ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 66 คล้ายฝันหนึ่งตื่น (2)
เห็นเขาได้สติ ทั้งยังเรียกขานกันด้วยคำเรียกสมัยพบกันหนแรก ติงหมิงก็โล่งใจ คลี่รอยยิ้มเอ่ยว่า “พวกเราไปอู๋โจวกันเถิด ข้าคิดว่าเถ้าแก่โจวแห่งโรงปักผ้าเสียซิ่วน่าจะเตรียมการไว้แล้ว”
ไผ่ระทมยิ้มอย่างปลอดโปร่ง โยนควมกลัดกลุ้มในใจทิ้งไป แล้วคว้าลำไม้ไผ่ขึ้นมาถ่อเรือเตรียมมุ่งไปอู๋โจว ทว่าทันใดนั้นเขาก็ร้องเสียงหลง ติงหมิงตกใจ เงยหน้าขึ้นถามว่า “เกิดอันใดขึ้น”
ไผ่ระทมตอบหน้าเศร้า “เจ้าพวกไร้มโนธรรมพวกนี้ ทิ้งพวกเราไว้บนเรือก็ช่างเถิด แต่เหตุใดไม่ผูกเรือไว้ด้วยเล่า ตอนนี้พวกเราถูกน้ำในทะเลสาบซัดมาถึงไหนแล้ว ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ติงหมิงฟังจบก็ตะลึงก่อนเป็นสิ่งแรก จากนั้นก็หัวเราะดังลั่น เสียงหัวเราะนั่นเต็มไปด้วยความเบิกบานใจ เขาคิดในใจว่า มีโอกาสมากกว่าครึ่งที่เรื่องนี้จะเป็นความจงใจของเจ้าหอกลไกสวรรค์ ไม่แน่อาจจะเป็นการลงโทษวาจาเสียมารยาทของไผ่ระทมก็เป็นได้
ติงหมิงแหงนมองก้อนเมฆบนท้องนภา สีหน้าเป็นมิตรและท่าทางผ่อนคลายของอวิ๋นอู๋จงปรากฏขึ้นตรงหน้าอีกหน ‘เจตนาสวรรค์ยากเดา จงคิดถ้วนถี่และมองให้ไกล’ แม้ประโยคนี้จะเป็นที่มาของหอกลไกสวรรค์ แต่ในสายตาของอวิ๋นอู๋จงคนนั้น เกรงว่าความหมายที่แท้จริงคงจะเป็น ‘แต่ไหนแต่ไรเจตนาสวรรค์ยากคาดเดา สรวลเสเมามายลืมสิ้นทุกสิ่งอัน’ มากกว่ากระมัง
“ฮัดเช้ย” ข้าจามออกมาเสียงดังแล้วยกมือขึ้นถูจมูก มีคนกำลังด่าข้าลับหลังอยู่ใช่หรืออไม่ ไม่รู้ว่าเป็นเจียงไห่เทาหรือฮั่วฉง พวกเขาสองคนด่าข้าย่อมสมควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งฮั่วฉง อายุเพียงสิบกว่าปีก็ถูกข้าทิ้งไว้บนสนามรบ จะว่าไปแล้วตัวข้าเองก็รู้สึกผิดอยู่เหมือนกัน
หรือว่าจะเป็นฮูเหยียนโซ่ว ตั้งแต่เมื่อวานเขาก็สีหน้าไม่ค่อยดีนัก เรื่องนี้ก็มิแปลก หากข้ายังเดินทางไปไม่ถึงค่ายใหญ่ของกองทัพต้ายง สีหน้าของเขาก็คงไม่ดีขึ้นอย่างแน่นอน
หรือว่าจะเป็นเสี่ยวซุ่นจื่อกำลังตำหนิข้า ตั้งแต่เมื่อคืนวานที่ข้ามิยอมให้เขาสังหารคนปิดปาก เขาก็ใช้สายตาเย็นยะเยือกจ้องข้าอยู่ตลอด หากมิใช่ว่าข้าเตือนเขาอย่างจริงจังว่ามิให้เขาลงมือลับหลัง น่ากลัวว่าสองคนนั้นคงหาชีวิตไม่แล้ว ตอนนี้เขาแค่ถลึงตาใส่ข้าก็นับว่าเกรงใจอย่างยิ่ง
เวลานี้เรือเล็กที่ข้าโดยสารกำลังแล่นไปทางอู๋ซี เมื่อคืนวานลูกน้องในหนานฉู่ของข้ามารวมตัวพร้อมหน้า เปิดการประชุมลับกลางทะเลสาบเจิ้นเจ๋อ นี่เป็นการประชุมครั้งแรกและครั้งเดียวนับตั้งแต่ข้าออกไปจากหนานฉู่ เฉินเจิ่น หานอู๋จี้ย่อมมาปรากฏตัวด้วย ศิษย์ในค่ายลับนอกจากอวี๋หลุนก็มากันพร้อมหน้าเช่นเดียวกัน
ตั้งแต่ต้นปีของปีนี้ข้าก็ถ่ายทอดคำสั่งให้เฉินเจิ่นกับหานอู๋จี้ให้พวกเขาจัดการประชุมครั้งนี้ แล้วยังจงใจบอกว่าข้าจะมาปรากฏตัว แน่นอนว่าเวลากับสถานที่ล้วนจงใจใช้ถ้อยคำคลุมเครือบอกกล่าว ใช้โอกาสนี้ทดสอบความภักดีของศิษย์ทั้งหมด แต่เดิมพวกเขาก็ชำนิชำนาญเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว ทุกสิ่งล้วนมิต้องให้ข้าใส่ใจเตือน ผลลัพธ์ที่ปรากฏทำให้ข้าโล่งใจ แม้หลายปีที่ผ่านมาจะแทบมิมีโอกาสพบหน้า แต่ความภักดีของพวกเขากลับมิลดน้อยถอยลง
หลังจากได้พบหน้าทุกคนแล้ว ข้าจึงอธิบายเป้าหมายและแผนการของหอกลไกสวรรค์ในหลายปีต่อจากนี้จนกระจ่าง สิ่งนี้ก็คือเหตุผลที่ข้าต้องรั้งอยู่ที่ทะเลสาบเจิ้นเจ๋อสองสามวัน แม้ข้าจะเป็นผู้สร้างหอกลไกสวรรค์ขึ้นมา อีกทั้งค่ายลับยังเป็นขุมกำลังและที่พึ่งอันยิ่งใหญ่ที่สุดของข้า แต่ห่างกันนานย่อมห่างเหิน ศึกใหญ่ใกล้จะมาถึงแล้ว ข้ามิอาจมองข้ามปัจจัยเล็กน้อยใดๆ ได้ มีแต่ต้องใช้สองตาของตนเองยืนยันความคิดของพวกเขา โน้มน้าวให้พวกเขายอมรับการตัดสินใจของข้าต่อหน้าเท่านั้น ข้าถึงมั่นใจได้ว่าจะควบคุมหอกลไกสวรรค์ได้ดุจแขนขา ทั้งให้พวกเขาเป็นกำลังให้ข้าและขณะเดียวกันก็ไม่ทำลายรากฐานของหอกลไกสวรรค์
หลายปีต่อจากนี้ระหว่างทั้งสองแคว้นจะกลายเป็นดั่งน้ำกับไฟ การส่งข่าวสารไปมาจะยากเย็นยิ่งนัก เพื่อความปลอดภัย ข้าคงไม่มีหนทางออกคำสั่งโดยละเอียดแก่พวกเขาดังเช่นก่อนหน้านี้อีก ดังนั้นการพบหน้าหนนี้ ข้าจะต้องทำให้พวกเขาเข้าใจจุดประสงค์ของข้า เรื่องเหล่านี้ใช้จดหมายมิอาจบอกกล่าวได้ชัดเจน ดังนั้นข้าจึงต้องเดินทางมาด้วยตนเอง
ข้าตัดสินใจว่าระหว่างการสู้รบของต้ายงกับหนานฉู่ หอกลไกลสวรรค์จะดำรงตนเป็นกลาง ไปจนถึงเอนเอียงเข้าฝั่งหนานฉู่ได้เล็กน้อย พวกเขามิจำเป็นต้องส่งข่าวสารอันใดให้ต้ายงและไม่ต้องให้พวกเขาทำตัวเป็นไส้ศึกประสานในนอก แม้แต่เรื่องที่เดิมทีเตรียมจะให้พวกเขายุยงตระกูลใหญ่ในอู๋เย่ว์ให้สนับสนุนลู่ช่านก่อตั้งกองกำลังอาสา ตอนนี้ก็มีคนรับช่วงต่อแล้ว พวกเขาเพียงต้องคอยผลักดันจากด้านข้างก็ใช้ได้ รอจนกระทั่งต้ายงรุกคืบทีละก้าว พวกเขาค่อยเป็นฝ่ายร่วมมือด้วยเล็กน้อยเท่านั้นก็พอ
การตัดสินใจเช่นนี้ทำให้เฉินเจิ่นกับไป๋อี้ต่างประหลาดใจยิ่งนัก ถึงขั้นที่หลังจากลังเลครู่หนึ่ง ไป๋อี้ก็บอกอ้อมๆ ว่าพวกเขามิถือสาเรื่องที่ตัวเองเป็นคนหนานฉู่ พวกเขาภักดีต่อข้าเพียงผู้เดียว ถึงแม้ความตั้งใจของพวกเขาจะทำให้ข้าซาบซึ้ง แต่ก็มิอาจเปลี่ยนการตัดสินใจของข้าได้
การตัดสินใจเช่นนี้ มิใช่เป็นเพราะสงสัยในความภักดีของพวกเขา แม้พวกเขาเกือบทุกคนล้วนเป็นคนหนานฉู่ แต่ราชสำนักและบ้านเกิดเมืองนอนแทบมิเคยดีต่อพวกเขา ตอนแรกที่ข้าเลือกศิษย์ของค่ายลับจากหมู่เด็กกำพร้า ก็เพราะไม่ต้องการให้พวกเขามีความผูกพันมากนัก หลายปีที่ผ่านมาพวกเขาก็มิได้ไม่พอใจที่ข้าหันไปเข้ากับต้ายง คอยทำงานให้ข้าด้วยความภักดีตลอดมา ดังนั้นข้าจึงไม่คิดว่าพวกเขาจะคิดทรยศข้าขึ้นมาเพราะบ้านเกิดเมืองนอน แต่ถึงแม้ศิษย์เหล่านี้ไม่คิดอันใด แต่ข้ามิอาจมิคำนึงถึงข้อจำกัดของหอกลไกสวรรค์
มิว่าอย่างไร รากฐานของหอกลไกสวรรค์ก็ยังอยู่ที่หนานฉู่ หากพูดถึงการติดต่อค้าขายกับแคว้นศัตรู หรือคิดจะทำเรื่องที่มิเป็นผลดีต่อราชสำนักสักเล็กน้อย เรื่องพวกนี้ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาของกลุ่มการค้าลึกลับสักแห่ง ต่อให้มีสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับต้ายงสักหน่อย สำหรับพ่อค้าที่เห็นผลประโยชน์เป็นสำคัญก็มิมีสิ่งใดพิเศษ แต่หากข้าอยากให้หอกลไกสวรรค์ทุ่มกำลังทั้งหมดร่วมมือกับกองทัพต้ายง ทำเช่นนี้ย่อมนำไปสู่การสั่นคลอนรากฐานของหอกลไกสวรรค์
หอกลไกสวรรค์ทำตัวลึกลับดุจเทพผีอยู่ได้ก็เพราะมีกิจการมากมาย มีพันธมิตรอยู่ทั่วเจียงหนาน แต่ผู้ดูแลและลูกจ้างของกิจการเหล่านี้ส่วนมากล้วนเป็นคนหนานฉู่ พันธมิตรเหล่านั้นมากกว่าครึ่งก็ล้วนเป็นคนหนานฉู่ ศิษย์หอกลไกสวรรค์อาจมิคำนึงถึงหนานฉู่อันเป็นบ้านเกิดเมืองนอน แต่คนหนานฉู่เหล่านั้นมิคำนึงถึงมิได้ พวกเขาอาจคุกเข่าเบื้องหน้ากองทัพต้ายง แต่ย่อมมิอาจสวามิภักดิ์ต่อแคว้นศัตรูได้อย่างแน่วแน่
แทนที่จะให้หอกลไกสวรรค์จุดไฟเผาท้ายเรือนของตนเอง มิสู้ให้พวกเขาอยู่ภายใต้การควบคุมของหอกลไกสวรรค์ต่อไป ทำเช่นนี้จะง่ายต่อการชักจูงพวกเขาให้ยอมรับการปกครองของต้ายงมากกว่า หากจะทำให้หอกลไกสวรรค์ล่มสลาย ชื่อเสียงย่อยยับเหมือนกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่ว ข้าก็ตัดใจมิลง กิจการของหอกลไกสวรรค์เป็นแหล่งลงหลักปักฐานของลูกน้องและศิษย์เหล่านี้ของข้า ความสูญเสียอันประมาณค่ามิได้ทำให้ข้าปวดใจ
แน่นอนว่าสิ่งสำคัญที่สุดก็คืองานเกินหน้าที่มิอาจทำ งานรวบรวมข่าวสาร ซื้อตัวขุนนางกับแม่ทัพคนสำคัญของแคว้นศัตรู เหล่านี้ล้วนเป็นหน้าที่ของกองการข่าว หากข้าสอดมือเข้าไปยุ่ง ไฉนมิใช่ทำงานก้าวล่วงอำนาจ ข้ามิมีแผนจะช่วงชิงความดีความชอบกับกองการข่าว
ก็เหมือนเรื่องพันธมิตรจิ่นซิ่วเมื่อครั้งนั้น ตอนนี้เมื่อคิดดูแล้ว ข้าก็ยุ่งไม่เข้าเรื่องอยู่บ้าง การสอดส่องจับตาขุนนางเป็นเรื่องของกรมวินิจการณ์ แต่ข้ากลับให้กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วเข้าไปยุ่ง แม้ผลลัพธ์จะออกมาไม่เลว แต่หากทำให้หลี่จื้อไม่พอใจเพราะเรื่องนี้ นั่นย่อมได้ไม่คุ้มเสีย
ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่ว เซี่ยโหวหยวนเฟิงแบกความผิดแทนข้าไปแล้ว หากหนนี้หอกลไกสวรรค์กลายเป็นเป้าของทุกคนอีก จะให้กองการข่าวมาแบกคราวเคราะห์แทนข้าอีกหรือไร คิดมาคิดไป ให้หอกลไกสวรรค์อยู่อย่างสงบมั่นคงสักหน่อยดีกว่า ผู้ที่ทำตัวซ่อนคมจึงจะเป็นผู้ชนะที่แท้จริง
ขณะที่ข้ากำลังตกอยู่ในห้วงภวังค์ความคิด ชายหนุ่มอาภรณ์สีน้ำเงินคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในลำเรือ เขารายงานอย่างนอบน้อม “คุณชาย นกพิราบฝั่งอู๋ซีส่งสารมา ทุกสิ่งตระเตรียมพร้อมแล้ว รอเพียงคุณชายมาถึงก็ออกเดินทางได้”
ข้าได้สติกลับมา คลี่ยิ้มตอบว่า “ซานจื่อ เจ้าแตกฉานเรื่องกลไกและอาวุธลับไม่เป็นรองข้า หนนี้เจ้ายังลงมือด้วยตนเอง ข้าย่อมวางใจว่าจะไม่มีทางทำให้การเดินทางของข้าล่าช้าหรือเผยพิรุธเป็นแน่ แต่ตอนขึ้นเรืออาจต้องจัดการอีกสักหน่อย ต้องหลีกเลี่ยงหูตาผู้คนและต้องมิให้ผู้ใดฉุกใจสงสัย”
ชายหนุ่มอาภรณ์สีน้ำเงินคนนั้นดวงตาฉายแววยินดีปรีดา ซาบซึ้งกับคำชื่นชมของข้ายิ่งนัก แต่การสั่งสอนที่ได้รับมาทำให้เขาบังคับอารมณ์หวั่นไหวในใจไว้ได้ เขาขานรับแล้วขอตัวออกไป ก่อนจากไป สายตากวาดผ่านร่างฮูเหยียนโซ่วแวบหนึ่ง
ฮูเหยียนโซ่วผู้ยืนเงียบอยู่ด้านข้างมาตลอดถอนหายใจอยู่ในใจ ชายหนุ่มอาภรณ์สีน้ำเงินผู้นี้หน้าตาสุขุมเคร่งขรึม แต่วรยุทธ์เห็นชัดว่ามิอ่อนแอ
ดูจากบุคลิกและวาจาของเขาก็รู้แล้วว่าเป็นคนที่โดดเด่นเหนือผู้อื่น ฟังจากคำเรียกขานที่ท่านโหวเรียกเขา คิดว่าเขาคงเป็นหนึ่งในแปดหัวหน้าของค่ายลับเช่นกัน
การประชุมของหอกลไกสวรรค์เมื่อคืนวาน วันนี้นึกย้อนกลับไปประดุจดั่งห้วงฝันห้วงมายา แม้เขามิมีสิทธิ์เข้าร่วม แต่ก็ได้ยืนอยู่ด้านข้างเห็นศิษย์ค่ายลับทั้งหลายเข้าออก วันนี้นึกดูแล้วก็ยังต้องถอนหายใจชื่นชมมิเลิก แผ่นดินเจียงหนานดินแดนอุดมสมบูรณ์ผู้คนเก่งกาจสามารถอย่างแท้จริง ยอดบุรุษมีแน่นขนัดนัก หากเจ้าแคว้นหนานฉู่เป็นเจ้าแผ่นดินผู้ปรีชา ผลักดันคนดีคนเก่งกล้า ต้ายงคงมิมีโอกาสคว้าชัยชนะสักนิด
เรือแล่นอยู่สองวัน ในที่สุดก็มาถึงอู่ต่อเรือลับแห่งหนึ่งที่อู๋ซี ข้าเดินออกจากลำเรือแล้วมองดูเรือสินค้าที่ต่อขึ้นเป็นพิเศษและอัดแน่นด้วยเสบียง ในใจเกิดความรู้สึกเศร้าสร้อย เมื่อก้าวขึ้นเรือลำนี้ก็หมายความว่าช่วงเวลาอิสระเสรีอันแสนสั้นครั้งนี้ได้จบลงแล้ว ฝันดีช่างถูกปลุกให้ตื่นง่ายดายนัก เฮ้อ!