำลงใต้ ตั้งเจี้ยนเย่เป็นราชธานีแห่งที่สอง แว่นแคว้นเหลือลมหายใจเพียงรวยริน
ผู้คนเรียกขานราชสำนักจิ้นหลังจากนั้นว่าราชวงศ์ตงจิ้น มากกว่าครึ่งของวังหลวงหนานฉู่ในตอนนี้ก็สร้างขึ้นมาจากซากวังหลวงของราชธานีแห่งที่สองในวันนั้น แม้สุดท้ายแม่ทัพและทหารของจงหยวนจะขับไล่พวกคนเถื่อนออกไป ย้ายนครหลวงกลับยังฉางอันสำเร็จ แต่วิธีคัดเลือกขุนนางก็ยังมิเปลี่ยน
ต่อมาผ่านไปเพียงร้อยปี ราชวงศ์ตงจิ้นก็แตกแยก อู่ตี้สืบทอดแผ่นดินอุดมสมบูรณ์ของเจียงหนาน ก่อตั้งแคว้นตั้งตนเป็นจักรพรรดิ เปลี่ยนมาใช้การสอบเคอจวี่คัดเลือกขุนนาง การเลือกแม่ทัพไม่ยึดติดกฎเกณฑ์คร่ำครึ น่าเสียดายอู่ตี้ถูกบีบให้ต้องประนีประนอมกับตระกูลขุนนางในเจียงหนานเพื่อการใหญ่ จึงต้องปล่อยวางอำนาจบางส่วนแลกกับการสนับสนุนจากบรรดาตระกูลขุนนาง
แต่ด้วยความเก่งกล้าสามารถของอู่ตี๋ ตระกูลขุนนางเหล่านั้นจึงมิกล้าขัดขวางเกินงาม ยามนั้นราชสำนักหนานฉู่ล้วนมีแต่คนเก่งกล้า มิยึดติดกับชาติกำเนิดความเป็นมา มิถามหาเรียงความคุณธรรม เป็นยุคที่หนานฉู่รุ่งเรืองที่สุด
น่าเสียดายอู่ตี้ก่อตั้งแว่นแคว้นได้มิถึงเจ็ดปีก็โชคร้ายสิ้นพระชนม์ หลังจากหลิงอ๋องสืบต่อราชบัลลังก์ อำนาจของตระกูลขุนนางก็กลับมาผงาดอีกหน เจ้าแคว้นสามรุ่นต่อจากนั้นล้วนโง่เขลา รู้จักแต่ทำให้ตระกูลขุนนางคานอำนาจกันเพื่อรักษาราชบัลลังก์ การสอบเคอจวี่เปลี่ยนรูปแบบจากการเลือกคนเก่งด้วยการอภิปรายปัญหาบ้านเมืองเป็นการขันแข่งด้วยบทกวี ยิ่งไปกว่านั้นแม้จะมีรายชื่อบนป้ายทองแล้ว แต่หากไร้ตระกูลขุนนางสนับสนุน แม้มีความสามารถน่าตะลึงก็มิอาจเอาตัวเข้าไปอยู่ในราชสำนักได้
การผลัดเปลี่ยนคนในราชสำนักส่วนใหญ่ล้วนเป็นผลลัพธ์จากการต่อสู้ห้ำหั่นของตระกูลขุนนาง คนดีคนเก่งล้วนเป็นได้เพียงผู้น้อย คนไร้ความสามารถกลับได้เป็นขุนนางตำแหน่งสูง เหตุที่ผู้มีความสามารถในหนานฉู่ล้วนหมดกำลังใจ ส่วนมากก็เป็นเพราะเรื่องนี้ เจ้าแคว้นยังมิรู้จักพยายามเพื่อปกป้องรากฐานของแว่นแคว้น แล้วนับประสาอะไรกับพวกเราประชาชนคนธรรมดาเหล่านี้เล่า”
ดวงตาของติงหมิงฉายแววหม่นหมอง เขาเองก็เป็นบัณฑิตจากตระกูลยากจน ร่ำเรียนตำรามิสำเร็จจึงมาฝึกฝนกระบี่ แม้ประสบความสำเร็จเป็นมือกระบี่ผู้โด่งดัง แต่ในสายตาตระกูลขุนนางก็เป็นเพียงจอมยุทธ์คนหนึ่ง แม้มีปณิธานอยากตอบแทนแคว้นแต่ไร้หนทางเป็นขุนนาง
แต่เขาก็ยังคงตอบว่า “เจ้าแคว้นยังทรงพระเยาว์ ยังมิทันได้ขึ้นปกครองด้วยตนเอง อัครมหาเสนาบดีซั่งกุมอำนาจปกครอง แม้มิได้เก่งกาจ แต่ราชสำนักก็เรียกได้ว่ามั่นคง แล้วยังมีแม่ทัพใหญ่ลู่เลือกใช้คนด้วยความสามารถเพื่อปกป้องแผ่นดิน หากมีคนเก่งคอยช่วยเหลือ ไม่แน่ว่าจะไร้โอกาสพลิกสถานการณ์ คุณชายมองเรื่องราวทะลุปรุโปร่ง ช่างหาได้ยากยิ่งนัก หากยอมเป็นกำลังให้แว่นแคว้น จักต้องเป็นขุนนางผู้โด่งดังแห่งยุคเป็นแน่ เหตุใดจึงต้องฝังตัวเองอยู่ในหมู่ประชาชน เก็บงำความสามารถ”
ข้าหัวเราะหยัน “หากพี่ติงคิดเช่นนี้จริง ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องส่งแขกแล้ว หากบอกว่าเจ้าแคว้นยังทรงพระเยาว์ เพียงยังมิทันขึ้นปกครองบ้านเมืองด้วยตนเอง พี่ติงคงมิทราบว่ากำแพงมังกรแก้วยามนี้วางอยู่ในหอเก็บสมบัติของวังหลวง
นับตั้งแต่รัชศกเสี่ยนเต๋อปีที่ยี่สิบสอง เจี้ยนเย่ถูกหลี่จื้อตีแตก ตระกุลขุนนางที่กุมอำนาจการปกครองในราชสำนักต่างประสบหายนะจากสงคราม มีเพียงคนแซ่ซั่งที่ได้ลาภจากเภทภัย เข้ายึดครองราชสำนัก
สิบปีที่ผ่านมาราชสำนักใช่คลื่นลมสงบเสียที่ใด ราชสำนักขึ้นอยู่กับคำพูดของคนแซ่ซั่งแต่ผู้เดียวต่างหาก แต่น่าเสียดายคนแซ่ซั่งเก่งกาจมิพอ สายตาตื้นเขิน มิรู้จักฉวยโอกาสที่กุมอำนาจปกครองจัดระเบียบราชสำนักใหม่ ลดทอนอิทธิพลของตระกูลขุนนางในท้องถิ่น ยกคนมีความสามารถขึ้นกุมอำนาจ เสริมกำลังแว่นแคว้นให้แข็งแกร่ง กลับเอาแต่แต่งตั้งคนใกล้ชิด มิสนใจว่าเก่งกาจหรือโง่เขลา ราชสำนักในอดีตยังพอมีคนที่ใช้การได้อยู่บ้าง แต่ยามนี้นอกจากคนเพียงคนสองคน ก็มีแต่คนใกล้ชิดของคนแซ่ซั่งกับพวกโง่เขลาเบาปัญญา
แม้แม่ทัพลู่จะเป็นดังที่ท่านพูด เลือกใช้คนเก่งคนมีความสามารถ แต่กรมกลาโหมตกอยู่ในกำมือซั่งเหวยจวิน อยากได้รับตำแหน่งหัวหน้ากองพันในกองทัพต้องมีหนังสือคำสั่งจากกรมกลาโหม แม้ลู่ช่านตั้งใจ แต่หลายปีมานี้มีสักกี่คนได้เลื่อนยศจากพลทหารเป็นแม่ทัพ
มิหนำซ้ำลู่ช่านก็ได้แต่เลือกคนมีความสามารถจากในกองทัพที่เขาบัญชาการเองเท่านั้น นั่นก็คือแม่ทัพในสายตระกูลลู่ การเลื่อนตำแหน่งส่วนใหญ่ก็เกี่ยวพันกับตระกูลและสายเลือด จุดนี้แม้แต่ตัวลู่ช่านเองก็ไร้กำลังจะเปลี่ยนแปลง
หากมิใช่เช่นนี้ เหตุใดคนเก่งกล้าเช่นพี่ติงมีปณิธานอยากตอบแทนแว่นแคว้นแท้ๆ แต่กลับมิเคยเข้าร่วมกองทัพรับใช้แว่นแคว้นในสมรภูมิ ทำได้แต่ช่วยเหลืออยู่ข้างนอกเล่า”
ติงหมิงถอนหายใจแล้วถอนหายใจอีก สุดท้ายก็ไร้วาจาตอบโต้ คุณชายอาภรณ์หรูหราผู้นี้พูดถูกต้องทุกคำ เขาไร้หนทางจะโต้แย้ง จึงได้แต่กล่าวว่า “แคว้นรุ่งเรืองหรือล่มจม ประชาชนทุกคนมีส่วนรับผิดชอบ แม้นคุณชายกล่าวมีเหตุผล แต่ยามนี้สถานการณ์ตึงเครียด พวกข้ามิอาจนิ่งดูดายมองกองทัพต้ายงบุกลงใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมิอาจเบิ่งตามองกองทัพต้ายงเข่นฆ่าผู้คนในอู๋เย่ว์ ทิ้งโครงกระดูกนับมิถ้วนไว้ น่าเสียดายตระกูลขุนนางกับเหล่าพ่อค้าในอู๋เย่ว์ผู้ที่ยังมิได้รับผลกระทบส่วนมากล้วนหวั่นกลัวกองทัพต้ายงจึงมิกล้าบริจาคทรัพย์ก่อตั้งกองกำลังอาสา ช่างน่าเสียดาย น่าทอดถอนใจอย่างแท้จริง!”