ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 95 ถอนรากถอนโคน (3)
สตรีอาภรณ์เขียวนามเฟิ่งเฟยเฟยผู้นั้นหัวเราะหยัน สืออวี้จิ่นตาพร่าเพียงวูบเดียว เงากระบี่เต็มท้องนภาก็พลันปรากฏอยู่ตรงหน้า สืออวี้จิ่นไม่มีเวลาแยกแยะว่ากระบี่วาดมาจากที่ใด ความรู้สึกอันตรายทะลักขึ้นมาในหัวใจ นางตวาดกร้าว แทงหอกเงินขนานพื้น ทะลวงเข้าไปใจกลางของเงากระบี่ หนึ่งหอกนี้อัดแน่นด้วยจิตวิญญาณอันห้าวหาญที่ขัดเกลาจากสมรภูมิ นี่เป็นกระบวนท่าที่ยอมบาดเจ็บทั้งสองฝั่ง
เสียงกังวานใสดังขึ้นหนึ่งหน เสียงอุทานอย่างคิดไม่ถึงดังออกมาจากกลุ่มประกายกระบี่ที่ขาวสว่างดุจหิมะ แต่ถึงกระนั้นประกายกระบี่กลับไม่มีวี่แววว่าจะอ่อนกำลังลงแม้แต่น้อย ยังคงถาโถมเข้ามาประหนึ่งเกลียวคลื่น
สืออวี้จิ่นรู้สึกว่าเบื้องหน้ามีแต่เงากระบี่ แม้แต่ร่างของสตรีอาภรณ์เขียวก็มองไม่เห็น นางตัดสินใจหรี่ตาสองข้างลง ไม่จับจ้องประกายกระบี่เจิดจ้าเหล่านั้น อาศัยเพียงสัญชาตญาณ ปลายหอกสะบัดไหว เงาหอกคล้ายดอกสาลี่ โปรยปรายดุจหิมะ นางอาศัยเพลงหอกที่เคยใช้บุกตะลุยท่ามกลางทหารพันหมื่นมาขัดขวางประกายกระบี่
ทว่าสืออวี้จิ่นตระหนักดีว่าที่นางยังประมือได้อย่างสูสีอยู่เป็นเพราะนางสู้อย่างมิสนใจชีวิต บวกกับอาศัยประสบการณ์ที่สั่งสมมาจากสมรภูมิ หากสู้ต่อไป อย่างมากที่สุดไม่พ้นสามสิบกระบวนท่า ตนเองคงบาดเจ็บใต้คมกระบี่ สืออวี้จิ่นเป็นแม่ทัพผู้กล้าบนสนามรบ มิใช่สตรีในยุทธภพ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ นางก็มิสนใจขนบธรรมเนียมอันใดอีกต่อไป ตะโกนเสียงดังลั่น “ทุกคนบุก รุมสังหารคนผู้นี้เสีย”
องครักษ์คนสนิททั้งหลายตั้งกระบวนทัพรออยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำสั่งของสืออวี้จิ่น นอกจากองครักษ์คนสนิทสองนายที่เหลือไว้ปกป้องลู่เหมย องครักษ์คนสนิทคนอื่นก็ถือหอกยกแหลนขึ้นมา ทั้งหกคนตั้งกระบวนทัพออกศึก ลงมือสอดประสานเข้าสังหารสตรีอาภรณ์เขียวจากด้านหลัง
แม้เพลงกระบี่ของสนตรีนางนั้นจะยอดเยี่ยม แต่สืออวี้จิ่นกับองครักษ์คนสนิทหกคนรุมโจมตี นางจึงตกอยู่ในสถานการณ์ตั้งรับมากกว่ารุก ยิ่งไปกว่านั้นทั้งหกคนยังมีอาชาช่วยเหลือด้วย
เฟิ่งเฟยเฟยขุ่นเคืองขึ้นมาเล็กน้อย นางหัวเราะหยันกล่าวว่า “ได้ยินมาว่าบุตรีของสือกวนแม้อายุน้อยแต่เป็นแม่ทัพผู้กล้าในสนามรบ แกล้วกล้าชำนาญศึก แต่วันนี้ดูแล้วคงอาศัยคนหมู่มากกลุ้มรุมเท่านั้น” ขณะที่ปากเอ่ยวาจา พลังของกระบี่ก็ยิ่งดุดัน ภายในบริเวณหนึ่งจั้งกว่าล้วนมีแต่คลื่นกระบี่ดั่งเงาหิมะ ถาโถมเข้ามาดุจเกลียวคลื่น
สืออวี้จิ่นไม่สนใจนาง หากบนสนามรบมาคิดเล็กคิดน้อยเช่นนั้น ไหนเลยจะยังมีโอกาสชนะ หอกเงินหนึ่งเล่มเคลื่อนไหวอย่างเยี่ยมยอด ปัดป่ายโลดแล่นท่ามกลางคลื่นกระบี่ประหนึ่งมังกรเล่นน้ำ แต่ละท่าแต่ละกระบวนล้วนบรรลุถึงขั้นล้ำเลิศ
เวลานี้นางค่อยๆ ลืมเลือนอันตรายที่ซุ่มซ่อนอยู่รอบด้าน ประสบการณ์การสู้รบนองเลือดบนสมรภูมิมานานหลายปี ผนวกกับยามนี้ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย อีกทั้งจิตใจเพิ่งพบพานกับความผิดหวัง ทำให้จิตใจของนางเมินเฉยต่อความตาย จนนำไปสู่สภาวะที่คนกับหอกประสานเป็นหนึ่งได้อย่างปาฏิหาริย์ นางรู้สึกว่าหอกเงินในมือคล้ายกับมีชีวิตเป็นของตนเอง มันเข้าขัดขวางการโจมตีของศัตรูและแทงเข้าใส่จุดสำคัญของศัตรูด้วยตัวของมันเอง
เสียงใสกังวานยามหอกกับกระบี่ปะทะกันดังขึ้นไม่ขาดสาย แม้เฟิ่งเฟยเฟยจะวรยุทธ์สูงส่ง แต่กระบี่อย่างไรก็เสียเปรียบหอกยาวในด้านการโจมตีระยะไกล นางรู้สึกว่าอวัยวะภายในถูกอัดกระแทกซ้ำหลายครั้งหลายหน หัวใจนึกหวาดหวั่น แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีความคิดจะผละหนี
แต่ในเวลานี้เองจู่ๆ สืออวี้จิ่นก็รู้สึกเจ็บท้องราวกับถูกบิด นางสู้รบสุดกำลังเช่นนี้ทำให้ส่งผกระทบต่อครรภ์ นางหลุดเสียงร้องออกมาเบาๆ อย่างห้ามมิได้ หอกเงินในมือสั่นไหวจนเผยช่องโหว่ เฟิ่งเฟยเฟยเป็นยอดฝีมือวิชากระบี่อันดับหนึ่งในหมู่อันดับหนึ่งของยุทธภพ นางฉวยโอกาสตวาดเสียงเหี้ยม ประกายสีเงินระเบิดออกจากมือ หยาดโลหิตสาดกระเซ็น เสียงร้องเจ็บปวดดังระงม องครักษ์หลายคนกุมลำคอล้มฟุบลงบนตัวม้า
เฟิ่งเฟยเฟยคว้าโอกาสดีอันหาได้ยากหนนี้สังหารองครักษ์หกคนที่กำลังช่วยกันกลุ้มรุมโจมตีจากด้านหลัง พอประกายกระบี่ดับแสง เฟิ่งเฟยเฟยก็ถอยห่างออกไปหลายจั้ง สีหน้านางซีดลงหลายส่วน หนึ่งกระบี่นี้นางทุ่มความสามารถทั้งหมดจึงผลาญพละกำลังไปมากมายยิ่งนัก
สืออวี้จิ่นชะลอมือ องครักษ์คนสนิททั้งหลายที่ผ่านสงครามนองเลือดมากับนางตายสิ้นแล้ว หัวใจของนางโศกเศร้าอย่างยากจะระงับ ความเจ็บปวดรุนแรงส่งมาจากท้องอีกหน นางหวาดหวั่นยิ่งนัก ตอนนั้นเอง เฟิ่งเฟยเฟยพลันทะยานร่างเข้ามา
สืออวี้จิ่นมิกล้าสู้ต่อจึงสั่งอย่างเศร้าสลด “รีบไป” สิ้นเสียงก็ควบอาชาวิ่งไปยังป่ารกร้าง องครักษ์ที่คุ้มกันลู่เหมยผู้นั้นหวดแส้ตามไปทันที แต่องครักษ์อีกคนที่แต่เดิมถือดาบคอยคุ้มกันลู่เหมยอยู่กลับควบอาชาพุ่งเข้าใส่สตรีอาภรณ์เขียว
สามคนกับสองอาชายังมิทันวิ่งออกมาไกลนักก็ได้ยินเสียงคำรามด้วยความเจ็บปวดลอยมาจากด้านหลัง องครักษ์คนสนิทที่เหลือรอดอยู่เพียงผู้เดียวคนนั้นหันกลับไปมอง เขาเห็นศีรษะพี่น้องของตนลอยกระเด็นขึ้นฟ้า ส่วนร่างถูกสตรีอาภรณ์สีเขียวผู้นั้นถีบตกจากหลังม้า สตรีนางนั้นทิ้งร่างลงบนอานม้าแล้วห้ออาชาไล่ตาม สืออวี้จิ่นที่อยู่บนม้าตัวหน้าฟุบลงบนหลังม้าคล้ายจะหมดสติ หากมิใช่เพราะความเคยชินกับสัญชาตญาณทำให้นางเกาะลำคอของม้าไว้แน่น นางก็คงจะร่วงตกม้าไปแล้ว
องครักษ์คนสนิทผู้นั้นคิดในใจว่าแย่แล้ว ทันใดนั้นใบหน้าคล้ำเขียวของเขาก็เผยสีหน้าเหี้ยมเกรียม เขาตะโกนลั่น “คุณหนูเหมย ท่านปกป้องแม่ทัพน้อย” กล่าวจบ เขาพลันทะยานร่างจากอานม้าลงมาที่พื้น ยืนขวางกลางทางประจันหน้ากับอาชาที่ควบทะยานไล่หลังมา
ลู่เหมยตะโกนร้องอย่างเจ็บแค้น ถึงแม้นางจะอายุน้อยความรู้ตื้นเขิน แต่ก็เป็นธิดาของตระกูลแม่ทัพ นางทราบดีว่าเวลานี้เป็นห้วงเวลาชี้เป็นชี้ตาย สองคนสามชีวิตอยู่ในกำมือของตนเองแล้ว โชคดีที่นางขี่ม้าเป็นอยู่บ้าง แม้จะมิชำนาญ แต่เวลานี้ในใจนางลืมสิ้นทุกสิ่ง ควบอาชาวิ่งทะยานไล่ตามสืออวี้จิ่นจนทัน
เวลานี้สืออวี้จิ่นสิ้นสติไปแล้ว ร่างกายของนางส่ายโงนเงน ลู่เหมยรวบรวมความกล้าตัดสินใจโผร่างข้ามไปหา มิสนใจความเป็นความตายอย่างสิ้นเชิง นางกระโจนไปถึงอานม้าด้านหลังสืออวี้จิ่นสำเร็จก็ฉวยสายบังเหียนที่ถูกปล่อยทิ้ง
ลู่เหมยรู้สึกว่าเหงื่อกาฬแตกพลั่กทั่วร่าง นางลอบยินดีอยู่ในใจ ก่อนหน้านี้ตอนนางร่ำเรียนกระบวนท่านี้จากพี่รอง สิบหนร่วงตกม้าเสียเก้า โชคดีมีเหล่าแม่ทัพทหารในตระกูลคอยคุ้มกันถึงไม่เคยคอหัก ต่อมาจึงถูกท่านแม่ห้ามร่ำเรียนกระบวนท่าอันตรายเช่นนี้อีก โชคดีที่หนนี้สำเร็จ นางใจเย็นลงเล็กน้อย แต่กระนั้นก็ยังกลัวว่าสตรีอาภรณ์เขียวผู้นั้นจะไล่ตามมา
ในมือนางไม่มีแส้ นางจึงทำใจเหี้ยม ชักมีดสั้นที่พกไว้ป้องกันตัวข้างเอวออกมาแทงใส่ก้นม้า อาชาสีขาวตัวนั้นกรีดร้อง วิ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง ลู่เหมยรู้สึกว่าเสียงลมดังหวีดหวิวอยู่ในหู ทิวทัศน์สองฟากฝั่งล้วนมองเห็นไม่ชัด ทำได้เพียงกอดสืออวี้จิ่นไว้แน่นพร้อมกับกำสายบังเหียนม้าให้มั่น แล้วปล่อยอาชาร่างกำยำห้อตะบึงตามใจ
นางไม่ทราบว่าเฟิ่งเฟยเฟยที่อยู่ด้านหลังกำลังเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันสบถด่า ไหนเลยจะยังไล่ตามมาได้ องครักษ์คนสนิทที่ขวางอยู่คนสุดท้ายคนนั้นในสายตานางไม่มีค่าให้พูดถึงสักนิด แต่นางไหนเลยจะรู้ว่าพอคนผู้นั้นผิวปากเดี๋ยวสั้นเดี๋ยวยาวออกมา อาชาศึกทั้งหลายที่ได้ยินต่างวิ่งกระเจิง แม้แต่ม้าตัวนั้นใต้ร่างนางจู่ๆ ก็เหมือนจะคลุ้มคลั่ง พยายามสะบัดนางให้หล่นสุดกำลัง นางเสียสมาธิเพียงวูบเดียว สายบังเหียนก็หลุดจากมือ โชคดีที่นางมีวิชาตัวเบาเหนือกว่าผู้ใดจึงทะยานร่างเหินขึ้นฟ้า ไม่ถูกม้าที่ตื่นตระหนกทำร้าย
พอเห็นว่าเสียอาชาที่จะใช้ไล่ตามศัตรูไปแล้ว นางจึงแทงหนึ่งกระบี่สังหารองครักษ์ผู้นั้นเพื่อระบายความโกรธแค้น แต่คิดไม่ถึงองครักษ์คนนั้นกลับกระโจนเข้ามากอดขาขวาของนางอย่างมิสนใจไยดีชีวิต แม้นางจะอายุสามสิบกว่าปีแล้วแต่ก็เป็นหญิงสาวที่ยังมิออกเรือน นางตระหนกลนลาน ฟันลงมาติดกันหลายกระบี่จนแขนสองข้างขององครักษ์ผู้นั้นขาด พอตัวหลุดออกมาได้ หันไปเห็นองครักษ์คนสนิทผู้นั้นถลึงดวงตาแดงก่ำดุจโลหิตจนปูดโปน เพลิงโทสะในใจนางก็พวยพุ่ง ฟันกระบี่สะบั้นร่างขององครักษ์ผู้นั้นเป็นสิบเจ็ดสิบแปดท่อนอย่างเคียดแค้นกว่าเพลิงโทสะจะคลายลง
นางทอดสายตามองออกไปไกล มิทราบว่าเป้าหมายทั้งสองคนนั้นหนีไปถึงที่ใดแล้ว นางทำได้เพียงถอนหายใจแผ่วเบา เตรียวตัวจะเดินทางไปจงหลีเฝ้าตอไม้รอกระต่าย ทว่าเพิ่งจะขยับร่างมิทันไรก็รู้สึกเจ็บแปลบกลางแผ่นหลัง จากนั้นความรู้สึกชาก็แผ่ลามจากสันหลังขยายไปทั่วร่าง นางพยายามจะยกกระบี่ขึ้นมาอย่างยากลำบาก ทว่ามือกลับอ่อนแรง กระบี่ยาวร่วงลงบนพื้น หลังจากนั้นร่างกายของนางก็ฟุบล้มไปด้านหน้า สัมผัสได้ว่าร่างกายสูญเสียความรู้สึกไปทีละส่วน นางฝืนตวาด “ผู้ใด ลอบเล่นงานจากที่ลับ หาใช่วีรบุรุษไม่”
เสียงเยือกเย็นดังมาจากเบื้องหลัง “แม่นางสามแห่งสำนักเฟิงอี้ ยามนี้กลายเป็นมือสังหารไล่เข่นฆ่าครอบครัวของแม่ทัพผู้ภักดี นี่เป็นการกระทำของศิษย์สำนักโด่งดังหรืออย่างไร ในสายตาข้า เจ้าสู้พลทหารที่ปกป้องนายด้วยใจภักดิ์เหล่านี้มิได้ด้วยซ้ำ ข้ามาสายไปก้าวหนึ่ง ช่างน่าเสียดายวีรบุรุษเหล่านี้อย่างแท้จริง แม่นางเฟิ่ง พอเดินทางไปถึงปรโลกแล้ว มิทราบว่าเจ้าจะยังมีหน้าไปพบอาจารย์ของเจ้าหรือไม่”
เฟิ่งเฟยเฟยสัมผัสได้ว่าชีวิตกำลังจะปลิดปลิว สายตาของนางค่อยๆ มืดหม่น นางกรีดร้อง “เจ้าเป็นผู้ใด ข้าต้องการรู้ว่าเจ้าเป็นผู้ใด”
คนผู้นั้นด้านหลังขับบทกวีอย่างอ้อยอิ่ง “ผกาโรยริมธารสองเราสมัครรักใคร่ แค้นใจไร้ที่พึ่งพิง ฝันมิแคล้วยากเป็นจริง ดวงใจทุกข์ทนหม่นไหม้ สายลมแดนฉู่พัดผ่านให้เปลี่ยวเหงา คนนิ่งงันใต้หยดน้ำค้างปลายกิ่งสน ควันธูปลอยเวียนวน แว่วเสียงพระคัมภีร์[1] คนใกล้ตายคนหนึ่ง ไยต้องรู้เรื่องราวมากปานนั้นเล่า หรือเจ้าคิดจะไปเข้าฝันบอกศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหลายของเจ้าเล่า”
[1]บทกวี เทพแห่งลำน้ำ (江神子) ของจางจี้เซียน (张继先) กวีสมัยราชวงศ์