ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 9 ธารารินไหล บุปผาร่วงโรย (1)
หลังจากท่านหญิงสวามิภักดิ์ต่อต้ายงก็คอยพิทักษ์ด่านเยี่ยนเหมินยี่สิบปี นำทัพบุกเข้าไปปล้นศัตรูในดินแดนคนเถื่อนหลายหน พวกคนเถื่อนเห็นนางล้วนขวัญกระเจิง เรียกขานนางว่ารากษสโลหิต
หวังจี้สามีของท่านหญิง แต่เดิมเป็นชาวหนานฉู่ สูญเสียบิดามารดา เร่ร่อนมาถึงเจี้ยนเย่ เข้าไปอยู่ใต้บัญชาของเจียงเจ๋อ ได้รับเลือกเป็นแปดหัวหน้าแห่งค่ายลับ ต่อมารับบัญชาเจียงเจ๋อเดินทางไปสืบข่าวในดินแดนคนเถื่อน ใช้นามหมอเทวดาปั๋วเล่อสร้างชื่อลือลั่นนอกด่าน บังเอิญพานพบท่านหญิงที่ไต้โจว ตกหลุมรักนางที่ตงไห่ น่าเสียดายต่างคนต้องทำเพื่อนายของตน คู่รักต้องพลัดพราก
ต่อมาท่านหญิงเผชิญศึกเลวร้ายที่ด่านเยี่ยนเหมิน เมื่อหวังจี้ทราบข่าวจึงร่ำไห้วิงวอนเจียงเจ๋อขอเดินทางมายังไต้โจวเพื่อตายด้วยกัน เจียงเจ๋อรับปากอย่างจำยอม หวังจี้จึงละทิ้งเส้นทางอันรุ่งโรจน์ เดินทางมาช่วยท่านหญิงปกป้องด่านเยี่ยนเหมิน ขณะที่ด่านเยี่ยนเหมินใกล้ถูกตีแตก หลินหย่วนถิงประทับใจในความรักของหวังจี้ จึงจัดงานสมรสให้เขากับท่านหญิงต่อหน้ากองทัพทั้งหมด หลังจากท่านหญิงสวามิภักดิ์ต่อต้ายง หวังจี้จึงรับบัญชาช่วยรักษาด่านเยี่ยนเหมิน เป็นผู้ช่วยของท่านหญิง
ตอนแรกท่านหญิงมิให้กำเนิดบุตรเสียที บางคนจึงเกลี้ยกล่อมให้หวังจี้รับอนุภรรยาเพื่อสืบทอดสายเลือดบรรพบุรุษ หวังจี้มิยินยอม ตอบว่าข้าไร้ญาติไร้ตระกูล มิกังวลว่าจะสิ้นลูกหลานเซ่นไหว้ ท่านหญิงได้ยินคำตอบนี้น้ำตาพลันหลั่งริน แต่สุดท้ายทนเห็นตระกูลหวังสิ้นทายาทมิได้ จึงเลือกสตรีชาติตระกูลดีมาด้วยตนเอง หวังจี้โกรธจัดหนีออกจากบ้าน มิยอมกลับเป็นเวลาครึ่งเดือน ท่านหญิงจึงยอมล้มเลิก
…พงศาวดารต้ายง ประวัติท่านหญิงหงสยา
ต้นหลิวข้างสะพานป้าเฉียวประหนึ่งก้อนเมฆา ผู้คนเดินทางไปมามิขาดสาย ขุนนางผู้เดินทางมาส่งผละจากไปนานแล้ว ทว่าภายในศาลาริมทาง หลินปี้ยังคงกุมมือน้องสาวกำชับกำชาเสียงเบา การจากลาหนนี้มิรู้ว่าปีใดเดือนใดจึงจะได้มาพบกันอีก ในใจหลินปี้รู้ดีว่าชั่วชีวิตของตนคงมิมีโอกาสได้หวนคืนมาตุภูมิ ไร้วาสนาจะได้เห็นด่านเยี่ยนเหมินอีกต่อไป ดังนั้นจึงยิ่งเป็นห่วงน้องสาวคนเล็กผู้สืบทอดหน้าที่ต่อจากตนเองมากขึ้นอีก
ด้านนอกศาลา หวังจี้กำลังกระซิบเสียงเบาอยู่กับฉีอ๋อง พวกเขาเห็นพ้องต้องกันว่าจะปล่อยให้พี่น้องตระกูลหลินได้มีโอกาสพูดคุยสนทนา หลี่หลินกับพี่น้องคนอื่นยืนสำรวมอยู่ด้านข้าง สถานการณ์นี้ย่อมมิมีช่องว่างให้พวกเขาเอ่ยปาก
ลู่อวิ๋นยืนอยู่ด้านหลังหลี่หลิน มองสำรวจบุคคลผู้ได้ยินชื่อเสียงมาเนิ่นนานเหล่านั้นอย่างระมัดระวัง เขาเคยเห็นหลินถงกับชื่อจี้มาก่อนแล้ว ส่วนความห้าวหาญตรงไปตรงมาของฉีอ๋องกับความสง่างามน่าเกรงขามของหลินปี้ทำให้เขาเกิดความรู้สึกชื่นชมอย่างมิรู้ตัว เขาย่อมมิทราบว่าฉีอ๋องเมื่อเจ็ดปีก่อนเป็นดั่งกระบี่คมกริบที่แผ่ประกายน่าหวาดหวั่นรอบด้าน มิอาจสะกดไอสังหารของตนเองเอาไว้ ทั้งทำร้ายผู้อื่นและทำร้ายตนเอง แต่วันนี้กระบี่ล้ำค่าถูกเก็บไว้ในหีบ แม้ความคมกริบมิลดทอน แต่ลุ่มลึกมิอาจหยั่งมากขึ้น
ภายในศาลา หลินปี้เอ่ยเสียงเบา “ถงเอ๋อร์ เจ้าต้องระวังตัวหน่อย หลายปีนี้พวกเจ้าบุกลึกเข้าไปในแดนคนเถื่อนหลายหน ออกจะอันตรายเกินไปอยู่บ้าง เจ้าเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งไต้โจวแล้ว หากพลาดพลั้งจะส่งผลกระทบใหญ่หลวง สมควรให้คนรุ่นหลังนำทัพทหารได้แล้ว
ได้ยินว่าเจ้ามักจะทะเลาะกับน้องเขยอยู่บ่อยครั้ง เรื่องนี้มิดีนัก แม้เขาจะเป็นรองแม่ทัพของเจ้า แต่อย่างไรเสียก็เป็นสามีของเจ้า ทั้งยังเป็นคนสนิทของเจียงโหว เจ้าอย่าบาดหมางกับเขา
แล้วก็เจ้ากับน้องเขยแต่งงานกันมาหลายปีแล้วยังมิมีทายาท เรื่องนี้แม้แต่ฮองเฮาก็เคยตรัสถามถึง พวกเจ้าสามีภรรยาเตรียมตัวจะทำเช่นไร หากเจ้าเชื่อคำพูดข้า หาอนุภรรยาให้เขาจึงจะสมควร”
หลินถงเหล่มองชื่อจี้แล้วกระซิบตอบว่า “ท่านพี่ ข้ากับจี้หลางทะเลาะกันเป็นเรื่องธรรมดา หากไม่ทะเลาะกันสักสองสามวัน ร่างกายกลับจะไม่สบายตัว ท่านอย่าคิดว่าข้าดุร้ายเชียว เขานั่นแหละชอบสรรหาวิธีมายั่วโมโหข้า เข้าเมืองหลวงหนนี้ จี้หลางขอให้ท่านโหวตรวจชีพจรของพวกเราแล้ว ท่านโหวบอกว่า พวกเรามิมีปัญหาตรงที่ใด การไม่มีทายาทบางทีอาจเป็นเจตนาของสวรรค์
ความจริงข้าก็เคยถามความเห็นของจี้หลางแล้ว แต่จี้หลางบอกว่าเขาไร้ญารติไร้ตระกูลมาตั้งแต่แรก มิกังวลว่าจะไร้ทายาทมากตัญญู ข้าก็ยอมกล้ำกลืนบอกให้เขารับอนุภรรยาแล้ว ทั้งยังเคยจัดหาคนมาให้เขาแล้วด้วย แต่ตัวเขาเองยืนกรานไม่ยอม ขุ่นเคืองข้าไปเสียครึ่งเดือน”
หลินปี้ฟังแล้วพลันหัวเราะออกมาอย่างอดมิอยู่ ใช้ปลายหางตาเหลือบมองชื่อจี้หนึ่งหน แล้วว่า “น้องเขยช่างเป็นผู้มั่นคงในความรัก ไม่แปลกที่ยามนั้นยอมก้าวสู่ความตายเคียงข้างเจ้า เอาเถิด เรื่องของพวกเจ้า ข้าไม่ยุ่งแล้ว ขอเพียงพวกเจ้าสามีภรรยารักใคร่กลมเกลียว ข้าก็วางใจ”
หลินถงกลับเอ่ยอย่างกังวล “ท่านพี่ หนนี้ข้าเดินทางมาฉางอัน เห็นเจียงโหวเหมือนจะตัวสั่นเทายามอยู่ต่อหน้าท่านบ่อยครั้ง ท่านคงมิได้ข่มเหงเขากระมัง ทำเช่นนี้มิค่อยดีหรือเปล่า เจียงโหวเป็นผู้มีพระคุณของจี้หลาง คนผู้นี้น่ากลัวนัก ท่านดูจี้หลางรับใช้อยู่ข้างกายเขาเพียงไม่กี่ปีก็รับมือยากเช่นนี้แล้ว ท่านยังแค้นที่ก่อนหน้านี้เขาวางแผนทำร้ายพี่เขย มิใช่สิ แม่ทัพหลงอยู่หรือ”
หลินปี้ยิ้มละไม แววตานิ่งสงบและอ่อนโยน นางตอบเสียงเบาว่า “สองแคว้นทำศึก ไหนเลยจะมีสิ่งใดให้เคืองแค้นมากมาย หลี่เสี่ยนบีบถิงเฟยให้ตายด้วยมือตนเอง ข้ายังมิเคยคิดแค้น นับประสาอันใดกับเจียงโหวเล่า
หากจะบอกว่าเขาหวาดกลัวข้า เรื่องนี้เจ้าคงเข้าใจผิดแล้ว เขาเผชิญหน้ากับเจ้าสำนักเฟิงอี้ ประมุขพรรคมารยังมิหวั่นเกรง ข้าเป็นแม่ทัพผู้พ่ายศึกคนหนึ่ง มีสิ่งใดให้หวาดกลัว คนผู้นี้ก็นิสัยเป็นเช่นนี้ ยิ่งเป็นคนที่ใกล้ชิด เขาก็ยิ่งชอบกลั่นแกล้ง เจ้าดูสิ เขารังแกพวกโหรวหลันกับหลินเอ๋อร์บ่อยไป เจ้าคิดว่าเจียงโหวเกลียดชังพวกเขาจริงหรือ แล้วยามอยู่ต่อหน้าข้า เขามิกล้ากลั่นแกล้งข้าก็แปลว่าเขาหวาดกลัวข้าหรือไร
นิสัยของคนผู้นี้ก็แปลกประหลาดเช่นนี้ ยิ่งเป็นคนที่เขาให้ความสำคัญเท่าใด เขาก็ยิ่งมิรู้ว่าสมควรจะปฏิบัติตัวด้วยเช่นไร เกรงว่าบนโลกใบนี้คงมีเพียงองค์หญิงฉางเล่อกับเงามารหลี่ซุ่นกระมังที่มองหัวใจอันจริงแท้ของเขาออก”
หลินถงฟังจบดวงตาก็ทอประกายวูบหนึ่ง หวนนึกถึงตอนหวังจี้เล่าเรื่องในอดีตว่าเขามักต้องพบความลำบากยามอยู่ต่อหน้าเจียงเจ๋อก็อดมิไหวหัวเราะเบาๆ ท่านพี่ช่างมีสายตาเฉียบแหลมจริงๆ มองปราดเดียวก็มองทะลุบุรุษผู้มีความคิดล้ำลึกจนเทพผียากหยั่งผู้นั้น มองออกว่าเขาเป็นเพียงบุรุษเอียงอายผู้มิถนัดในการแสดงความรู้สึกที่แท้จริงคนหนึ่ง
ระหวางที่พวกนางพี่น้องจับมือถือแขนกระซิบคุยกัน ไกลออกไปพลันมีฝุ่นดินฟุ้งตลบ เสียงกีบเท้าอาชาดั่งอสนีบาต ทหารม้าสิบกว่านายห้ออาชากำยำมุ่งหน้ามาอย่างรวดเร็วจนแทบมิเปื้อนฝุ่น ทุกคนเงยหน้ามอง สองคนที่นำอยู่ด้านหน้า คนหนึ่งสวมอาภรณ์สีเขียว คนหนึ่งสวมอาภรณ์สีเหลือง พวกเขาก็คือฮั่วฉงกับโหรวหลันที่พาองครักษ์เดินทางมาส่งนั่นเอง
หลินถงแย้มรอยยิ้มน้อยๆ นางเอ็นดูโหรวหลันยิ่งนัก เมื่อครู่ยังบ่นอยู่ว่าสาวน้อยคนนี้ช่างไร้น้ำใจ มิยอมมาส่ง ตอนนี้นางจึงหัวเราะอย่างเบิกบาน เดินออกมาจากศาลาแล้วกวักมือเรียก “หลันหลัน อะไรกัน ยังจำได้หรือว่าต้องมาส่งข้า”
โหรวหลันดึงบังเหียนรั้งอาชาแล้วกระโดดลงจากหลังม้า วิ่งมากอดคอหลินถงกล่าวว่า “น้าถง ท่านไม่เห็นใจกันบ้าง ข้าถูกไทเฮาเรียกไปอยู่เป็นเพื่อนนาง หากมิใช่ข้าจำได้ว่าท่านจะเดินทางวันนี้ ขอร้องพระนางให้ข้าออกจากวังมาส่งท่าน ตอนนี้ข้ายังต้องดูละครอยู่ที่ตำหนักฉางเล่ออยู่เลยนะ”
หลินถงยกสองนิ้วขึ้นมาบีบแก้มขาวเนียนนุ่มของโหรวหลัน คลี่ยิ้มตอบว่า “เจ้าหาเหตุผลเก่งอยู่แล้ว คิดว่าข้ามิรู้หรือ หลายวันนี้ท่านแม่องค์หญิงของเจ้าอยู่ในวังเป็นเพื่อนไทเฮา แล้วเหตุไฉนมิเห็นท่านพ่อของเจ้า หนนี้จี้หลางอยากจะไปบอกลาท่านพ่อของเจ้าแต่กลับมิเห็นคน เหตุใดหลังจากงานฉลองพระราชสมภพของฝ่าบาทก็มิเห็นเขาแล้วเล่า”
โหรวหลันดิ้นหนีจากนิ้วของหลินถงแล้วแลบลิ้นกระจุ๋มกระจิ๋มใส่ “เรื่องนี้ข้ามิรู้หรอก ท่านพ่อไม่อยู่บ้าน ข้าดีใจแทบมิทัน พี่ฮั่ว ท่านคงรู้กระมัง ท่านพ่อดีต่อท่านมากกว่าข้ากับเซิ่นเอ๋อร์อยู่บ้าง”
หลินถงหันไปมองฮั่วฉง แม้เด็กหนุ่มผู้นี้จะหน้าตาธรรมดาสามัญ แต่มิรู้เป็นอย่างไร หลินถงจึงรู้สึกว่ามิกล้าเหิมเกริมยามอยู่ต่อหน้าเขา บางทีอาจเป็นเพราะบรรยากาศอ่อนโยนนิ่งสงบรอบตัวเขาทำให้คนมิอยากเสียมารยาทด้วยกระมัง
นางยิ้มละไมถามว่า “คุณชายฮั่ว เจ้าทราบหรือไม่ว่าท่านเจียงอยู่ที่ใด จี้หลางต้องการจะบอกลาต่อหน้า จากไปหนนี้มิทราบว่ายามใดจึงจะได้กลับมาฉางอันอีก”
ฮั่วฉงคำนับตอบ “ทูลท่านหญิง เมื่อวันก่อนหลังท่านอาจารย์กลับจากร่วมงานเลี้ยงในพระราชวังก็เดินทางไปคฤหาสน์หนานซานแล้ว คล้ายกับว่ามีเรื่องสำคัญบางอย่างต้องจัดการ เขาบอกว่าให้ข้ามาส่งท่านหญิงกับศิษย์พี่ชื่อจี้แทนเขาพ่ะย่ะค่ะ”
หลินถงถอนหายใจอย่างผิดหวัง มิถามไถ่ต่ออีก ส่วนลู่อวิ๋นผู้ซ่อนอยู่ท่ามกลางหมู่องครักษ์และกำลังอดกลั้นมิมองไปทางโหรวหลันฉับพลันก็สะดุดใจ
คฤหาสน์หนานซาน เจียงเจ๋อเดินทางไปคฤหาสน์หนานซาน ถ้าเช่นนั้นเขาก็มิอยู่ในเขตพระราชฐานแล้ว มิทราบว่าองครักษ์ข้างกายจะน้อยลงบ้างหรือไม่ บางทีตนเองอาจมีโอกาสลอบสังหารก็เป็นได้ เพียงแต่มิทราบว่าคฤหาสน์หลังนั้นอยู่แห่งหนใด ยิ่งไปกว่านั้นตนเองก็มิรู้ว่าจะหาโอกาสผละออกไปเสาะหาได้หรือไม่ อีกอย่างหนึ่ง ข้างกายคนผู้นั้นจักต้องมีองครักษ์คุ้มกันอยู่ แล้วก็มีเงามารหลี่ซุ่นอยู่เคียงข้าง เกรงว่าคงยากจะลงมือสำเร็จ
เวลานี้ชื่อจี้เดินมาเอ่ยเสียงเบาด้านข้างฮั่วฉง “ศิษย์น้อง มีเรื่องหนึ่งขอเจ้าโปรดบอกต่อแก่ท่านอาจารย์ ข้าดูแล้วองครักษ์ที่จยาจวิ้นอ๋องรับมาใหม่คนนั้นหน้าตาคล้ายคนผู้หนึ่งอยู่บ้าง แม้จะรู้สึกว่าไม่น่าเป็นไปได้นัก แต่ก็ต้องขอให้เจ้ารายงานสักคำ”
ฮั่วฉงสีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิด ยิ้มละไมเอียงหูฟังคล้ายชื่อจี้กำลังพูดเรื่องเล็กน้อยภายในบ้านบางอย่างกับเขาเท่านั้น แต่ปากกลับเอ่ยว่า “เรื่องนี้ท่านอาจารย์ทราบแล้ว ศิษย์พี่มิต้องกังวล ท่านอาจารย์บอกว่า ก่อนศิษย์พี่ออกเดินทาง ให้บอกเรื่องแม่ทัพต้วนกับองค์หญิงได้ คิดว่าองค์หญิงก็คงต้องการพบหน้าแม่ทัพต้วนสักหนเช่นกัน”
ชื่อจี้ได้ยินก็ตกตะลึงวูบหนึ่ง เรื่องที่เจียงเจ๋อทราบเกี่ยวกับเด็กหนุ่มจากหนานฉู่ผู้นั้นอยู่แล้ว เขาไม่รู้สึกแปลกใจนัก หน้าตาของเด็กหนุ่มผู้นี้ละม้ายคล้ายลู่ช่านอยู่สี่ถึงห้าส่วน ทั้งยังชำนาญวิชายิงธนู สองแขนมีพละกำลังมหาศาล แม้แต่เขายังนึกแคลงใจ หากเจียงเจ๋อพบเข้าย่อมสงสัยแน่นอน
แต่การบอกเรื่องแม่ทัพต้วนกับหลินปี้ เขากังวลว่าท่านอาจารย์เตรียมจะวางกับดักผู้อื่นอีกแล้ว หากเป็นผู้อื่น บางทีตนเองอาจช่วยปิดบังดวงตาของคนผู้นั้นให้ แต่หลินปี้เป็นพี่สาวแท้ๆ ของหลินถง เขากังวลผลที่จะเกิดขึ้นภายหลังอยู่บ้าง
ฮั่วฉงเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะเบาๆ บอกว่า “ศิษย์พี่โปรดวางใจ ท่านอาจารย์มีเจตนาดี หวังว่าองค์หญิงจะเกลี้ยกล่อมให้แม่ทัพต้วนทำงานให้ราชสำนักก็เท่านั้น”
ชื่อจี้จึงโล่งใจ ตอบว่า “ข้าทราบแล้ว ศิษย์น้อง เดินทางมาหนนี้ เห็นท่านอาจารย์โปรดปรานเจ้ายิ่งกว่าเก่า ข้าทั้งอิจฉาทั้งริษยา เจ้ามีบุญวาสนารั้งอยู่ข้างกายท่านอาจารย์ ต้องใส่ใจดูแลแทนศิษย์อกตัญญูเหล่านี้อย่างพวกเราด้วยเล่า”
ฮั่วฉงพยักหน้าขานรับ ในใจกลับเศร้าหมองอยู่เลือนราง บุญคุณของอาจารย์มากมายดั่งขุนเขา ท่านอาจารย์ดีกับตนปานนี้ ตนเองกลับจำต้องปิดบังเรื่องในใจ หลอกลวงเขา หากมีวันใดเรื่องนั้นถูกเปิดเผยออกมา ตนสมควรทำเช่นไรจึงจะดี หากโลหิตมิเปื้อนสวนเหมันต์ ชีวิตจะมิมีวันเป็นสุขใช่หรือไม่