ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 80 สองฟากสมุทรเวิ้งว้าง (1)
รัชศกหลงเซิ่งปีที่สิบ ปีปิ่งซวี[1] อู๋เย่ว์มียอดคนผู้หนึ่งเข้ามาช่วยเหลือกองกำลังอาสา ก่อสร้างป้อมค่ายอุโมงค์ใต้ดินตามหมู่บ้านกับเมืองแนวชายฝั่งเพื่อป้องกันกองทัพต้ายง แม้กองทัพต้ายงมีกำลังแข็งแกร่งแต่ก็มิอาจบุกเข้าไป อู๋เย่ว์จึงเริ่มสงบสุข
…ประชุมพงศาวดาร บันทึกต้ายงเล่มที่สี่
มหาสมุทรสีครามก่อริ้วระลอกคลื่น เมฆสีแดงฉานปกคลุมหนาทึบ ดูท่าสายฝนใกล้จะเทลงมาล้ว แต่ชายหนุ่มผู้นั่งเหยียดขาอยู่บนโขดหินริมทะเลกลับมีสีหน้าเคร่งขรึม ไม่คิดจะกลับไปหลบฝนแม้แต่น้อย
เขาเป็นชาวหมู่บ้านเจิ้นไห่เมืองอู๋จวิ้น รัชศกถงไท่ปีที่สิบสอง กองเรือตงไห่ขึ้นฝั่งบุกปล้น บิดากับพี่ชายของเขาล้วนเป็นช่างตีเหล็กฝีมือโดดเด่น อาวุธที่พวกเขาตีมีชื่อเสียงโด่งดังในอู๋เย่ว์ ด้วยเหตุนี้จึงถูกกวาดต้อนพาตัวไป ทิ้งไว้เพียงมารดาผู้ชรากับพี่สะใภ้และหลานชายอีกสองคน
ยามนั้นเขาไม่อยู่บ้านจึงโชคดีรอดพ้นภัย ต่อมาเขาเข้าร่วมกองกำลังอาสา หวังเพียงว่าจะมิปล่อยให้กองทัพต้ายงขึ้นฝั่งบุกปล้นอีก แต่สิ่งที่คาดหวังยิ่งกว่าก็คือการได้พบหน้าบิดากับพี่ชายอีกสักหน เพียงแต่มิทราบว่าบิดากับพี่ชายยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ พอคิดถึงเรื่องนี้ก็เจ็บปวดใจอย่างห้ามมิได้
ขณะที่ดวงตาของเขาเริ่มพร่ามัวนั่นเอง เขาก็ทอดสายตามองอย่างมิตั้งใจแล้วเห็นเรือเล็กหลายลำบนทะเลกำลังล่องลมโต้คลื่นเข้ามา บนเรือล้วนเป็นทหารกองทัพต้ายงในเกราะอ่อน เขาตกใจจนหน้าถอดสี ลุกขึ้นตะโกนเสียงดัง “ทหารต้ายงมาแล้ว ทหารต้ายงมาแล้ว”
ทว่าวันนี้ดูเหมือนฝนกำลังจะตก กองกำลังอาสาที่ลาดตระเวนชายฝั่งแถบนี้จึงล้วนเกียจคร้านมิมาเฝ้ายาม แม้ชายหนุ่มผู้นั้นตะโกนลั่นแต่มิมีผู้ใดได้ยิน เขาวิ่งออกมาได้มิไกล หูก็ได้ยินเสียงลมวูบหนึ่ง ชายหนุ่มโถมตัวไปด้านข้าง เบื้องหลังมีเสียงอุทานตกใจดังขึ้นคำหนึ่ง พอดาบฟันพลาดเป้า คนผู้นั้นก็ไหลตามแรงโถมฟันขวางซ้ำอีกหน
ชายหนุ่มขยับร่างหลบ แต่แล้วก็ถูกทหารกองทัพต้ายงอีกคนหนึ่งถีบจนล้มคว่ำ ทหารที่เหวี่ยงดาบโจมตีผู้นั้นฉวยโอกาสใช้ดาบจ่อที่ลำคอของชายหนุ่ม ถามเสียงเย็นชา “ในค่ายมีทหารอาสาจำนวนเท่าไร อวิ๋นจื่อซานอยู่ที่ใด”
ชายหนุ่มปิดปากเงียบไม่ตอบ ดวงตาฉายแววดื้อแพ่ง ทหารต้ายงผู้นั้นยิ้มน้อยๆ มิถามต่ออีก มือเหวี่ยงดาบหมายจะปลิดชีพคน ทันใดนั้นชายหนุ่มผู้นั้นก็เปิดปากถามว่า “ดาบของเจ้า ผู้ใดเป็นคนตี”
คมดาบชะงักวูบหนึ่งแล้วหยุดนิ่ง ทิ้งไว้เพียงรอยเลือดขีดหนึ่งบนลำคอของชายหนุ่มผู้นั้น เวลานี้นอกจากทหารที่ควบคุมเรือล่องทะเลที่ยังคงอยู่บนเรือ ทหารต้ายงนายอื่นต่างทยอยขึ้นฝั่งกันมาหมดแล้ว คนหนึ่งในนั้นสวมชุดเกราะต่างออกไปเล็กน้อย เห็นชัดว่ามีฐานะเป็นหัวหน้า เขาได้ยินคำถามของชายหนุ่มจึงก้าวเข้ามายิ้มตอบว่า “เจ้ามิรู้หรือ กองทัพของข้าพาตัวช่างฝีมือมากมายไปจากอู๋เย่ว์ คนเหล่านี้ถูกจัดสรรให้ทำงานในค่ายช่างฝีมือบนติ้งไห่ ดาบของเขาก็เป็นผลงานของกงซุนมั่ว ปรมาจารย์ช่างตีเหล็กผู้โด่งดังที่สุดของเจิ้นไห่ของพวกเจ้า”
ดวงตาของชายหนุ่มฉายประกายยินดีอย่างยากปิดบัง เขาถามเสียงสั่น “เขายังอยู่ ถ้าเช่นนั้นลูกชายของเขาเล่า”
ทหารที่ถือดาบผู้นั้นดวงตาฉายแววมีเลศนัยวูบหนึ่งแล้วตอบว่า “เจ้าหมายถึงกงซุนปานหรือ ดาบที่เขาตีก็ไม่เลว แต่เขาถนัดทำหน้าไม้มากกว่า”
ชายหนุ่มข่มกลั้นมิไหวน้ำตาไหลริน บิดากับพี่ใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ ความยินดีที่ในที่สุดก็ได้ข่าวของครอบครัวทำให้เขายากจะหักห้ามตนเอง หูได้ยินเสียงนายทหารผู้นั้นเอ่ยเสียงแข็งกร้าวเย็นชา “เจ้าเกี่ยวข้องอันใดกับกงซุนมั่ว ในค่ายมีกองกำลังอาสาอยู่เท่าใด หากเจ้ายอมบอกมาตามจริง ข้าจะไว้ชีวิตเจ้าสักหน”
ดวงตาของชายหนุ่มทอประกายคมกริบ ตอบว่า “พวกเจ้าลักพาตัวครอบครัวของข้า รุกรานแผ่นดินบ้านเกิดของข้า ต่อให้ข้าต้องตายก็จะมิมีวันบอกข้อมูลของกองกำลังอาสากับพวกเจ้า” กล่าวจบก็โผร่างยื่นลำคอเข้าหาคมดาบ ทหารนายนั้นตาไวมือไวจึงชักดาบหลบได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังทิ้งรอยแผลขนาดใหญ่แผลหนึ่งไว้บนลำคอของชายหนุ่มผู้นั้น โลหิตทะลักเป็นน้ำพุ สายตาของชายหนุ่มเริ่มพร่ามัว ในใจเกิดความเสียดายอย่างลึกล้ำ หากได้บอกข่าวดีว่าบิดากับพี่ชายยังอยู่กับท่านแม่ ตนเองตายไปก็มิเป็นอันใดแล้ว แต่ตอนนี้ท่านแม่คงต้องทนรับความโศกเศร้าเจ็บปวดมากกว่าเดิม
ทหารที่เป็นหัวหน้าเห็นชายหนุ่มผู้หมดสติ ดวงตาก็ทอประกายเย็บเยียบ เอ่ยขึ้นว่า “เขาเป็นบุรุษที่ดีคนหนึ่ง ให้เขาไปสบายเถิด”
ทหารที่กุมดาบผู้นั้นกลับแววตาทอประกายวูบหนึ่ง ขยับเข้ามากระซิบเสียงเบาข้างหูนายทหารที่เป็นหัวหน้าสองสามประโยค จากนั้นก็พูดว่า “เอาเช่นนี้เถิดขอรับ เขาบาดเจ็บไม่มาก พันแผลให้เขา แล้วปล่อยให้เขาเป็นไปตามชะตาของตนเองเถิด”
ทหารที่เป็นหัวหน้าผู้นั้นครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ตอบว่า “ความคิดดี ทำเช่นนี้เถิด” กล่าวจบก็สาวเท้าเดินไปตามชายหาด
ด้านหน้าคือทำนบกันคลื่น พอพ้นทำนบไม่ไกลก็คือค่ายของกองกำลังอาสา การขึ้นฝั่งลอบโจมตีเป็นแผนการรบที่กองเรือตงไห่ชำนิชำนาญอยู่แล้ว แม้กองกำลังอาสาจะแกล้วกล้าชำนาญศึก แต่ระวังอย่างไรก็ระวังมิพอ ด้านหลังนายทหารคนนี้ ทหารต้ายงตั้งกระบวนทัพเตรียมรบอย่างคล่องแคล่วก่อนจะเคลื่อนพลไปด้านหน้า จิตสังหารอัดแน่นโถมท่วมฟ้า
เมื่อชายหนุ่มผู้นั้นถูกน้ำฝนรินรดจนฟื้นขึ้นมา เขาก็รู้สึกว่าลำคอเจ็บปวดเหลือทน เขาฝืนลุกขึ้น หันหลังกลับไปมองรอบด้าน ทว่ามิเห็นเงาคนสักคน ตนเองนอนอยู่บนทำนบกันคลื่น บนลำคอมีคนพันแผลไว้ให้เรียบร้อย เขาโซเซลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งกลับไปยังค่าย มิทราบเหมือนกันว่าล้มลงไปกี่หน บนร่างเต็มไปด้วคราบโคลนสกปรก
เมื่อเขาวิ่งมาถึงค่ายก็นิ่งอึ้งราวกับตุ๊กตาไม้ เห็นด้านในและด้านนอกค่ายมีซากศพกระจัดกระจาย สายฝนห่าใหญ่รวมตัวกันกลายเป็นลำธาร สายน้ำฝนปะปนกับโลหิตไหลจากด้านในค่ายออกมาด้านนอก ชายหนุ่มคู้กายลง ในอกโศกเศร้าคับแค้นและสิ้นหวัง
ผ่านไปเนิ่นนานเขาจึงลุกขึ้นยืน วิ่งตระเวนทั้งด้านในและด้านนอกจนรอบ แม้บนร่างจะมีแต่น้ำตาและหยาดโลหิต แต่ในดวงตายังคงมีประกายอยู่บ้าง เอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “ดีเหลือเกิน มิได้ตายกันหมด มิได้ตายกันหมด”
เขานับจนครบแล้ว ด้านในนี้มีศพอยู่เพียงสามสิบกว่าร่าง ที่แห่งนี้แต่เดิมทีคนประจำการอยู่หนึ่งร้อยคน ดูท่าคนส่วนใหญ่น่าจะหนีรอดไปได้ ผลลัพธ์เลวร้ายที่สุดก็เพียงถูกกองทัพต้ายงจับไปเป็นเชลยที่ติ้งไห่เท่านั้น จากสิ่งที่รู้มาวันนี้ พี่น้องเหล่านั้นใช่ว่าจะต้องตายสถานเดียว เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ในใจเขาก็โล่งขึ้นมาก
ทว่าจู่ๆ เขาก็นึกถึงคำถามที่ทหารต้ายงเหล่านั้นพยายามจะเค้นถามตนเอง เป้าหมายของพวกเขาก็คือท่านอวิ๋น หากสหายเหล่านั้นตกอยู่ในมือกองทัพต้ายง ถูกทรมานให้บอกข้อมูล บอกที่อยู่ของท่านอวิ๋นออกมา ไฉนมิแย่อย่างที่สุด
ท่านอวิ๋นเป็นผู้เสนอให้สร้างอุโมงค์เชื่อมป้อมค่ายกำลังพลของหมู่บ้านชายฝั่ง ทั้งยังคอยคุมการก่อสร้างด้วยตนเอง มีคุณงามความชอบมากมาย ไฉนจะปล่อยให้เขาถูกทำร้ายได้
พอคิดมาถึงตรงนี้ เขาก็ปลุกขวัญกำลังใจ ตัดสินใจเดินทางไปแจ้งเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่กับท่านอวิ๋นเพื่อให้ท่านอวิ๋นหลบไปก่อนชั่วคราว
ยามนี้อสนีบาตระเบิดดังสนั่นบนฟากฟ้า สายฟ้าวูบวาบไม่หยุด สายฝนห่าใหญ่เทลงมา โลกหล้าพร่ามัวด้วยไอหมอก ห่างออกไปเพียงสองสามจั้งก็แทบจะมองมิเห็นเงาคน เงาแผ่นหลังโซเซของชายหนุ่มหายไปท่ามกลางสายฝนและม่านหมอกอย่างรวดเร็ว แต่เขามิรู้เลยว่าด้านหลังมีเงาดำทะมึนสองร่างติดตามมาอยู่
คลื่นซัดกระหน่ำถาโถมบนหน้าผาสูงตระง่าน ใต้ผาโขดหินโผล่ระเกะระกะ คลื่นน่ากลัวสาดกระทบชายฝั่ง ฟองคลื่นเสมือนหิมะกองทับถมนับพัน ท่ามกลางคลื่นสีครามซ่อนจิตสังหารนับมิถ้วน
หลังสายฝนพ้นผ่าน ท้องฟ้าเริ่มกระจ่าง จิงซิ่นยืนอยู่บนหน้าผา ในใจถอนหายใจแผ่วเบา ออกจากจยาซิงมาสามปีเต็มแล้ว พอนึกขึ้นมาว่าข้ามทะเลสีครามเวิ้งว้างไปคือแผ่นดินเกิดที่หวนระลึกถึงทุกคืนวัน หัวใจเขาก็ยิ่งเศร้าโศก
หูได้ยินเสียงฝีเท้าปราดเปรียวหนักแน่น จิงซิ่นมิหันกลับมา เพียงเอ่ยขึ้นเรียบๆ “วันนี้เหตุไฉนพี่ฮั่วจึงมีเวลาว่างแวะมาได้”
ฮั่วฉงยิ้มละไม สามปีที่ผ่านมาจิงซิ่นยังขุ่นเคืองตนมิหาย แต่เขามิถือสา เดินมายืนข้างกายจิงซิ่นแล้วบอกว่า “ท่านอาจารย์มีคำสั่งให้ข้าเดินทางไปพบเขาที่กองบัญชาการศึกเจียงหนาน”
แม้เป็นเพียงคำพูดราบเรียบประโยคเดียว แต่ร่างกายของจิงซิ่นสะท้านไหว ผ่านไปเนิ่นนานจึงเหน็บแนม “ยินดีกับพี่ฮั่วด้วย หลายปีที่ผ่านมาพี่ฮั่วถูกกักอยู่บนทะเล ไม่มีอิสระมากกว่าผู้แซ่จิงสักเท่าใด ยามนี้มังกรจะทะยานพ้นมหาสมุทร มิต้องถูกขังอยู่บนหาดแล้ว คุณชายคงยินดีปรีดามากเป็นแน่”
ฮั่วฉงฟังจบ ดวงตาก็ปรากฏรอยยิ้มจางๆ “พี่จิงกล่าวเกินไปแล้ว ข้าอยู่ติ้งไห่ก็เพราะเส้นทางทะเลถูกขัดขวาง เส้นทางบนบกก็ยากจะเดินทาง อีกทั้งจิ้งไห่กงยังมีเรื่องต้องใช้งานข้า ดังนั้นข้าจึงอยู่ที่ติ้งไห่
แล้วอีกอย่าง จิ้งไห่กงปล่อยประชาชนห้าแสนกว่าคนที่ลักตัวมาจากอู๋เย่ว์ไว้บนเกาะน้อยใหญ่นับร้อยรอบผู่ถัว อาณาเขตกว้างใหญ่ เกาะแก่งมากมาย ผู้คนก็หนาแน่น ข้าได้รับคำสั่งให้เป็นนายอำเภอผู่ถัวชั่วคราว งานยุ่งวุ่นวายไม่แพ้นายอำเภอคนหนึ่ง ต้องควบคุมดูแลเชลยห้าแสนคนที่ในใจมีความคลางแคลงและเป็นอริ แล้วยังต้องสนับสนุนเสบียงกับยุทโธปกรณ์ให้กองทัพขนาดใหญ่
งานหนักเช่นนี้มอบหมายให้ข้าเด็กหนุ่มผู้ยังมิทันสวมกวานคนหนึ่ง ถือว่าเป็นการให้ความสำคัญอย่างยิ่งแล้ว จะกล่าวว่าเป็นมังกรถูกขังอยู่บนหาดได้เช่นไรเล่า”
จิงซิ่นฟังจบก็หัวเราะหยัน “ความสามารถเช่นพี่ฮั่วมิต้องพูดถึงเป็นนายอำเภอของที่แห่งหนึ่ง ต่อให้เป็นเจ้าเมืองขนาดเล็ก หรือเจ้าเมืองขนาดใหญ่สักแห่งก็เหลือเฟือ ขังไว้ที่ผู่ถัวให้คอยคุมเชลยอย่างพวกข้า ไฉนมิใช่ขี่ช้างจับตั๊กแตน”
ฮั่วฉงกลับหัวเราะ “พี่จิงดูแคลนตำแหน่งนายอำเภอนี่เกินไปแล้ว หลายปีที่ผ่านมานี้พี่จิงช่วยงานข้ามิน้อย บุกเบิกที่นา จัดการคงคลังและกฎบทลงโทษ งานพื้นๆ เหล่านี้ดูแล้วง่ายดาย แต่ยามลงมือทำกลับมีปัญหาจุกจิกมากมาย พี่จิงจำสภาพตกระกำลำบากของข้ามิได้แล้วหรือ”
จิงซิ่นหัวเราะออกมาดังพรืด เพียงครู่เดียวบรรยากาศอึดอัดก็มลายหาย หวนคิดถึงสามปีที่ผ่านมาเด็กหนุ่มคนนี้เป็นผู้นำชาวบ้านอู๋เย่ว์ที่ถูกจับมาเป็นเชลยที่นี่ให้สร้างบ้านเรือน ทำนาจับปลา เปลี่ยนหมู่เกาะผู่ถัวอันรกร้างให้กลายเป็นดินแดนที่ใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุข แม้จะยังมีทหารต้ายงถืออาวุธอยู่ด้านนอก และถูกเรียกไปใช้งานที่ติ้งไห่เป็นบางครั้ง แต่ก็นับได้ว่าไม่มีเรื่องน่ากลัวกว่านั้นเกิดขึ้น
ทว่าสิ่งที่ฮั่วฉงกล่าวเป็นความจริงแท้ งานยิบย่อยเหล่านั้น แต่เดิมจิงซิ่นก็มิเห็นอยู่ในสายตาเช่นกัน ทว่าพอถูกเด็กหนุ่มผู้นี้ลากไปทำงานด้วยกันก็วุ่นวายจนแทบตาลายหน้ามืด เพิ่งจะรู้ว่าตำแหน่งนายอำเภอเล็กๆ ตำแหน่งหนึ่งก็มิได้เป็นกันง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายอำเภอที่สองมือว่างเปล่า ต้องตั้งต้นด้วยมือเปล่า
[1]ปิ่งซวี ปีสุนัข ปีที่ 23 ในรอบ 60 ปีตามแผนภูมิฟ้า