ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 90 เหลือเพียงคำปฏิญาณพิทักษ์มาตุภูมิ (1)
ต้นรัชศกถงไท่ปีที่สิบสอง กองทัพต้ายงบุกปล้นอู๋เย่ว์ ท่านกงรับบัญชาคุมกองทัพที่อวี๋หัง ฝึกฝนกองกำลังอาสาพิทักษ์ชายฝั่ง ผู้คนล้วนคิดว่าท่านกงคงสนใจสงครามฝั่งเจียงไหวไปพร้อมกันมิได้ แต่ท่านกงกลับลอบส่งคำสั่งให้เสนาธิการหยางซิ่วบุกซื่อโจวและฉู่โจว สือกวนแม่ทัพไหวซีนำทัพบุกซู่โจว กองทัพต้ายงคิดไม่ถึงว่าท่านกงจะเป็นฝ่ายบุกท้ารบก่อนจึงเสียซู่โจวและฉู่โจวจนไหวเป่ยตกอยู่ในวิกฤต ได้แต่อาศัยเผยอวิ๋นผู้บัญชาการทหารไหวหนานแห่งต้ายงยืนหยัดนำทัพต่อต้าน
เดือนสาม แม่ทัพเซียงหยางหรงเยวียนทราบข่าวการศึก โกรธเคืองที่ท่านกงดูแคลนตนเอง มิยอมบอกแผนการศึก จึงยกกองทัพออกไปตีหนานหยางด้วยตนเอง แต่กลับติดกับแผนล่อศัตรูของกองทัพต้ายง กลายเป็นฝ่ายเสียเมืองเซียงหยาง ถูกดักซุ่มที่ด่านเฟิงหลิน พ่ายหลายศึกติดกัน ถอยร่นมารักษาอี๋เฉิง ท่านกงตั้งใจจะลงโทษ แต่อัครมหาเสนาบดีซั่งขัดขวางเขาไว้ หรงเยวียนจึงหันมาพึ่งอำนาจของอัครมหาเสนาบดี เขาชิงชังท่านกงที่จะใช้กฎกองทัพลงโทษตนเอง เคียดแค้นท่านกงอย่างล้ำลึก
ต้ายงกับหนานฉู่เปิดศึกใหญ่กันหนึ่งเดือนกว่า สองกองทัพฝั่งเจียงไหวต่างผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ ฝั่งอู๋เย่ว์ยังคงรบราติดพัน ทว่าการสูญเสียเซียงหยางเท่ากับสูญเสียปราการแห่งจิงเซียง ศึกยังมิทันสงบ ด่านจยาเหมิงก็ถูกไส้ศึกขาย ราชสำนักต้องการลงโทษอวี๋เหมี่ยน แต่ท่านกงตั้งใจจะหาหนทางปกป้องอวี๋เหมี่ยนจึงถวายหนังสือขอพระราชทานอภัยโทษให้ตนเองโทษฐานบัญชาการทัพไม่ดี อัครมหาเสนาบดีซั่งใช้ถ้อยคำอ่อนโยนปลอบโยนเขาและมิกล้าลงโทษคนแซ่อวี๋ ทว่าในใจคลางแคลงที่ท่านกงเข้าข้างคนสนิทจนยิ่งระแวงเขามากขึ้น
เดือนสี่ ฉีอ๋องแห่งต้ายงมาบัญชาการศึกที่เจียงหนาน ท่านกงทำสงครามกับเขา ตั้งแต่สู่จงจนถึงอู๋เย่ว์ ไฟสงครามโหมกระหน่ำ ท่านกงส่งหนังสือถึงราชสำนักรายงานว่า ‘สถานการณ์สงครามแปรเปลี่ยนพลิกผัน รุกถอยมิอาจคาดเดา ขอให้ทุกเมืองอยู่ภายใต้การดูแลของกองทัพ’ อัครมหาเสนาบดีซั่งจำใจต้องทำตามเขา อนุญาตให้ท่านกงแต่งตั้งและปลดขุนนางต่ำกว่าขั้นสี่ในเจียงไหวและจิงเซียงได้เอง แม้จะลอบขุ่นเคืองแต่มิกล่าวคำใด
เดือนสิบ ต้ายงขอเจรจาสงบศึก ต้องการสุยโจวและจิ้งหลิงแลกกับการหยุดรบ อัครมหาเสนาบดีซั่งมีท่าทีคล้ายจะยินยอม ท่านกงทราบจึงตำหนิกลางท้องพระโรง กล่าวว่า ‘หากเสียจิ้งหลิงและสุยโจว เจียงหลิงกับเจียงเซี่ยย่อมไม่ปลอดภัย จักรพรรดิอู่ตี้ตีเมืองมาอย่างลำบากยากเย็น ไฉนจะโยนทิ้งให้พยัคฆ์ให้หมาป่าโดยง่าย’ การเจรจาสงบศึกจึงสิ้นสุด อัครมหาเสนาบดีซั่งอับอาย แต่ความระแวงยิ่งชำแรกลึกขึ้นกว่าก่อน
รัชศกถงไท่ปีที่สิบสาม ท่านกงกำชัยเหนือกองทัพต้ายงติดกันหลายหน จิ้งหลิงกับสุยโจวจึงสงบ ทว่าผู้บัญชาการทหารแห่งฮั่นจงฉินหย่งกลับยกทัพผ่านถนนหมี่ชังบุกตีปาจวิ้น ท่านกงรีบออกคำสั่งให้แม่ทัพใต้บัญชาพิทักษ์ขุยโจว
เดือนแปด กองทัพต้ายงส่งทูตมาเยือน หมายจะใช้กองทัพหนานฉู่ที่ถูกขังอยู่ในเจี้ยนเก๋อกับเฉิงตูและเมืองปาจวิ้นแลกกับเมืองเฉิงตูและเจี้ยนเก๋อ ท่านกงตกลง จากนั้นออกคำสั่งให้อวี๋เหมี่ยนพิทักษ์ปาจวิ้น
อัครมหาเสนาบดีซั่งต้องการประหารอวี๋เหมี่ยนโทษฐานนำทัพพ่ายแพ้ทำให้แคว้นเสื่อมเกียรติ แต่ท่านกงทุ่มเถียงห้ามปรามสุดกำลัง อัครมหาเสนาบดีซั่งจึงเลิกล้มความคิด เวลานี้เขาเกิดความคิดจะสังหารท่านกงขึ้นมาแล้ว แต่เพราะท่านกงมีความดีความชอบโดดเด่นในสงครามจึงมิกล้าลงมือบุ่มบ่าม
…พงศาวดารฉู่ราชวงศ์หนาน ประวัติจงอู่กง
หนานฉู่ รัชศกถงไท่ปีที่สิบสี่ เดือนเก้า วันที่สิบเจ็ด เมืองอันลู่ รัตติกาลมืดสลัว บนถนนเต็มไปด้วยพลทหารสีหน้าเคร่งขรึมที่ลาดตระเวนไปมาอย่างเงียบเชียบ ทหารและประชาชนในเมืองต่างเงียบงัน เพราะบ่ายวันนี้กองทัพหนานฉู่ถอยทัพจากเซียงหยางมายังอันลู่ อันลู่เป็นอำเภอใหญ่ในเขตของเจียงเซี่ย หากกองทัพหนานฉู่จะขึ้นเหนือไปเซียงหยางต้องเดินทัพผ่านที่แห่งนี้
ตระกูลลู่คอยดูแลที่แห่งนี้มาหลายปี ใจของคนที่นี่ล้วนภักดีต่อตระกูลลู่ สำหรับคนอันลู่แล้ว ลู่ช่านมิใช่เพียงแม่ทัพใหญ่แห่งหนานฉู่ ที่ผ่านมายามลู่ช่านเดินทัพผ่านอันลู่จะแวะค้างหนึ่งวัน ร่ำสุราสนทนากับประชาชนในเมือง แต่หนนี้กลับไม่เหมือนเดิมอยู่บ้าง หลังจากเข้าเมือง ลู่ช่านก็ไปพักผ่อนที่คฤหาสน์ เวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง ชาวอันลู่จึงทราบว่าลู่ช่านล้มหมอนนอนเสื่อ ทหารและประชาชนอันลู่ทราบข่าวล้วนร้อนใจ แทบทุกบ้านต่างจุดธูปอธิษฐาน ภาวนาบอกสวรรค์ขออย่าได้ช่วงชิงเสาหลักแห่งหนานฉู่ไป
คฤหาสน์ของตระกูลลู่ที่อันลู่เป็นเพียงจวนกว้างขวางหลังหนึ่ง แม้ลักษณะน่าเกรงขาม โครงสร้างกว้างขวาง แต่ไร้ทัศนียภาพอันรื่นรมย์และปราศจากเครื่องเรือนหรูหราตกแต่ง นอกจากบ่าวรับใช้สองสามคนที่รับผิดชอบดูแลก็ไม่มีบ่าวรับใช้อื่นอีก
ยามนี้ด้านในและด้านนอกจวนหลังนี้ถูกองครักษ์คนสนิทของลู่ช่านล้อมไว้จนแม้แต่น้ำก็มิอาจลอดผ่าน มิยอมให้ผู้ใดรบกวนอย่างเด็ดขาด ในใจของทหารเหล่านี้ ผู้แทนพระองค์จากราชสำนักที่ทำให้ท่านแม่ทัพป่วยหนักคือบุคคลที่ปล่อยให้ผ่านเข้าไปไม่ได้มากที่สุด
ภายในห้อง ลู่ช่านสวมอาภรณ์ตัวหลวมยืนมือไพล่หลังมองดวงจันทร์สว่างบนฟากฟ้าอยู่ริมหน้าต่าง ดวงหน้าหล่อเหลาสง่างามเผยความเหนื่อยล้าจางๆ แต่ดูแล้วไม่เห็นสภาพป่วยหนักที่ตรงไหนทั้งสิ้น รัตติกาลมืดมิดขึ้นเรื่อยๆ เสียงกลองตีบอกเวลาดังแว่วลอยมาจากความมืดไกลออกไป เสียงกลองแต่ละหนขยี้หัวใจคน เวลานี้เอง องครักษ์คนสนิทคนหนึ่งก็เข้ามารายงานว่า “แม่ทัพใหญ่ ท่านเหวยขอเข้าพบอยู่ด้านนอกขอรับ”
ดวงตาของลู่ช่านทอประกายเย็นยะเยือกวูบหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เชิญท่านเหวยเข้ามา”
องครักษ์คนสนิทผู้นั้นลังเลครู่หนึ่ง “ท่านแม่ทัพ ส่งกำลังคนมาเพิ่มสักหน่อยดีหรือไม่ วรยุทธ์ของท่านเหวย…”
ลู่ช่านตอบเรียบๆ “ไม่จำเป็น”
องครักษ์ผู้นั้นมิกล้าพูดมาก รีบถอยออกไป ผ่านไปครู่หนึ่งก็นำบุรุษรูปโฉมสง่างามผู้หนึ่งเข้ามา ลู่ช่านหันกลับมามองเขา “ท่านเหวย ข้าคิดอยู่ว่าวันสองวันนี้ท่านน่าจะมาเยือน”
เหวยอิงเห็นลู่ช่านก็ตกใจ ไม่พบหน้ากันเพียงไม่กี่เดือน จอนผมสองข้างของลู่ช่านมีด่างดวงสีขาวเพิ่มมาหลายจุด แม้ท่าทางสุขุมเยือกเย็นจะไม่เปลี่ยนไปอย่างใด แต่บนร่างกลับมีความเหนื่อยล้าเพิ่มขึ้นมาหลายส่วนอย่างเห็นได้ชัด แต่สิ่งนี้อยู่ในการคาดการณ์ของเหวยอิงอยู่แล้ว เขาวางสีหน้าเคร่งขรึม ก้าวเข้าไปประสานมือคำนับ “ผู้แซ่เหวยคารวะแม่ทัพใหญ่ แม่ทัพใหญ่ตรากตรำมาตลอดทาง มิทราบว่าแม่ทัพใหญ่มีแผนการใดจัดการกับเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้น”
ลู่ช่านยิ้มน้อยๆ กล่าวขึ้นว่า “ท่านเหวยมาพบข้าในฐานะเจ้าตำหนักเฉินแห่งสำนักเฟิงอี้ หรือเดินทางมาหาในฐานะลูกน้องในสังกัดของผู้แซ่ลู่เล่า”
แววตาของเหวยอิงสั่นไหววูบหนึ่งก่อนตอบว่า “แน่นอนย่อมเดินทางมาในฐานะลูกน้องของแม่ทัพใหญ่ ผู้น้อยมิอาจขัดขวางเหตุการณ์ต่างๆ ที่ส่งผลร้ายต่อแม่ทัพใหญ่ได้ ขอแม่ทัพใหญ่โปรดอภัยด้วย”
ลู่ช่านส่ายหน้า “มิใช่ท่านขัดขวางไม่ได้ แต่ท่านไม่คิดจะขัดขวางตั้งแต่แรก”
เหวยอิงก้มหน้า “แม่ทัพใหญ่ไฉนจึงพูดเช่นนี้ ผู้น้อยคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าแม่ทัพหรงจะถวายฎีการ้องเรียน ยิ่งคิดไม่ถึงว่าจะมีข่าวลือแพร่กระจายไปทั่ว ซ้ำร้ายสตรีไม่รู้จักดีชั่วพวกนั้นยังปลุกปั่นจากด้านใน จนทำให้แม่ทัพใหญ่ถูกบีบให้ต้องถอยทัพ กำลังของผู้แซ่เหวยเพียงคนเดียวมิอาจเทียบเคียงอัครมหาเสนาบดีซั่ง ตำหนักอี๋หวงและตำหนักเฟิ่งอู่ได้จริงๆ จึงอับจนหนทาง ทำให้แม่ทัพใหญ่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้”
ลู่ช่านกล่าวเสียงเรียบเฉย “ปีนี้เจ้าแคว้นขึ้นปกครองเอง ตอนแต่งตั้งพระมเหสี ท่านเคยเกลี้ยกล่อมข้าให้คิดหาวิธีให้เหมยเอ๋อร์ขึ้นเป็นพระมเหสีแต่ถูกข้าปฏิเสธ ต่อมาพระพันปีหลวงต้องการให้เหมยเอ๋อร์เข้าวังเป็นพระสนม ข่าวยังมิทันแพร่ออกมาข้างนอก เฟิงเอ๋อร์ก็ล่วงรู้ แม้ข้าทิ้งกำลังคนจำนวนหนึ่งไว้ในเมืองหลวงก็จริง แต่พวกเขาคอยสืบทิศทางการเคลื่อนไหวบางอย่างของราชสำนักเท่านั้น มิอาจเข้าไปถึงในวังจนได้ข่าวลับเช่นนี้มา
เฟิงเอ๋อร์เองก็เป็นเพียงหัวหน้าแต่ในนามเพราะเรื่องเช่นนี้ต้องมีคนตระกูลลู่สักคนรับผิดชอบเท่านั้น แต่เฟิงเอ๋อร์กลับได้ข่าวเรื่องนี้มาล่วงหน้า ต่อมาเขาปิดบังมารดายุยงให้เหมยเอ๋อร์หนี กลับกลายเป็นท่านลอบส่งยอดฝีมือคุ้มกันตลอดทาง
นิสัยอย่างท่าน หากให้เหมยเอ๋อร์เข้าวังไปเป็นพระสนมย่อมมีประโยชน์ต่อท่านมากมาย ทั้งสมานรอยร้าวระหว่างตระกูลลู่กับราชวงศ์ได้ แล้วยังคานอำนาจกับจี้กุ้ยเฟยได้อีก แต่ท่านกลับลอบช่วยเหลือเฟิงเอ๋อร์ นี่เพราะเหตุใดเล่า”
เหวยอิงเหงยหน้าขึ้น สีหน้าเปิดเผยตรงไปตรงมา “ท่านแม่ทัพเป็นขุนนางคนสำคัญของหนานฉู่ คุณหนูเหมยเพียบพร้อมทั้งรูปโฉมและคุณธรรม หากพระพันปีหลวงกับเจ้าแคว้นตั้งใจจะแต่งตั้งคุณหนูเป็นพระมเหสี นั่นเป็นเรื่องเหมาะสม แม้แต่ท่านแม่ทัพก็มิอาจปฏิเสธตรงๆ เพียงแต่ท่านเม่ทัพมิยินดีใช้ความสุขชั่วชีวิตของคุณหนูมาแลกกับลาภยศสรรเสริญ นี่ก็เป็นความรักของบิดาต่อบุตรสาว มิมีสิ่งใดให้ตำหนิ
ต่อมาพระพันปีหลวงต้องการจะลดเกียรติคุณหนูให้เป็นสนม หากท่านแม่ทัพตอบรับเข้าจริง ไฉนมิขายหน้าทั้งใต้หล้า ดังนั้นผู้น้อยจึงช่วยเหลือคุณชายรองให้พาคุณหนูเดินทางไปโซ่วชุนโดยมิทันขอคำสั่ง แต่ท่านแม่ทัพคงจะดูแคลนบุตรชายคนรองเกินไป แม้ข้าให้คนปล่อยข่าวก็จริง แต่คุณชายรองทราบเรื่องนี้มาจากหนทางอื่น ผู้น้อยเองก็คิดไม่ถึงว่าคุณชายรองจะใจกล้าเช่นนี้ ถึงกับหลอกคุณหนูเดินทางขึ้นเหนือไปพึ่งคุณชายใหญ่ทันที ส่วนการคุ้มกันระหว่างทาง นั่นเป็นหน้าที่อันสมควรทำ”
ลู่ช่านเลิกคิ้ว “ผู้แซ่ลู่ไหนเลยจะปรารถนาความโปรดปรานในวังหลัง เหมยเอ๋อร์นิสัยอ่อนโยน ข้าจะตัดใจปล่อยให้นางไปต่อสู้กับผู้อื่นในสถานที่อันมิเห็นแสงตะวันนั่นได้อย่างไร หากมิใช่เช่นนั้น ขอเพียงข้าตั้งใจ จะให้เหมยเอ๋อร์ขึ้นเป็นพระมเหสีก็มิใช่ว่าจะไม่ได้ ทว่านับแต่โบราณ ธิดาครองวังกลาง บิดาเป็นขุนนางมากอำนาจ น้อยนักจะมีจุดจบที่ดี ดังนั้นข้าจึงมิปรารถนาเกี่ยวดองกับเชื้อพระวงศ์
แม้แต่อวิ๋นเอ๋อร์ ข้าก็มิปรารถนาให้เขาเป็นพระราชบุตรเขย ถึงองค์หญิงซูหนิงจะไม่เลว แต่ข้าชอบอวี้จิ่นลูกสะใภ้ผู้สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับอวิ๋นเอ๋อร์ได้มากกว่า มิหนำซ้ำนี่ก็เป็นความต้องการของอวิ๋นเอ๋อร์เองด้วย ตระกูลลู่ของข้าแต่ไหนแต่ไรก็มีแต่คนมิรู้จักประจบเอาใจนาย
เรื่องนี้แม้ท่านจะมีเจตนาส่วนตัวแอบแฝง แต่ข้าก็ต้องขอบคุณท่าน หากรอพระพันปีหลวงแสดงเจตนาจะแต่งตั้งพระสนมออกมาอย่างเปิดเผยแล้วค่อยปฏิเสธคงหลีกเลี่ยงความขัดแย้งซึ่งหน้ามิได้ นั่นมิใช่สิ่งที่ข้าต้องการ แต่เรื่องหรงเยวียน ท่านกลับทำข้าคิดไม่ถึง หากเป็นท่านในยามปกติก่อนหน้านี้ ต่อให้ข้าไม่เห็นด้วย ฎีการ้องเรียนฉบับที่สองของหรงเยวียนก็คงส่งขึ้นไปไม่ถึงเป็นอันขาด”