ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 72 ดาบตะขอแดนอู๋วาววับดุจหิมะ (4)
บนถนนสองฝั่งฝุ่นฟุ้งตลบ ชุดเกราะของทหารต้ายงประจำฉู่โจวเห็นชัดท่ามกลางฝุ่นควัน พวกเขาล้อมเข้ามาจากสี่ด้านแปดทิศ ประชาชนบนถนนวิ่งหนีกระเจิงไปรอบด้าน บุรุษร่างใหญ่ผู้สวมอาภรณ์หรูหราคนหนึ่งพาทหารป้องกันเมืองสวมเกราะสีเทาหนึ่งร้อยกว่านายพุ่งตรงมา เขาชี้เรือนสองฝั่งถนนแล้วสั่งว่า “มีคนเห็นมือสังหารปรากฏตัวที่นี่ เขาจะต้องหนีเข้าไปในเรือนหรือร้านรวงสองฝั่งนี้แน่ พวกเจ้าค้นทีละหลัง หากมีคนขัดขืนสังหารมิละเว้น”
เวลานี้โจวหมิงเองก็มาเกาะหน้าต่างมองลงไปด้านล่างด้วยแล้ว เขาจำได้ว่าบุรุษร่างใหญ่ผู้สวมอาภรณ์ผ้าไหมผู้นั้นคือเกาปิ่ง หัวหน้ากองพันของกองทหารป้องกันเมืองฉู่โจว ระบบกองทัพของต้ายงกำหนดให้แต่ละเมืองมีกองทหารป้องกันเมือง แต่กำลังรบของพวกเขาค่อนข้างอ่อนแอ แหล่งที่มาของกำลังพลโดยหลักมาจากทหารที่ถูกปลดระวาง ยามปกติจะช่วยเหลือเจ้าเมืองรักษาความสงบตามสถานที่ต่างๆ
กองทหารป้องกันเมืองฉู่โจวมีกำลังพลสามพันคน เพียงแต่ว่าตอนนี้ฉู่โจวยังเป็นเมืองที่อยู่ใต้การดูแลของผู้บัญชาการทหารไหวหนาน ดังนั้นกองกำลังจึงมีไม่เต็มจำนวน มีเพียงหนึ่งพันสองร้อยคนเท่านั้น เกาปิ่งผู้นั้นเป็นคนตระกูลเดียวกับเกาหรงพี่ชายของฮองเฮา เขามารับตำแหน่งหัวหน้ากองพันของกองทหารป้องกันเมืองแห่งนี้เพราะจุดประสงค์ใด มิต้องถามก็คงทราบ
คนผู้นี้เป็นเขี้ยวเล็บคนสนิทของหลัวจิ่งเจ้าเมืองฉู่โจวมาตลอด โจวหมิงเกลียดชังเขาเข้ากระดูกดำ ในใจคิดว่าเขาจะมาจับมือสังหารอะไร มีคนลอบสังหารหลัวจิ่งหรือ เขาเป็นคนความคิดฉับไวมาตลอดจึงเชื่อมโยงเรื่องราวกับคำพูดเมื่อครู่ของจวงชิงผู่ได้ทันที
ฟังจากน้ำเสียงของเขา เรื่องที่ตั้งใจทำคงสำเร็จแล้ว มิมีห่วงอีกต่อไป หลัวจิ่งผู้นั้นคงถูกสังหารไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่ลงมือก็คงเป็นจวงชิงผู่
เมื่อคิดเรื่องนี้ออก โจวหมิงก็พลันรู้สึกประหนึ่งตกลงไปยังโถงน้ำแข็ง ในใจหามีความยินดีที่คนชั่วถูกชำระแค้นแม้สักนิด ทั้งยังไม่มีกะจิตกะใจจะขบคิดว่าจวงชิงผู่ใช้วิธีการเช่นไรลอบสังหารเจ้าเมืองตำแหน่งใหญ่โตคนหนึ่ง ในสมองคิดแต่เพียงว่าจวงชิงผู่ยังอยู่ที่ชั้นล่างมิทันได้ออกไป ตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมแน่นหนาเช่นนี้ จวงชิงผู่จะหนีออกไปเช่นไรเล่า
เกาปิ่งที่อยู่ด้านล่างเหงื่อกาฬแตกพลั่กทั่วร่าง เขาหวนคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งชั่วยามก่อนแล้วก็ยังรู้สึกประหนึ่งตกอยู่ในความฝัน ยามนั้นจู่ๆ ก็มีบัณฑิตคนหนึ่งเดินทางมาขอพบ บอกว่าเกลี้ยกล่อมบัณฑิตในฉู่โจวให้รับตำแหน่งขุนนางของราชสำนักต้ายงได้ หลัวจิ่งย่อมยินดีปรีดา เพราะเรื่องหวาเสวียน ทำให้เขาตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ แม้เขาอาศัยฎีการ้องเรียนเผยอวิ๋นหลบเลี่ยงการเป็นจุดสนใจไปได้ แต่หากราชสำนักทราบความจริงในเรื่องนี้ขึ้นมา หนทางในอนาคตน่ากลัวว่าคงย่อยยับหมดสิ้น ดังนั้นหลัวจิ่งจึงรีบอนุญาตให้เข้าพบอย่างรวดเร็ว
บัณฑิตคนนั้นยามเข้ามาพบที่เอวห้อยกระบี่ยาวไว้เล่มหนึ่ง นอกเหนือจากนั้นก็มิมีอาวุลับซ่อนเอาไว้อีก หลิ่วจิ่งกับเกาปิ่งคิดว่ากระบี่เล่มนี้ประดับไว้ตามความนิยมเหล่าบัณฑิตเท่านั้นจึงมิได้สนใจ แต่เพื่อปลอดภัยไว้ก่อนก็ยังให้เขาปลดกระบี่ก่อนเข้าไปด้านใน
บัณฑิตที่มาขอพบเรียกตนเองว่าจวงชิงผู่ เขาเป็นลูกศิษย์ของหวาเสวียน หลัวจิ่งเคยได้ยินนามนี้ มาก่อน เขาทราบว่าคนผู้นี้มีชื่อเสียงไม่น้อยในหมู่บัณฑิตฉู่โจว แม้จะดูแคลนคนผู้นี้ที่อกตัญญูเนรคุณ มินึกถึงความตายของอาจารย์ผู้มีพระคุณ เดินทางมาขอยอมสวามิภักดิ์ แต่หลัวจิ่งก็ทราบว่าหากมีคนผู้นี้ช่วยเหลือ การใหญ่ที่จะชักชวนบัณฑิตฉู่โจวให้มาเป็นพวกก็คงมีโอกาสสำเร็จถึงแปดเก้าในสิบส่วน ดังนั้นเขาจึงต้อนรับจวงชิงผู่คนนั้นอย่างให้เกียรติอย่างยิ่ง
จวงชิงผู่สาธยายอย่างเยือกเย็น เขารู้จักบัณฑิตชื่อดังในฉู่โจวกระจ่างดั่งฝ่ามือ ยามอธิบายว่าจะเกลี้ยกล่อมคนเหล่านี้เช่นไร ฟังดูแล้วมีเหตุผลน่าเชื่อถือ หลัวจิ่งฟังแล้วก็ปลาบปลื้ม มิสงสัยอีกต่อไป แม้หลัวจิ่งจะหยิ่งยโสเอาความคิดตนเองเป็นใหญ่ แต่ความรู้ความสามารถก็มีไม่น้อย มิเช่นนั้นคงมิอาจรับตำแหน่งเจ้าเมือง เมื่อเห็นจวงชิงผู่มีความรู้และบุคลิกท่าทางโดดเด่นเหนือผู้อื่นจึงตั้งใจจะชักชวนมาเป็นพวก เริ่มสนทนาอย่างละเอียดกับเขา พอได้เปิดปากคุยก็รู้สึกถูกคอยิ่งนัก
ขณะที่กำลังคุยกันอย่างเพลิดเพลินอยู่นั้น จวงชิงผู่ก็ลุกขึ้นมารำกระบี่ หักกิ่งหลิวมาเป็นกระบี่ ครวญบทเพลงพลางร่ำไห้ มีวรรคหนึ่งร้องว่า “เหตุใดหนอจึงถูกคนทอดทิ้ง ร่วงหล่นนอนแน่นิ่งใต้คุกเก่า แม้นธุลีกลบฝังมิอาจกวัดไกว ประกายคมยังวูบไหววาววับต้องราตรี[1]”
หลัวจิ่งเห็นท่าทางห้าวหาญสง่างามของเขากลับมิฉุกใจสงสัย คลี่ยิ้มบอกว่ารำกระบี่มิอาจไร้กระบี่ สั่งให้คนนำกระบี่พกของจวงชิงผู่มา
จวงชิงผู่รับกระบี่มาแล้วก็ร่ายรำกระบี่อีกหน กระบี่กวัดไกวประหนึ่งริ้วรุ้ง ประกายวาววับเย็นเยือกดั่งหิมะ หลังจากการรำกระบี่จบลง หลัวจิ่งก็ก้าวเข้าไปพูดด้วย ทว่าจู่ๆ กลับถูกจวงชิงผู่ลอบสังหาร เกาปิ่งเข้าไปช่วยมิทัน ทำได้เพียงล้อมเว่ยช่วยจ้าว ซัดหนึ่งฝ่ามือใส่จุดสำคัญกลางแผ่นหลังของจวงชิงผู่ หวังว่าจวงชิงผู่จะหลบ เมื่อเป็นเช่นนี้เขาย่อมมิอาจสังหารหลัวจิ่งสำเร็จในกระบวนท่าเดียว แม้วิชากระบี่ของจวงชิงผู่จะงดงาม แต่เขากลับมิใช่ยอดฝีมือชั้นหนึ่ง ขอเพียงมีช่องว่างสักเสี้ยวหนึ่ง เกาปิ่งมั่นใจว่าเขาจะช่วยหลัวจิ่งได้
ผู้ใดจะคิดว่าจวงชิงผู่ตระหนักดีว่าตนเองจะมิมีโอกาสอีกเป็นหนที่สอง เขายอมรับหนึ่งฝ่ามือเพื่อเสือกกระบี่ทะลุหัวใจเอาชีวิตหลัวจิ่ง หลังจากนั้นหนีออกไปด้านนอก เกาปิ่งเดิมทีมั่นใจว่าหนึ่งฝ่ามือนี้จะโจมตีสะบั้นชีพจรหัวใจของมือสังหารได้ แต่จวงชิงผู่กลับยังมีกำลังเหลือพอหลบหนี เรื่องนี้รวมกับความสะเทือนใจที่หลัวจิ่งจบชีวิตทำให้เกาปิ่งนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง เมื่อเขาได้สติกลับมา จวงชิงผู่ผู้รู้จักจวนเจ้าเมืองเป็นอย่างดีก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
เกาปิ่งโทสะแล่นพล่านสู่หัวใจ ออกคำสั่งกองทหารป้องกันเมืองให้ตามจับตัว แล้วยังให้คนไปขอความช่วยเหลือจากเผยอวิ๋น สั่งเคลื่อนกำลังทหารปิดถนนทั้งหมดเพื่อตามจับมือสังหาร เกาปิ่งมิใช่คนไร้ความสามารถ แม้กองทัพต้ายงในเมืองจะมิได้อยู่ใต้การบัญชาการของเกาปิ่ง แต่พวกเขาก็ทราบว่าการจับมือสังหารผู้ลอบสังหารเจ้าเมืองเป็นเรื่องสำคัญจึงให้ความร่วมมืออย่างดี แม้ประชาชนฉู่โจวมิให้ความร่วมมือนัก แต่ก็ยังค้นพบร่องรอยของจวงชิงผู่
ครั้นแน่ใจว่าเขาอยู่บริเวณถนนเส้นนี้ กองทัพต้ายงที่ยังมิได้รับคำสั่งจากกองทัพเหล่านั้นจึงปิดล้อมเส้นทางสี่ด้านเอาไว้ ให้เกาปิ่งพากองทหารป้องกันเมืองเข้าไปตามหาเอง พอเกาปิ่งคิดขึ้นมาว่าจะมิมีคำอธิบายไปมอบให้เกาหรงผู้เป็นพี่ชายของฮองเฮา ความเหี้ยมเกรียมก็พลุ่งพล่านในหัวใจ พอเข้ามาก็ออกคำสั่งให้กองทหารป้องกันเมืองบุกค้น ห้วงเวลานั้นบ้านเรือนสองฝั่งถนนชุลมุนวุ่นวาย เสียงร่ำไห้ดังก้องท้องนภา มีเสียงผรุสวาทด่าทอของประชาชนที่ถูกทหารป้องกันเมืองฟาดแส้ใส่ดังขึ้นเป็นระยะ
โจวหมิงร้อนรนหมุนซ้ายหมุนขวา เขาไม่ต้องการให้จวงชิงผู่ถูกจับได้ แต่ก็ทนมองประชาชนถูกลากมาเคราะห์ร้ายด้วยมิได้ อีกอย่างกองทัพต้ายงต้องขึ้นมาหาชั้นบนแน่ หากทราบว่าจวงชิงผู่เคยมาเยือน พวกเขาต้องถูกหางเลขด้วยแน่นอน
แม้เขาจะเป็นบัณฑิตใจกล้าห้าวหาญ แต่เมื่อนึกถึงความร้ายแรงของการลอบสังหารเจ้าเมืองฉู่โจวจนตาย แล้วหวนคิดถึงการเข่นฆ่ากับคาวโลหิตยามเผยอวิ๋นบุกตีฉู่โจวในวันวาน หัวใจก็หนาวสะท้าน แต่ก็จนปัญญามิรู้ว่าจะรับมืออย่างไร
จวงชิงผู่ที่อยู่ชั้นล่างสีหน้าหม่นหมอง เขาย่อมทราบความร้ายแรงของสถานการณ์ดี ก่อนเขากลับมาฉู่โจว เขาก็ทราบข่าวร้ายเรื่องที่อาจารย์ผู้มีพระคุณเสียชีวิตแล้ว แม้เส้นสายของเขาที่ฉู่โจวจะทำให้เขาปะปนเข้าเมืองมาได้ ทั้งยังทำให้เขาทราบนิสัยของหลัวจิ่งก่อนจะได้พบหน้าจนวางแผนการลอบสังหารและลงมือสำเร็จในหนเดียว ทั้งยังหนีออกจากจวนเจ้าเมือง หาหนทางผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเปื้อนเลือดผละออกจากที่อันตรายสำเร็จ แต่เขาก็ทราบว่าตนมิมีโอกาสปะปนกับผู้คนหนีออกจากเมืองได้อย่างแน่นอน
การตรวจค้นคนออกจากเมืองแต่เดิมก็เข้มงวดยิ่งนักอยู่แล้ว หลังจากการลอบสังหาร กองทัพต้ายงย่อมต้องปิดเมือง ยิ่งกว่านั้นหากเขาจากไป กองทัพต้ายงที่โกรธแค้นคงค้นเมืองครั้งใหญ่ พัวพันถึงผู้บริสุทธิ์ ดังนั้นตั้งแต่แรกเขาก็มิคิดหลบหนี ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมีความกลัดกลุ้มที่ยากจะเอื้อนเอ่ยอีกเรื่องหนึ่ง เหตุผลที่ยามนี้เขารีรอมิออกไปเสียทีก็เพียงเพราะเขามิต้องการตกอยู่ในมือเกาปิ่ง ต้องทนรับความอัปยศก่อนสิ้นใจเท่านั้น
เวลานี้เองทหารป้องกันเมืองสองสามคนก็บุกเข้ามาในเหลาสุรา คนหนึ่งในนั้นมองปราดเดียวก็เห็นจวงชิงผู่ที่ยืนอยู่ตรงประตู จึงตะโกนเสียงดังว่า “มือสังหารอยู่ที่นี่”
จวงชิงผู่ถอนหายใจเบาๆ แล้วก้าวเท้าเดินออกไปด้านนอก ทหารป้องกันเมืองสองสามคนนั้นอยากจะก้าวเข้าไปจับตัวเขา แต่เมื่อเห็นท่าทางเยือกเย็นของเขาก็อึ้งไปครู่หนึ่งจนปล่อยให้เขาเดินมาจนถึงถนน พวกเขาตะลึงเพียงครู่เดียวก็ถือดาบตามออกมา ขวางทางถอยของจวงชิงผู่ไว้
จวงชิงผู่มิสนใจแม้แต่น้อย เขายืนอยู่กลางถนน ตะโกนเสียงดังว่า “จวงชิงผู่อยู่ที่นี่ พวกท่านไยต้องทำให้ชาวบ้านทั้งหลายเดือดร้อน”
เกาปิ่งเห็นเขาก็ดีใจยิ่งนัก เขามองปราดแรกก็จำจวงชิงผู่ได้ทันที จึงตวาดดุดันว่า “จับเขาไว้ ข้าจะหั่นศพเขาเป็นหมื่นชิ้น”
เพียงคิดว่าหนทางในอนาคตอาจต้องย่อยยับจบสิ้นด้วยน้ำมือคนผู้นี้ เขาก็เคียดแค้นชิงชังจนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน จวงชิงผู่หัวเราะเย็นชา กระบี่งามออกจากฝัก คมดาบวาววับทอประกายเย็นยะเยือก บีบให้เหล่าทหารป้องกันเมืองที่จะก้าวเข้ามาจับตัวถอยหลังกลับไป “หากคิดจะจับข้า เจ้าก็เข้ามาเองเถิด ทหารเหล่านี้เพียงทำตามคำสั่ง ข้ามิสนใจจะเอาชีวิตพวกเขา”
เกาปิ่งโกรธจัด ก้าวเข้าไปก้าวหนึ่งหมายจะลงมือด้วยตนเอง ในใจตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะทำให้จวงชิงผู่คนนี้อัปยศอดสูอย่างที่สุด
ทันใดนั้นพลันมีคนตะโกนเสียงดังขึ้นว่า “ช้าก่อน”
เกาปิ่งหันกลับไปมองก็เห็นเว่ยผิงคนในสังกัดค่ายไป๋อีของเผยอวิ๋นตะโกนห้ามมาจากหัวถนน เว่ยผิงมักต้องติดต่อกับเกาปิ่งเพราะได้รับคำสั่งอยู่บ่อยครั้ง เกาปิ่งย่อมจดจำเขาได้ เห็นเขาห้าม ในใจเกาปิ่งก็ขุ่นเคือง กำลังจะตั้งคำถามก็เห็นเว่ยผิงโบกมือ ทหารฝีมือเยี่ยมของกองทัพต้ายงแห่เข้ามาจากรอบทิศ คุมรอบด้านอย่างรวดเร็ว คันศรลูกธนู ดาบหอกเรียงรายดุจผืนป่า
เกาปิ่งเห็นเช่นนี้ก็โมโห “คนผู้นี้ลอบสังหารใต้เท้าหลัว สมควรมอบให้กองทหารป้องกันเมืองของข้าจัดการ”
[1]บทกวี ‘ยอดกระบี่ (宝剑篇) ’ ของ ถังกัวเจิ้น (唐郭震)