ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 92 เหลือเพียงคำปฏิญาณพิทักษ์มาตุภูมิ (3)
ลู่ช่านยิ้นละไม ตอบว่า “ต่อให้ข้าก่อกบฏแล้วจะช่วยเหลือแผ่นดินกับปวงประชาได้หรือ ถ้าเช่นนั้นท่านก็ดูแคลนจักรพรรดิต้ายงกับท่านอาจารย์มากเกินไปแล้ว แต่ไหนแต่ไรยามท่านอาจารย์ใช้อุบายล้วนรอบคอบถี่ถ้วน หากข้านำทหารลุกฮือขึ้นก่อกบฏ แผ่นดินเจียงหนานอันสงบสุขก็จะตกสู่ไฟสงครามของความวุ่นวายภายใน แม้กำลังทหารในมือซั่งเหวยจวินจะสู้ข้ามิได้อยู่มาก แต่ขอเพียงข้ากับหรงเยวียนเปิดศึกใหญ่กันที่เจียงเซี่ยสักสิบวัน กองทัพต้ายงก็คงจะฉวยโอกาสบุกลงใต้แล้ว ต่อให้เจียงเซี่ยปลอดภัย เจียงหลิงก็คงรักษาไว้ไม่ได้
กองเรือหนิงไห่ยังอยู่ในมืออัครมหาเสนาบดีซั่ง แม่ทัพใหญ่แห่งค่ายหนิงไห่จ้าวฉวินก็เป็นเชื้อพระวงศ์ เขาย่อมยกทัพมาช่วยเจ้าแคว้น ถึงยามนั้นกองเรือตงไห่ก็จะฉวยโอกาสบุกโจมตี ค่ายทหารหนิงไห่เองก็คงจะรักษาไว้ไม่ได้ ถึงยามนั้นผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร ในใจท่านควรทราบดี ต่อให้หนิงไห่กับเจียงหลิงปลอดภัย แต่ทันทีที่ความวุ่นวายภายในถูกจุดขึ้น ตระกูลที่สนับสนุนอัครมหาเสนาบดีซั่งย่อมยกกำลังพลต่อต้าน สงครามบังเกิดแล้วย่อมมิอาจจบ ยังจะมีกำลังใดต่อต้านกองทัพต้ายงที่บุกลงใต้
หากข้าก่อกบฏย่อมกลายเป็นคนบาปผู้ทำให้แผ่นดินล่มสลาย ผู้แซ่ลู่ใช่คนภักดีอย่างโง่เขลาเสียที่ไหน เพียงแต่มหาบุรุษมีสิ่งพึ่งกระทำกับสิ่งมิพึงกระทำ ก่อกบฏเพื่อชีวิตของตน เรื่องนี้ทำมิได้โดยเด็ดขาด เหวยอิง ท่านยังไม่เข้าใจหรือ ท่านอาจารย์ใช้ประโยชน์จากจิตใจที่ปรารถนาการแก้แค้นของท่าน หากมิใช่เช่นนั้น แผนยุแยงตะแคงรั่วหนนี้คงไม่ประสบความสำเร็จถึงเพียงนี้”
หัวใจของเหวยอิงสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ร่างกายโงนเงนจวนเจียนจะล้ม โซเซถอยไปหลายก้าว เรื่องที่ลู่ช่านต้องเผชิญหากยกทัพก่อกบฏ เขาคาดการณ์ไว้บ้างแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้เขาสะเทือนใจแสนสาหัสก็คือคำพูดของลู่ช่านที่บอกว่าการกระทำของตนอยู่ในการคาดคะเนของเจียงเจ๋อ
หากผู้อื่นกล่าวเช่นนี้ เหวยอิงคงแค่นเสียงขึ้นจมูกใส่ แต่ลู่ช่านแตกต่างออกไป เหวยอิงคบหากับลู่ช่านมานานหลายปี เขารู้จักสติปัญญาของลู่ช่านดี อีกทั้งลู่ช่านเคยเป็นศิษย์ของเจียงเจ๋อ ย่อมเข้าใจเจียงเจ๋อดี หากลู่ช่านกล่าวเช่นนี้ ย่อมมั่นใจเก้าในสิบส่วน ความอัปยศกับความตื่นตระหนกที่ถูกศัตรูคู่แค้นหลอกใช้ทำให้เขาแทบจะครองสติมิอยู่
ตอนนี้เอง เสียงเรียบเฉยของลู่ช่านก็ดังลอยเข้ามาในหู “แม้ผู้แซ่ลู่มิตั้งใจจะเป็นขุนนางมากอำนาจ แต่ความจริงก็เป็นขุนนางที่มีอำนาจมากมายในมือผู้หนึ่ง ทว่ายามปกติข้ากลับมองข้ามความระแวงของราชสำนัก เมินเฉยต่อความบาดหมางระหว่างข้ากับแม่ทัพหรงที่มีมายาวนาน ดังนั้นถึงติดกับดักของท่านอาจารย์เข้า
จุดจบในวันนี้ ผิดที่ข้าเอง นิสัยอย่างท่านอาจารย์คงวางแผนการต่อจากนี้ไว้อยู่แล้ว ผู้แซ่ลู่คงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน แม้ท่านเหวยจะมีเจตนาส่วนตัวแอบแฝงอยู่บ้าง ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบก็มิคิดทรยศผู้แซ่ลู่ หนนี้ข้ามิอาจหวนคืนเจียงไหวแล้ว เส้นทางข่าวสารก็คงถูกอัครมหาเสนาบดีซั่งตัดขาดแล้วเป็นแน่ ดังนั้นมีบางเรื่องทำได้เพียงขอให้ท่านเหวยช่วยเหลือ”
เหวยอิงเค้นคำพูดออกมาอย่างลำบากยากเย็น “ทหารม้าเหล็กของต้ายงยังจับจ้องตาเป็นมันอยู่ หากในราชสำนักมีคนถวายหนังสือเสนอแนะ พร้อมกับที่แม่ทัพใหญ่แสดงท่าทีเป็นมิตรต่ออัครมหาเสนาบดีซั่ง ไม่แน่ว่าจะไม่มีโอกาสรอด อัครมหาเสนาบดีซั่งมิใช่คนเลอะเลือน อย่างไรก็ต้องยังมีโอกาสแก้สถานการณ์ได้”
ขณะที่เอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ออกมา แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังมิเชื่อ หากเขาไม่เชื่อว่าลู่ช่านต้องถูกบีบให้ก่อกบฏอย่างแน่นอน เขาจะเสี่ยงเอาตัวมาพบลู่ช่านได้อย่างไร อุบายของเจียงเจ๋อ เขาเองก็เคยลิ้มรสมาก่อนแล้ว หากบอกว่าแผนการของเจียงเจ๋อมีช่องโหว่ที่เห็นชัดถึงเพียงนั้น เขาก็ไม่เชื่อ
ลู่ช่านยิ้มน้อยๆ ส่ายหน้าบอกว่า “จะยังมีชีวิตรอดได้หรือไม่ยังไม่ต้องพูดถึง หนนี้ในเมื่ออัครมหาเสนาบดีซั่งเตรียมจะลงมือแล้ว ย่อมไม่ลงมือกับผู้แซ่ลู่เพียงคนเดียว อดีตแม่ทัพใต้สังกัดส่วนใหญ่คงมิพบปัญหามากนัก เพราะอัครมหาเสนาบดีซั่งไม่มีทางรวบจัดการพวกเขาทั้งหมดในหนเดียว หากไม่เก็บแม่ทัพจำนวนหนึ่งไว้ จะต่อกรกับกองทัพต้ายงได้เช่นไร แต่หยางซิ่วแห่งไหวตง อวี๋เหมี่ยนแห่งสู่จงกับสือกวนแห่งไหวซีคงยากจะหนีรอดพ้นภัย
ในหมู่สามคนนี้แม้หยางซิ่วจะเป็นคนสนิทของข้า ทว่าเป็นคนจากอดีตแคว้นสู่ ไม่มีรากฐานอันใดในเจียงหนาน ข้าจะเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง ท่านจงไปบอกเขาแทนข้า ให้เขากล้ำกลืนเข้ากับฝ่ายอัครมหาเสนาบดีซั่ง หากมีเขาช่วย อัครมหาเสนาบดีซั่งย่อมคุมกองทัพใหญ่ฝั่งไหวตงได้ อัครมหาเสนาบดีซั่งต้องยอมรับเขาแน่นอน
อวี๋เหมี่ยนเป็นลูกน้องเก่าของข้า หลายปีมานี้พบกับความพ่ายแพ้หลายหน แต่ข้ากลับมิเคยถือโทษเขา ทหารชั้นยอดในสู่จงถูกข้าดึงมาจนแทบหมดสิ้น เขาอาศัยทหารเพียงไม่กี่หมื่นต่อกรกับกองทัพต้ายงสองแสนนายได้ก็ไม่ง่ายอย่างยิ่งแล้ว แต่หากอัครมหาเสนบาดีซั่งได้คุมอำนาจทหารแล้วย่อมมิปล่อยเขาไว้แน่นอน
ข้ารู้จักนิสัยของอวี๋เหมี่ยนดี เขาหมดศรัทธาต่ออัครมหาเสนาบดีซั่งนานแล้ว ทั้งเขายังไม่ได้มีชาติกำเนิดมาจากตระกูลขุนนาง เขาจงรักภักดีต่อผู้แซ่ลู่เท่านั้น หากข้าตาย เกรงว่าเขาจะหันไปเข้ากับกองทัพต้ายง ถ้าเขาคิดจะทรยศจริงๆ คงเริ่มจากการขัดพระบัญชาก่อน หากมีเค้าลางของการกระทำเช่นนี้ ท่านจงส่งคนนำกระบี่คู่กายของข้าไปให้อวี๋เหมี่ยน เขาย่อมรู้เองว่าสมควรทำเช่นไร
เรื่องสือกวนจัดการลำบากอยู่บ้าง อวี้จิ่นบุตรสาวของเขากับอวิ๋นเอ๋อร์เพิ่งแต่งงานกันยังไม่ถึงหนึ่งปี อีกทั้งอวี้จิ่นก็ตั้งครรภ์แล้ว นางเป็นสตรีที่กล้าหาญยิ่งนัก คงมิยอมทอดทิ้งคนรัก แต่สือกวนน่าจะเข้าใจผลประโยชน์ดีร้ายในเรื่องนี้ ข้าคงทำได้เพียงปล่อยทุกสิ่งดำเนินไปเอง ท่านเพียงบอกเจตนาของข้ากับอวิ๋นเอ๋อร์ก็พอแล้ว”
เหวยอิงใจแทบขาดรอน แม้แต่ตอนก่อกบฏในตำหนักเสี่ยวซวงล่มก้าวเดียวก่อนสำเร็จในอดีต เขายังไม่เจ็บปวดเสียใจเท่านี้ เขาทรุดลงคุกเข่าคารวะจดพื้น “แม่ทัพใหญ่ หากลุกขึ้นก่อกบฏอาจยังมีทางรอด แม่ทัพใหญ่มิคิดถึงฮูหยินกับคุณชายคุณหนูทั้งหลายหรือ คุณชายอวิ๋นแม้ยังอายุน้อย แต่กล้าหาญชำนาญศึก ทั้งยังเพิ่งเพิ่งแต่งงานมินาน ฮูหยินน้อยก็ตั้งครรภ์แล้ว อีกห้าเดือนจะถึงวันคลอด
แม่ทัพใหญ่อยากให้หลานชายของตนเองไม่ได้เห็นแม้แต่หน้าบิดาเช่นนั้นหรือ ถึงคุณชายเฟิงอายุยังน้อยแต่ก็ฉลาดเฉลียว คุณหนูเหมยกับคุณชายเล็กก็ยังมิทันโตเป็นผู้ใหญ่ แม่ทัพใหญ่ทนเห็นพวกเขาพบหายนะได้หรือ”
ดวงตาของลู่ช่านมีวาวน้ำตาปรากฏวูบหนึ่ง แต่เขาก็เบือนหน้าหนี ตอบอย่างหม่นหมองว่า “เพื่อซื้อใจลูกน้องเก่าของผู้แซ่ลู่ อัครมหาเสนาบดีซั่งคงไม่ประหารผู้แซ่ลู่อย่างเปิดเผย แล้วก็คงไม่ลงมือกับภรรยาและบุตรของผู้แซ่ลู่ทันที อวิ๋นเอ๋อร์เข้าร่วมกองทัพมาหลายปี ชื่อเสียงค่อนข้างโด่งดัง อัครมหาเสนาบดีซั่งอาจจะไม่ปล่อยเขา แต่เฟิงเอ๋อร์ เหมยเอ๋อร์กับถิงเอ๋อร์ล้วนยังเยาว์วัย หากข้าคาดการณ์ไม่พลาด อัครมหาเสนาบดีซั่งคงเนรเทศครอบครัวของผู้แซ่ลู่ไปยังชายแดนใต้แล้วตั้งใจทำร้ายระหว่างทางเป็นแน่
พี่เหวย แม้ท่านจะช่วยเหลือผู้แซ่ลู่มาหลายปี แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นคนของสำนักเฟิงอี้ หากตำหนักเฉินถูกทำลาย อำนาจของสำนักเฟิงอี้ก็คงถูกลดทอนลงมาก ดังนั้นขอเพียงพี่เหวยไม่เป็นอริกับพวกเขาอย่างเปิดเผย อัครมหาเสนาบดีซั่งก็คงยอมปล่อยท่านไว้ หลังจากข้าตาย หากท่านเห็นแก่ไมตรีเก่าก่อน โปรดหาวิธียื่นมือช่วยเหลือ มิจำเป็นต้องพาไปฝากให้ผู้ใต้บัญชาเก่าของผู้แซ่ลู่ดูแล เพียงหาหมู่บ้านรกร้างสักแห่งให้พวกเขาได้ลงหลักปักฐานก็เพียงพอ”
เหวยอิงฟังคำนี้จบ สีหน้าพลันหม่นหมองดุจขี้เถ้า ทราบว่าลู่ช่านตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะไม่นำกองทัพลุกฮือก่อกบฏอย่างแน่นอน ลู่ช่านถึงขั้นเตรียมการหลังจากตัวตายเอาไว้เรียบร้อยเพื่อไม่ให้ในกองทัพเกิดความโกลาหลจนต้ายงฉวยโอกาสรุกรานทางใต้ พอคิดว่าหากมิใช่เพราะความเห็นแก่ตัวของตนเองก่อเรื่อง ลู่ช่านก็คงไม่ถึงกับไร้โอกาสโต้ตอบสักนิดเช่นนี้
ทว่าจวบจนเวลานี้ลู่ช่านก็ยังฝากฝังเรื่องราวภายหลังกับเขา ไม่ถือสาความผิดพลาดที่ทำให้ชื่อเสียงเขาแปดเปื้อนอย่างสิ้นเชิง ในใจเขาเริ่มมีความคิดบางอย่าง เขากัดฟันแน่น โลหิตสายน้อยไหลซึมออกมา ก่อนจะลุกขึ้นคำนับอีกหน “ท่านแม่ทัพโปรดวางใจ ต่อให้ผู้แซ่เหวยต้องสละชีวิตก็จะปกป้องครอบครัวของท่านแม่ทัพจนสุดความสามารถ”
ลู่ช่านตอบอย่างวางใจ “ข้าเชื่อว่าพี่เหวยจะไม่ผิดต่อเรื่องที่ฝากฝัง ท่านกับข้าคบหากันมาหลายปี จากกันวันนี้อาจมิมีโอกาสพบกันอีก แต่เดิมไม่สมควรเร่งรัด แต่ผู้แทนพระองค์กำลังเดินทางมาแล้ว หากปล่อยให้คนอื่นเห็นพี่เหวยอยู่ที่นี่ในเวลานี้คงไม่ดี ได้แต่เชิญพี่เหวยเดินทางยามวิกาลแล้ว”
เหวยอิงพยักหน้าเบาๆ สองมือรับกระบี่คู่กายกับจดหมายที่ลู่ช่านส่งให้ หัวใจเจ็บปวดรวดร้าวเป็นระยะ เขาข่มกลั้นความโศกเศร้าหมุนตัวเดินออกไปด้านนอก เพิ่งเดินพ้นประตูก็ได้ยินเสียงเอะอะดังขึ้นด้านนอก ได้ยินคำว่า ‘ผู้แทนพระองค์’ ‘ราชโองการ’ อยู่เลือนราง ในใจทราบว่าราชโองการจากเจี้ยนเย่มาถึงแล้ว องครักษ์คนสนิทเหล่านั้นเตรียมพร้อมอยู่ก่อนแล้วจึงนำทางเหวยอิงออกจากคฤหาสน์ผ่านประตูด้านข้าง
เหวยอิงเดินออกจากประตูจวนมาก็ทนไม่ไหวลอบอ้อมไปดูด้านหน้า เห็นผู้แทนพระองค์โกรธเกรี้ยวตวาดด่าทหารเฝ้าประตูเสียงดัง เหวยอิงมองปราดเดียวก็เห็นกลุ่มคนในชุดขันทีด้านหลังผู้แทนพระองค์คนนั้น ดวงหน้านั้นแลดูคุ้นเคยอย่างยิ่ง แม้ใบหน้าจะถูกแปลงโฉมอยู่บ้าง ส่วนเสื้อผ้าก็ใช้ลูกเล่นเล็กน้อยทำให้มองไม่ออกว่าเป็นสตรีปลอมตัวมา แต่ก็ปิดบังสายตาของเขาไม่ได้
ในใจเขาลอบเคียดแค้น ศิษย์ของสำนักโด่งดังผู้สง่างามในวันวาน ยามนี้กลับตกต่ำถึงขั้นนี้ กระเสือกกระสนละโมบอยากอยู่อย่างสงบสุขในหนานฉู่ก็แล้วไปเถิด ซ้ำร้ายยังรู้จักแต่กำจัดคนที่คิดต่างจากตนเอง เพียงเพราะลู่ช่านไม่ยอมรับไมตรีจากพวกนางก็ทำลายเสาหลักของบ้านเมืองอย่างไม่เสียดาย สายตาอันตื้นเขินเช่นนี้ ทำให้คนเคียดแค้นชิงชังอย่างแท้จริง
ระหว่างที่เหวยอิงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน องครักษ์คนสนิทของลู่ช่านก็เดินออกมาจากด้านในประตู ถ่ายทอดคำสั่งกองทัพ ปล่อยให้ผู้แทนพระองค์เหล่านั้นเข้าไป เหวยอิงหัวใจเย็นเฉียบ ทราบว่าในที่สุดเรื่องราวก็มิอาจแก้ไขได้อีกต่อไปแล้ว เวลานี้เอง บุรุษวัยกลางคนสองคนก็เดินออกมาจากเงามืด ค้อมกายคำนับอย่างนอบน้อม คนหนึ่งในนั้นเอ่ยอย่างร้อนรน “เจ้าตำหนัก ต่อจากนี้พวกเราสมควรทำเช่นไรดี”
เหวยอิงเงยหน้าขึ้น ดวงตามีแต่แววตาแน่วแน่ เอ่ยขึ้นว่า “บุญคุณของสหายมิอาจลืม พวกเราเดินทางไปพบแม่ทัพน้อยลู่ที่ไหวซีก่อน ลี่หมิงไปด้วยกันกับข้า ชุยเสียงเคลื่อนกำลังคนทั้งหมดของตำหนักเฉินรอคำสั่งจากข้า หากข้าโน้มน้าวให้แม่ทัพน้อยยกทัพลุกขึ้นก่อกบฏได้ แม่ทัพใหญ่ก็ยังมีโอกาสรอด หากทำไม่สำเร็จ ข้าจะเดินทางไปพบหยางซิ่วที่ไหวตง มิว่าอย่างไรก็มิอาจยอมจำนนต่อชะตากรรมเช่นนี้”