ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 74 เสียงขลุ่ยระดมพล เสียงฉาบยาตราทัพ (1)
รัชศกหลงเซิ่งปีที่แปด เดือนสอง หยางซิ่วรับบัญชาจากแม่ทัพลู่ช่านมาบัญชาการกองทัพฝั่งไหวหนาน คอยจับจ้องไหวเป่ย
…ประชุมพงศาวดาร บันทึกต้ายงเล่มที่สี่
พี่น้องตระกูลโจวบอกลากู้หยวนยงเสร็จก็ตั้งใจจะลงมาชั้นล่าง ภายในเหลาสุราบรรยากาศเปลี่ยนไปมากนัก ผู้คนที่ไม่เกี่ยวข้องทั้งหลายล้วนออกไปหมดแล้ว ชายหนุ่มสี่คนที่แต่เดิมนั่งอยู่ตรงที่นั่งด้านนอกก็ยืนคุ้มกันอยู่นอกม่านไม้ไผ่ทางฝั่งซ้ายสุดข้างละสองคน เรือนกายสูงตระหง่าน ท่าทีเคร่งขรึม
ตอนเดินผ่านหน้าทั้งสี่คน โจวหมิงกับโจวฮุ่ยพลันรู้สึกว่าสายตาเย็นเฉียบสี่คู่กวาดมองบนร่างของตนจนเหงื่อเปียกโชกอาภรณ์ ความน่าหวั่นเกรงระดับนี้ต้องมิใช่คนธรรมดาแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นยามสายตาของทั้งสองคนเหลือบมองตู้หลิงเฟิงที่ยืนอยู่นอกม่านไม้ไผ่ก็เห็นสีหน้านอบน้อมแฝงความหวั่นเกรงจางๆ เท่านี้ก็ทราบแล้วว่าบุรุษอาภรณ์เขียว เส้นผมเทาจอนผมขาว ด้านในม่านผู้นั้น คงเป็นแขกสูงศักดิ์ที่กู้หยวนยงเอ่ยถึง เพียงแต่พวกเขาคิดมิออกว่าเป็นผู้ใดก็เท่านั้น
ทั้งสองคนมิกล้าลอบสอดส่องจึงรีบร้อนเดินลงไปชั้นล่าง ในใจโจวฮุ่ยกลับนึกถึงดวงตาเยือกเย็นคู่นั้นของบ่าวรับใช้อาภรณ์สีเขียวขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ สิ่งที่น่าแปลกก็คือเขากลับนึกหน้าตาของคนผู้นั้นมิออก
ข้ายืนอยู่ริมหน้าต่าง มองลงไปเห็นพี่น้องตระกูลโจวเรียกชาวบ้านริมถนนมาช่วยจัดการเรื่องต่างๆ ของจวงชิงผู่ ตอนมองพวกเขา ข้าก็พูดขึ้นมาอย่างอดมิได้ “ข้าคงยุ่งไม่เข้าเรื่องเกินไปแล้ว ความจริงหนานฉู่มีผู้กล้านับไม่ถ้วน เมื่อแคว้นใกล้ล่มสลายพวกเขาก็ผุดขึ้นมาตรงนั้นตรงนี้มากมายมิหมดสิ้น มิจำเป็นต้องให้ข้าสิ้นเปลืองความคิดเตือนความจำ ฝ่าบาทก็ย่อมทราบความยากเย็นของการปราบหนานฉู่
ชาวฉู่ก็เหมือนสายน้ำ มองดูคล้ายอ่อนแอรังแกง่าย แต่หากจุดโทสะให้พวกเขาขึ้นมาจริงๆ ก็ย่อมต้องเผชิญหน้ากับการโต้กลับที่พุ่งทะลวงเข้ามาจากทุกช่องโหว่ วันนี้พวกเราเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่ก็เป็นเพราะยังมิได้บีบจิตใจของชาวฉู่ลงไปถึงขีดจำกัดก็เท่านั้น หากมิอาจทำให้ชาวฉู่สิ้นศรัทธาต่อราชวงศ์อย่างสมบูรณ์ แม้กองทัพม้าเหล็กเหยียบย่ำแผ่นดินเจียงหนานก็จะได้มาเพียงซากปรักหักพังกับแผ่นดินอันรกร้างเท่านั้น”
เสี่ยวซุ่นจื่อตอบว่า “เจตนาของคุณชายทำเพื่อรักษาคนเก่งกล้าของหนานฉู่เอาไว้ให้มากขึ้นสักหน่อย มิทำลายขุมกำลังของแผ่นดิน จิตใจเมตตา สวรรค์ย่อมมองเห็น จะกล่าวโทษคุณชายว่ายุ่งมิเข้าเรื่องได้เช่นไร”
ข้าถอนหายใจเล็กน้อย หวนนึกถึงช่วงหลายวันมานี้ที่ต้องซุกอยู่ในห้องลับบนตัวเรือ หลังจากนั้นพอมาถึงก่วงหลิง ลงเรือขึ้นฝั่งแล้วก็ต้องนอนกลางดินกินกลางทราย ลำบากลำบนยิ่งนัก กองทัพไหวตงของหนานฉู่มิได้รับมือง่าย คิดจะฝ่าแนวป้องกันแน่นหนา หากมิได้ศิษย์ค่ายลับที่ชำนาญภูมิประเทศนำทางให้ เกรงว่ากลุ่มของพวกเราที่มีคนมากมายขนาดนี้คงมิอาจมาถึงฉู่โจวอย่างเงียบเชียบ
แต่ถึงแม้เส้นทางที่พวกเราเดินทางผ่านจะยากลำบาก แต่ก็เป็นเส้นทางที่สายลับสองแคว้นมักเดินทางไปมา ตลอดทางจึงพบกับสายลับที่เดินทางไปมาพวกนั้นไม่น้อย อาศัยคำชี้แนะจากเสี่ยวซุ่นจื่อถึงหลบเลี่ยงหูตาของคนพวกนี้มาได้
ทว่าการเข้ามาในเมืองฉู่โจวต้องใช้ป้ายคำสั่งของกองราชองครักษ์หู่จีที่พวกฮูเหยียนโซ่วพกมา ข้าเดินทางลำบากลำบนมาตลอดทางจึงส่งฮูเหยียนโซ่วไปพบเผยอวิ๋น ส่วนตนเองหาเหลาสุราแห่งหนึ่งริมทางเตรียมจะพักผ่อนสักหน่อย คิดมิถึงกลับได้พบเหตุการณ์เช่นนี้
ตอนจวงชิงผู่ขึ้นมาบนชั้นสอง ข้าก็เห็นแล้วว่าชีวิตของเขาแขวนอยู่บนเส้นด้าย ด้วยวิชาแพทย์ของข้า ข้าทราบอยู่แล้วว่าเขามิมีหวังจะรอด แต่ในใจอดรนทนมิได้จึงจะมอบยาให้เขา แม้จะมิอาจช่วยชีวิตเขากลับมาได้ แต่ก็ทำให้เขามีชีวิตอยู่ได้นานขึ้นอีกสองสามชั่วยาม เพียงแต่ว่าจวงชิงผู่ผู้นี้กลับหนักแน่นในทางเลือกของตนเอง มิยอมรับยาเอาไว้ แม้จะแตกต่างกันเพียงไม่กี่ชั่วยาม แต่มนุษย์คนใดมิละโมบอยากมีชีวิตและหวาดกลัวความตายบ้าง เขาแน่วแน่เช่นนี้ ช่างทำให้ข้าเลื่อมใส น่าเสียดายฟ้าอิจฉาคนมีความสามารถ มิอาจช่วยเขากลับมาได้แล้ว
เวลานี้เอง นอกม่านก็มีเสียงกังวานของเผยอวิ๋นพูดขึ้นว่า “เผยอวิ๋นผู้บัญชาการทหารแห่งไหวหนาน แม่ทัพใหญ่แห่งค่ายใหญ่สวีโจวขอเข้าพบ”
ข้ายิ้มละไม ตอบด้านนอกม่านว่า “ทุกคนเข้ามาเถิด ไหนเลยต้องพิธีรีตองมากมายปานนี้”
เวลานี้เผยอวิ๋นไล่กลิ่นสุราบนร่างออกไปหมดแล้ว พอได้ยินคำตอบก็จัดเสื้อผ้าสักหน่อย บุคคลที่แม้แต่อาจารย์ของตนยังให้เกียรติอย่างยิ่งผู้นี้ เขามิกล้าทำตัวดูแคลนแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำในวันวานคนผู้นี้ยังเคยมีบุญคุณต่อตนเองอีกด้วย เห็นเจียงเจ๋อสั่งเช่นนี้ เขาจึงพากู้หยวนยงกับตู้หลิงเฟิงสองคนเดินเข้าไปด้วยกัน
พอเข้าไปด้านในม่าน เผยอวิ๋นก็คุกเข่าข้างหนึ่งคารวะเอ่ยว่า “ผู้น้อยคารวะท่านโหว มิทราบว่าท่านโหวเดินทางมาถึงที่แห่งนี้จึงมิได้ออกไปต้อนรับ ขอท่านโหวโปรดอภัยด้วย”
ข้าก้าวเข้าไปประคองเผยอวิ๋นแล้วยิ้มเอ่ยว่า “วันนี้ท่านเป็นผู้บัญชาการทหารตำแหน่งใหญ่โตแล้ว ไยต้องมากพิธีเช่นนี้อีกเล่า ข้าเดินทางมาที่นี่เป็นการลับ ฝ่าบาทอาจจะยังมิทราบด้วยซ้ำ”
เผยอวิ๋นลอบคิดในใจ มิว่าท่านเดินทางมาเช่นไร หากไม่มีท่านอยู่ที่นี่ ข้าก็คงปลดเกาปิ่งออกจากตำแหน่งทหารอย่างง่ายดาย กำจัดภัยภายในไม่ได้ หากหลัวจิ่งยังไม่ถูกลอบสังหาร มีคนผู้นี้คอยหนุนหลัง ตนเองก็ปลดหลัวจิ่งได้แล้ว เมื่อคิดขึ้นมาว่าเพียงคนผู้นี้เดินทางมา เรื่องลำบากใจมากมายก็กลายเป็นไม่ยุ่งยากอีกต่อไป การคารวะนี้ เขาย่อมยินยอมพร้อมใจมอบให้
ข้าเดาความคิดเขาได้เลือนรางจึงยิ้มละไม สายตาหันไปมองกู้หยวนยง เห็นเขาสีหน้าตกตะลึงก็คิดว่าเขาคงเดาตัวตนของข้าออกแล้ว กำลังแปลกใจอยู่ว่าเดิมทีข้าสมควรอยู่ติ้งไห่ แต่เหตุไฉนกลับมาโผล่ที่ฉู่โจวได้กระมัง
ข้าก้าวเข้าไปประสานมือคำนับ แล้วกล่าวขึ้นว่า “ท่านนี้คงเป็นใต้เท้ากู้กระมัง ยามลูกพี่ลูกน้องของข้ารับตำแหน่งที่ฉู่โจวได้ใต้เท้าดูแลเอาไว้มาก ข้าขอขอบคุณแทนเขา”
กู้หยวนยงในใจสับสนมึนงง มิทราบจะทำเช่นไรดี ข่าวสารระหว่างเจียงหนานกับเจียงเป่ยถูกตัดขาด เรื่องเล็กน้อยของจิงฉางชิงย่อมมิแพร่กระจายมาถึงที่แห่งนี้ เห็นเขามึนงง ข้าจึงส่งสายตาให้เสี่ยวซุ่นจื่อ
เสี่ยวซุ่นจื่อก้าวเข้ามาอธิบายด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “ตระกูลจิงแห่งจยาซิงคือตระกูลฝั่งมารดาของคุณชาย จิงฉางชิงเจ้าตระกูลคนปัจจุบันก็คือลูกพี่ลูกน้องของคุณชาย เขาเคยเป็นจ่างสื่อแห่งเมืองฉู่โจว และได้รับความโปรดปรานจากใต้เท้า ในใจจึงนับถือยิ่งนัก หนนี้คุณชายข้าเดินทางผ่านจยาซิง จิงจ่างสื่อจึงไหว้วานคุณชายเดินทางมาขอบคุณ”
เผยอวิ๋น ตู้หลิงเฟิงกับกู้หยวนยงต่างรู้สึกว่าในสมองมีเสียงระเบิดดังบึ้ม พวกเขาย่อมมิทราบว่าคำพูดนี้ของเสี่ยวซุ่นจื่อมีคำโป้ปดผสมกับคำพูดจริง จิงฉางชิงกับเจียงเจ๋อบาดหมางกันมาตลอด การเดินทางไปจยาซิงหนนี้ ทั้งสองคนมิได้พบหน้ากันแม้แต่น้อย
กู้หยวนยงเป็นคนที่ได้สติขึ้นมาคนแรก เขาไม่เหมือนเผยอวิ๋นกับตู้หลิงเฟิงที่กังวลว่าจะล่วงเกินเจียงเจ๋อจึงเยือกเย็นดั่งคนนอกได้อยู่บ้าง เขาเห็นดวงตาของเจียงเจ๋อเต็มไปด้วยแววตาขบขัน ปราศจากแววตาตำหนิ มิหนำซ้ำในเมื่อคนผู้นี้ชื่อเสียงเลื่องลือ เขาย่อมเป็นคนที่มิแสดงความยินดีโกรธเกรี้ยวออกมาทางหน้าตา หากเคืองแค้นเพราะเหตุนี้จริง ไฉนจะบอกกล่าวออกมาตามตรง
ยามนี้เขาได้รับคำสั่งจากเผยอวิ๋นให้ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองแทน รุ่งโรจน์ก็รุ่งโรจน์ด้วยกัน ย่อยยับก็ย่อยยับด้วยกัน ชีวิตของเขาผูกติดอยู่กับตัวเผยอวิ๋นมากกว่าครึ่งแล้ว ดังนั้นเขาย่อมมิยินดีเห็นอีกคนตกที่นั่งลำบาก จึงเอ่ยปากว่า “จิงฉางชิงซื่อตรงจงรักภักดี ผู้น้อยชื่นชมมาตลอด แม้แต่แม่ทัพเผยเอง ถึงจะจับเขาขังคุกเพื่อแสดงอำนาจ แต่ก็นับถือเขายิ่งนัก”
ตอนนี้เผยอวิ๋นได้สติกลับมาแล้ว เขานึกดีใจที่ยามนั้นตนเองมิได้สังหารจ่างสื่อหัวดื้อคนนั้นทันที เห็นเจียงเจ๋อไร้สีหน้าโกรธเคือง แล้วหวนคิดถึงการหายตัวไปอย่างน่าเหลือเชื่อของจิงฉางชิงก็หัวเราะขึ้นมาอย่างห้ามมิได้ “ผู้แซ่เผยแต่เดิมคิดว่าทหารใต้บัญชาปล่อยปละละเลยเกินไปจึงถูกคนปล้นคุกไปได้ วันนี้เมื่อนึกทบทวนดู ต่อให้พวกเขาจับตามองไม่กะพริบ คิดว่าก็คงไร้หนทางเฝ้านักโทษเอาไว้กระมัง”
คำพูดนี้แฝงการประจบแต่มิเผยให้เห็นชัด แม้แต่ข้าฟังแล้วยังรู้สึกรื่นหู แต่เดิมตั้งใจจะขู่เผยอวิ๋นให้กลัวสักหน่อย มิให้เขายืมอำนาจของข้าไปใช้ประโยชน์เปล่าๆ แต่เวลานี้ไม่อยากทำแล้ว ข้าชี้สุราบ๊วยเขียวไหนั้น “พอๆ สุรานี่ไม่เลวจริงๆ วันพรุ่งข้าจะไปจากฉู่โจวแล้ว ให้ผู้ดูแลยกมาอีกสักสองไห ท่านกับข้าร่ำสุรากันสักหน่อยเป็นเช่นไร”
เผยอวิ๋นโล่งอก เขาเข้าใจแล้วว่าเรื่องนั้นมิได้ทำให้เจียงเจ๋อไม่พอใจ สายตาเหลือบเห็นตู้หลิงเฟิงสีหน้าวิตกกังวลก็เอ่ยว่า “ท่านโหวมีอารมณ์สุนทรีย์เช่นนี้ ผู้น้อยจะปฏิเสธได้เช่นไร หลิงเฟิง ไปหยิบสุราบ๊วยเขียวมาสองไหซิ”
ตู้หลิงเฟิงในใจยินดีปรีดายิ่งนัก รีบผลุนผลันคำนับแล้วถอยออกไป ในใจลอบสบถสาบาน ก่อนฉู่จวิ้นโหวผู้นี้จากไปวันพรุ่ง เขาจะมิยอมเข้าใกล้เจียงเจ๋ออีกแม้แต่ก้าวเดียว
ความหวาดกลัวที่มีต่อเจียงเจ๋อมิได้เกิดขึ้นเพราะข่าวลือนานาประการเหล่านั้น สำหรับคนหนุ่มเลือดลมพลุ่งพล่านคนหนึ่ง อำนาจประการใดก็มิอาจทำให้พวกเขาถอยหนี เพียงแต่ว่าตอนตู้หลิงเฟิงฝึกวรยุทธ์อยู่ในวัดเส้าหลิน เคยมีอยู่หนหนึ่งปรมาจารย์ฉือเจินเคยพาเจียงเซิ่งลูกศิษย์คนสุดท้ายกลับมาในวัด
ปรมาจารย์ฉือเจินยุ่งอยู่กับการถกเรื่องพระคัมภีร์และวรยุทธ์กับผู้อาวุโสในวัด เจียงเซิ่งจึงถูกมอบให้ศิษย์รุ่นหลังเหล่านั้นผลัดกันดูแล ยามนั้นเจียงเซิ่นอายุเพียงสี่ขวบ แต่ซุกซนยิ่งนัก ทำให้ทุกคนปวดศีรษะจนหัวแทบระเบิด
วันหนึ่งผลัดถึงตาตู้หลิงเฟิงดูแลเจียงเซิ่น วันนั้นเจียงเซิ่นซุกซนเป็นพิเศษ เผลอละสายตาเพียงแวบเดียวก็มิทราบว่าวิ่งไปที่ใดแล้ว ตู้หลิงเฟิงนิสัยฉุนเฉียวง่ายอยู่บ้างเป็นทุนเดิม พอสบโอกาสไม่มีผู้ใดสังเกต เขาจึงฟาดก้นเจียงเซิ่นหนักๆ ไปหนึ่งที ต่อมาเจียงเซิ่นก็สงบเสงี่ยมได้ครึ่งวัน แต่แล้วเมื่อถึงยามเที่ยงตู้หลิงเฟิงงีบกลางวันตื่นขึ้นมาแล้วอุ้มเจียงเซิ่นไปส่งคืนปรมาจารย์ฉือเจินผู้เป็นอาจารย์ลุง เขากลับพบว่าทุกคนเห็นหน้าเขาแล้วตาโตอ้าปากค้าง หลังจากนั้นก็ปิดปากแอบหัวเราะ
ตู้หลิงเฟิงฉุกคิดขึ้นมาได้จึงส่องกระจกดู ก็พบว่าคิ้วของตนเองถูกคนโกนจนโกร๋น ครึ่งปีนับจากนั้นเขาอับอายจนมิกล้าก้าวออกจากประตู พบเจียงเซิ่นอีกยามใดก็ถอยทัพเก้าสิบลี้ ในความเห็นของเขา มีบิดาเช่นไรย่อมมีบุตรเช่นนั้น เจียงเซิ่นเป็นมารน้อยเช่นนั้น บิดาของเขาย่อมหาเรื่องไม่ง่ายเหมือนกัน แต่ตนเองดันไปล่วงเกินเจียงเจ๋อเข้าแล้ว ดังนั้นแน่นอนว่ายิ่งอยู่ห่างก็ยิ่งดี
เพียงครู่เดียวสุราบ๊วยเขียวสองไหก็ถูกตู้หลิงเฟิงยกเข้ามาด้วยตนเอง หลังจากนั้นเขาจึงฉวยโอกาสหลบออกไป กู้หยวนยงเห็นเผยอวิ๋นกับเจียงเจ๋อคล้ายต้องการจะสนทนากันเป็นการลับจึงถอยออกไปอย่างรู้สถานการณ์เช่นกัน
เวียนสุราครบสามหน เผยอวิ๋นก็เริ่มเข้าประเด็นหลัก เอ่ยปากถามขึ้นว่า “ท่านโหวมิใช่ว่าติดตามกองเรือเดินทางไปติ้งไห่หรอกหรือ ข่าวที่สายลับส่งมาเมื่อวันก่อนยังบอกว่าท่านโหวฉวยโอกาสยามค่ำคืนบุกปากแม่น้ำหย่งเจียงที่เจิ้นไห่ เผาเรือของกองทัพหนานฉู่วอดวายร้อยกว่าลำอยู่เลย”
ข้าได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะ “นี่กล่าวเกินจริงไปแล้ว อ่าวที่ปากแม่น้ำหย่งเจียงในหมิงโจวมีโคลนเลนเป็นอุปสรรค เรือขนาดใหญ่กว่าหนึ่งพันต้านมิอาจเข้าไปได้ อย่างมากที่สุดลู่ช่านก็ทิ้งเรือเร็วไว้ที่นั่นจำนวนหนึ่ง ใช้มาสอดส่องความเคลื่อนไหวของติ้งไห่ คอยส่งข่าวทางทหารเท่านั้น
หากยามนี้ลู่ช่านยังปล่อยให้กองเรือตงไห่มีโอกาสคว้าชัยชนะครั้งใหญ่อยู่ เขาก็คงมิใช่แม่ทัพใหญ่ผู้เกรียงไกรแล้ว” พูดถึงตรงนี้ ข้าก็หันหน้าไปบอกเสี่ยวซุ่นจื่อ “ฉงเอ๋อร์ยังไม่สุขุมพอ เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ก็ยังต้องออกหน้า นี่ไม่เข้ากับนิสัยของข้านัก เกรงว่าหากเคลื่อนไหวเช่นนี้อีกสักหนสองหน ต่อให้ข้ามิเผยร่องรอย ลู่ช่านก็คงทราบแล้วว่าคนที่อยู่ทางติ้งไห่ฝั่งนั้นเป็นตัวแทน”
เสี่ยวซุ่นจื่อตอบอย่างเฉยชา “ต่อให้เขารู้แล้วก็ต้องทำให้ผู้อื่นเชื่อให้ได้ด้วย”