ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 1001 เข้าสู่ทางปีศาจร้าย (ต้น)
ณ ที่แห่งหนึ่งสุดขอบเทือกเขาหมื่นวิญญาณ มีหุบเขาชันสีดำที่เตี้ยกว่าเทือกเขารอบด้านอย่างชัดเจนอยู่แห่งหนึ่ง
ปากทางเข้าหุบเขาถูกหมอกสีดำหนาทึบปกคลุมอยู่ตลอดทั้งปี เมื่อก้มมองจากบนฟ้าจะพบว่าหมอกดำเหล่านี้ราวกับวังน้ำวนสีดำสนิทที่กลืนกินแสงตะวันได้ ทำให้ทั้งหุบเขาชันเบื้องล่างแลดูมืดสลัวยิ่งนัก
ยามนี้ด้านในหุบเขาซึ่งมองไม่เห็นแสงตะวันมีชายหนุ่มสวมชุดสีดำคนหนึ่งกำลังถือป้ายคำสั่งที่ทอแสงสีเลือดขมุกขมัวแผ่นหนึ่งเดินทอดน่องมาตามเส้นทางบนเขา แล้วทอดสายตามองสิ่งรอบด้านเป็นระยะ
คนผู้นี้ก็คือหลิ่วหมิงที่เตรียมตัวจะเข้าไปในทางปีศาจร้ายเพื่อค้นหาโอกาสเลื่อนระดับนั่นเอง
ขณะที่เขาเดินมาถึงตีนเขาอันเร้นลับแห่งหนึ่งในหุบเขาชันก็ชะงักเล็กน้อยแล้วหยุดเท้า ด้านข้างศิลายักษ์ก้อนหนึ่งไม่ไกลออกไปทางด้านหน้า มีเงาอรชรสองร่างสีม่วงกับสีฟ้าอยู่
เมื่อเพ่งสายตามองจึงเห็นว่าสตรีอาภรณ์ไหมสีม่วงคนหนึ่งในนั้นก็คือหลงเหยียนเฟย ส่วนสตรีงามพิลาสผู้สวมชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อนคนนั้นที่ยืนอยู่ข้างกายนางก็คือเจียหลาน
สตรีทั้งสองเดิมทีเหมือนกำลังสนทนาอะไรกันอยู่ แต่เมื่อเห็นหลิ่วหมิง สายตาก็มองมาอย่างพร้อมเพรียง
หลิ่วหมิงอึ้งไปวูบหนึ่ง ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่างก็เห็นหลงเหยียนเฟยขยับเข้าไปกระซิบข้างหูเจียหลานหลายประโยค แววตาลังเลผุดขึ้นในดวงตาของเจียหลานชั่ววูบ เท้าดอกบัวก้าวแผ่วเบามาถึงเบื้องหน้าหลิ่วหมิงแล้วเอ่ยเสียงเบาขึ้นว่า
“พี่หลิ่ว ท่านเพียงส่งยันต์ถ่ายทอดเสียงแผ่นหนึ่งมาบอกข้า แต่ไม่คิดจะพบหน้าข้าสักครั้งก็เตรียมเข้าไปในทางปีศาจร้ายแห่งนี้ตามลำพังเช่นนั้นหรือ?”
“ศิษย์น้องเจียหลาน ข้า…” หลิ่วหมิงฟังแล้วก็อับจนวาจาไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าพูดสิ่งใดถึงจะดี
ยามนั้นเขารู้มาว่าหลังจากเจียหลานทะลวงคอขวดสำเร็จก็เก็บตัวฝึกฝนมาหลายปี จึงไม่ได้ไปเยี่ยมเยือนบอกนางด้วยตนเอง
“หากศิษย์พี่หลงไม่บอกว่าทางเข้าทางปีศาจร้ายนี้อยู่ที่ใด ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรข้าจะได้พบหน้าพี่หลิ่วอีกครั้ง” เจียหลานเอ่ยด้วยน้ำเสียงหม่นหมอง ในแววตามีความขุ่นเคืองแฝงอยู่
หลิ่วหมิงเลื่อนสายตาไปมองหลงเหยียนเฟยที่อยู่ไม่ไกล ในใจอดหัวเราะฝืดเฝื่อนไม่ได้
แม้การเที่ยวชมขุนเขาสายน้ำกับเจียหลานบนเทือกเขาหมื่นวิญญาณเมื่อครั้งนั้นจะทำให้ในใจเขาเกิดความรู้สึกอันบอกไม่ถูกขึ้นมา แต่ยามนี้ตนจำเป็นต้องรีบเข้าสู่ระดับแก่นแท้ มิเช่นนั้นเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะถูกผู้อื่นยึดร่าง พบจุดจบจิตวิญญาณแตกดับ
สถานการณ์ที่ไร้ทางเลือกเช่นนี้ ทำให้เขาไม่อาจวางใจลุ่มหลงในความรักระหว่างชายหญิงเหล่านี้ได้
ดวงเนตรงามใสกระจ่างทั้งสองของเจียหลานแสดงอารมณ์อันหลากหลาย ริมฝีปากงามเผยอเหมือนจะพูดแล้วก็หยุด สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ตรงกันข้ามนางกลับหมุนตัวถอยไปอยู่ข้างหลงเหยียนเฟยแล้วเอ่ยกับนางว่า
“ศิษย์พี่หลง พวกเราไปกันเถิด”
ตลอดเวลาหลงเหยียนเฟยไม่พูดกับหลิ่วหมิงสักคำ นางขานรับเบาๆ แล้วพาเจียนหลานหมุนตัวเหาะลอยจากไป
หลิ่วหมิงมองเงาแผ่นหลังของสตรีทั้งสองจากไปแล้วยืนนิ่งอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง หลังจากถอนหายใจแผ่วเบา เขาจึงก้าวยาวเดินหน้าไปตามทางบนเขาต่อ
เมื่อเขาผ่านบันไดหินชันที่แคบพอให้คนเพียงผู้เดียวเดินผ่าน ป้ายคำสั่งสีเลือดในมือฉับพลันก็สั่นไม่หยุด
เขารีบหยุดทันทีแล้วสำรวจสภาพรอบด้านอย่างละเอียดพักหนึ่ง ทันใดนั้นร่างกายก็ขยับวูบพุ่งทะลุเข้าไปในหน้าผาหินสีดำเรียบใกล้ๆ
ไม่ผิดจากที่คิด ด้านหลังผาหินคือทางเดินยาวเส้นหนึ่ง
หลังจากเขาสำรวจสภาพของทางเดินคร่าวๆ ก็ยกเท้าเดินเข้าไป
ทางเดินเส้นนี้ยาวราวหนึ่งร้อยกว่าจั้ง นอกจากหินจันทราขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือน้อยนิดไม่กี่ก้อนเหนือศีรษะที่ทอแสงเรืองๆ ออกมาดุจดวงดาวบนท้องฟ้ายามราตรี ในทางเดินก็แทบจะมืดสนิทไปหมด
เมื่อหลิ่วหมิงเดินไปถึงสุดปลายทางเดินก็พบว่าเบื้องหน้ามีประตูหินเขียวขนาดใหญ่บานหนึ่งขวางอยู่
ประตูใหญ่บานนี้สูงราวสิบกว่าจั้ง ดูเหมือนก่อมาจากหินเขียวธรรมดา แต่บนบานประตูมีลวดลายจิตวิญญาณสีน้ำเงินอ่อนพาดตัดสลับไปมาเต็มไปหมด เห็นชัดว่าพึ่งกำลังเพียงอย่างเดียวคงผ่านไปไม่ได้
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้กลับไม่แสดงสีหน้าประหลาดใจแม้แต่น้อย เขาเดินไม่กี่ก้าวก็ไปหยุดอยู่หน้าประตูใหญ่สองสามจั้งแล้วปลดป้ายประจำตัวของศิษย์ในนิกายออกมาจากเอว จากนั้นแกว่งเบาๆ หน้าประตูหิน
“พรึ่บ”
แสงสีน้ำเงินสายหนึ่งพุ่งเร็วรี่ออกจากป้ายคำสั่ง มันกะพริบวูบเดียวก็จมลงไปในประตูศิลา แต้มคุณูปการบนป้ายประจำตัวของนิกายลดฮวบไปหนึ่งล้านแต้ม
เวลาเดียวกันนั้นลวดลายจิตวิญญาณจางๆ บนประตูศิลาก็ราวกับลุกติดไฟในพริบตา มันแผ่แสงสีน้ำเงินเจิดจ้าออกมาผืนหนึ่ง ลวดลายจิตวิญญาณสายแล้วสายเล่าทอแสงพาดตัดกันวาดเป็นภาพหัวผีที่ดูราวกับมีชีวิตภาพหนึ่งอย่างรวดเร็ว พร้อมกันนั้นปราณหยินอึมครึมน่าขนลุกสายหนึ่งก็แผ่ออกมาจากด้านใน ทำให้อุณหภูมิทั้งห้องลดลงอย่างฉับพลัน
ในสภาพแวดล้อมที่แทบจะมืดสนิท จู่ๆ หัวผีดุร้ายใบหน้าสีเขียวมีเขี้ยวโง้งเช่นนี้โผล่ออกมา ต่อให้หลิ่วหมิงเป็นคนขวัญกล้ามากวิชาก็ยังถูกภาพตรงหน้านี้ทำให้ตกใจสะดุ้งโหยง
ปรากฏว่าเขายังไม่ทันได้มองให้ละเอียด ประตูหินก็ส่งเสียงครืนทุ้มต่ำแล้วเปิดออกช้าๆ เสียงแก่ชราแหบพร่าอยู่บ้างดังออกมาจากด้านใน
“หลิ่วหมิงแห่งยอดเขาลั่วโยว เข้ามาเถิด”
หลิ่วหมิงได้ยินก็สงบจิตใจ ก้าวเท้าเข้าไปทันที
เมื่อประตูหินสีเขียวด้านหลังปิดอีกครั้ง เบื้องหน้าของเขาก็เป็นถ้ำหินมืดสลัวแห่งหนึ่ง ปราณหยินในห้องเสียดแทงกระดูกทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกอึดอัดเหมือนจมน้ำ
ด้านบนถ้ำหินมีโพรงขนาดเท่ากำปั้นอยู่โพรงหนึ่ง ลำแสงเส้นหนึ่งทอดลงมาจากในนั้นทำให้หลิ่วหมิงมองเห็นสภาพภายในถ้ำที่เลือนรางชัดขึ้น แต่นอกจากหินยักษ์ที่วางไว้สะเปะสะปะหลายก้อนก็เหมือนจะไม่มีสิ่งใดอีก
บนศิลายักษ์แบนราบก้อนหนึ่งในนั้น ผู้เฒ่าผู้มองเห็นใบหน้าไม่ชัดและมีปราณหยินวนเวียนอยู่ทั่วร่างคนหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่
บนกำแพงหินสี่ห้าจั้งหลังร่างเขา มีโพรงสีดำราวกับวังน้ำวนอยู่โพรงหนึ่ง ปราณหยินสีเทากับไอวิญญาณสายแล้วสายเล่าผุดออกมาจากด้านในของมันต่อเนื่องไม่ขาดสาย ส่วนใหญ่กลายร่างเป็นอสรพิษน้อยตัวแล้วตัวเล่าล้อมผู้เฒ่าไว้ด้านใน
ผู้เฒ่าคล้ายไม่สนใจปราณหยินและไอวิญญาณนี่แม้แต่น้อย ใบหน้าของเขานิ่งสงบ นิ้วทำท่าเคล็ดวิชาอย่างเชื่องช้าชักนำปราณหยินสายแล้วสายเล่าเข้ามาในร่างของตนเอง
หลิ่วหมิงตัดสินจากลมปราณเลือนรางที่แผ่ออกมาจากตัวเขาได้ว่าคนผู้นี้เป็นผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์คนหนึ่ง!
เมื่อเขาก้าวเข้าไปอีกสองสามก้าวก็สัมผัสได้ถึงลมปราณเย็นยะเยือกสายหนึ่งที่พัดออกมาจากด้านในโพรงโถมเข้าใส่ใบหน้า แม้เป็นผู้ที่ฝึกฝนวิชาธาตุหยินเช่นนี้อย่างเขาก็ยังรู้สึกทานทนไม่ไหวยิ่งนัก
“เจ้าก็คือหลิ่วหมิงจากยอดเขาลั่วโยวสินะ?” เสียงทุ้มดังมาจากห้องอีกด้านหนึ่ง
หลิ่วหมิงตกตะลึงเมื่อเขาเพิ่งจะพบว่ากลางความมืดของห้องศิลาอีกฝั่งมีบุรุษวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่กำยำหน้าตาธรรมดาอีกคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ด้วย ลมปราณของคนผู้นี้ก็น่าตะลึงเช่นเดียวกัน เขาบรรลุถึงระดับแก่นแท้ขั้นปลายแล้ว
“ศิษย์หลิ่วหมิง คารวะผู้อาวุโสทั้งสอง” หลิ่วหมิงเอ่ยพลางก้าวเท้าไปข้างหน้า ส่งป้ายคำสั่งสีเลือดในมือให้อีกฝ่าย
“อืม ตราคำสั่งผีร้ายของนิกายเราไม่ผิด ในเมื่อจ่ายแต้มคุณูปการแล้ว เช่นนั้นเจ้าก็เข้าไปเถิด” บุรุษวัยกลางคนยกตราของอินจิ่วหลิงมากวาดสายตาดูตรงหน้ารอบหนึ่ง จากนั้นจึงโยนกลับไปให้หลิ่วหมิง แล้วยื่นมือข้างหนึ่งชี้ไปยังโพรงสีดำหลังร่างผู้เฒ่าพร้อมกับเอ่ยออกมาเช่นนี้
“ขอบคุณผู้อาวุโสยิ่งนัก” หลังจากหลิ่วหมิงผงกศีรษะคำนับเขาครั้งหนึ่ง มือข้างหนึ่งก็ตั้งท่าเคล็ดวิชา ปราณดำหลายสายผุดออกมารอบร่าง ปกป้องร่างของเขาไว้ด้านในแล้วก้าวเท้าเดินไปยังโพรงสีดำ
ผลปรากฏว่าเขาเพิ่งเหยียบเท้าเข้ามาในโพรงสีดำไม่ถึงสองหรือสามจั้ง สายลมสีดำหอบหนึ่งก็พัดขึ้นมาจากพื้น
หลิ่วหมิงรู้สึกว่าทั้งร่างถูกบีบแน่น เบื้องหน้ากลับกลายเป็นมืดสนิทไร้แสงสว่าง ปราณหยินสีดำสายแล้วสายเล่าล้อมเขาไว้จนน้ำไม่อาจลอดผ่าน ไม่อาจมองเห็นสถานการณ์ด้านนอกได้ชัดเจนแม้แต่นิด
ทันใดนั้นป้ายคำสั่งสีเลือดที่เขากำไว้ในมือก็แตกสลายกลายเป็นหมอกควันสีเลือดสายหนึ่งมุดเข้าไปในหัวไหล่ จากนั้นกลายเป็นตราสัญลักษณ์อักขระสีเลือดประหลาดตัวหนึ่ง
อีกด้านหนึ่งในมือบุรุษวัยกลางคนผู้นั้นมีพัดขนนกสีเทาเล่มหนึ่งโผล่ขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ มันขยับพัดไม่หยุด ก่อเกิดสายลมเย็นหอบแล้วหอบเล่า
จากนั้นผู้เฒ่าที่นั่งหลังตรงนิ่งอยู่ผู้นั้นก็พลันยกแขนเสื้อ แสงสีทองสายหนึ่งพุ่งออกมาล้อมพายุหมุนสีดำของหลิ่วหมิงไว้ทั้งลูก มันส่งเสียงคำรามทุ้มต่ำครั้งหนึ่งแล้วหมุนติ้วพุ่งเข้าไปในโพรงสีดำแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“อาจารย์ ทางปีศาจร้ายเส้นนี้เหมือนจะไม่มั่นคงยิ่งกว่าก่อนหน้านี้” บุรุษวัยกลางคนเก็บพัดขนนกสีเทาในมือไปแล้วขมวดคิ้วเอ่ยขึ้นมา
“เป็นเช่นนั้นจริง ไม่รู้ว่าด้านในทางปีศาจร้ายเกิดเรื่องไม่คาดฝันอันใดขึ้น” ผู้เฒ่าเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ถ้าเช่นนั้นพวกเราต้องแจ้งข่าวนี้แก่นิกายหรือไม่?” บุรุษวัยกลางคนเอ่ยถามต่ออีก
“หากในทางปีศาจร้ายเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นจริงก็เป็นเรื่องที่กองทัพแสงทองต้องรับผิดชอบรายงาน ข้ากับเจ้าจับตาดูก่อนอีกสักพักดีกว่า” หลังจากผู้เฒ่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยกับบุรุษวัยกลางคนเช่นนี้
บุรุษวัยกลางคนจึงพยักหน้าแล้วไม่พูดอีก ถ้ำศิลาอันมืดสลัวกลับมาเงียบงันอีกครั้ง
……
หลิ่วหมิงรู้สึกว่าเบื้องหน้าพร่ามัว ฟ้าดินพลิกหมุน แล้วพบว่าร่างกายกำลังดิ่งลงไปด้านล่าง หลังจากนั้นจึงค่อยๆ มองเห็นภาพทิวทัศน์รอบด้านชัดเจน
ร่างของเขาอยู่บนท้องฟ้าสูงหลายร้อยจั้ง รอบด้านล้วนเป็นผืนดินเสื่อมโทรมสีเทาเข้มกับท้องนภามืดหม่น ต้นไม้หงิกงอเหี่ยวเฉาและบึงโคลนข้นคลั่กที่ส่งกลิ่นแสบจมูก นอกจากเทือกเขาไร้ขอบเขตที่มองเห็นอยู่ไกลๆ ที่คล้ายคลึงกับเทือกเขาหมื่นวิญญาณก่อนหน้านี้อยู่บ้างแล้ว โลกใบนี้ก็เป็นโลกสีเทาที่มีแต่กลิ่นอายของความตายอบอวล
ในเวลาเดียวกันนั้นเขาก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าปราณหยินสายแล้วสายเล่ากำลังโถมเข้ามาหาตนอย่างเชื่องช้าจากสี่ด้านแปดทิศ พวกมันวนล้อมรอบตัวเขาไม่หยุดแต่พวกมันแตกต่างจากปราณหยินธรรมดา เหมือนเขาจะดูดซับไม่ได้สักนิด
หลิ่วหมิงยกมือตั้งท่าเคล็ดวิชา ร่างกายที่ร่วงตกลงไปเบื้องล่างช้าลงทันที หลังจากเขาก็ลอยล่องร่อนลงบนพื้นดินแผ่วเบาประหนึ่งใบไม้
“นายท่าน ที่แห่งนี้คือทางปีศาจร้ายหรือ?” เสียงใสกังวานของเซียเอ๋อร์ดังออกมาจากในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณ
“ปราณหยินเหล่านี้ทำให้ข้าไม่สบายตัวนัก แต่แยกไม่ออกว่าตรงไหนกันแน่ที่แตกต่าง” เฟยเอ๋อร์เอ่ยเช่นนี้เหมือนกัน
“น่าจะเป็นทางปีศาจร้ายไม่ผิดแล้ว” หลิ่วหมิงตอบกลับอย่างนิ่งสงบ แล้วกวาดสายตามองบนท้องฟ้าอีกครั้ง
สูงขึ้นไปพันกว่าจั้ง ค่ายกลแสงสีขาวจางๆ ค่ายกลหนึ่งกำลังค่อยๆ สลายตัว เห็นชัดว่านี่ก็คือค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ส่งเขามาที่นี่
ขณะที่หลิ่วหมิงชะเง้อมองรอบด้านค้นหาสาเหตุอยู่นั่นเอง บนท้องฟ้าไม่ไกลออกไป แสงสีน้ำเงินสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้น มันแหวกท้องฟ้ามาพักหนึ่งก็กะพริบวูบวาบแล้วหยุดอยู่บนท้องฟ้าเหนือร่างเขา
“เจ้าคือศิษย์ที่มาใหม่ของนิกายเราหรือ?” แสงสีน้ำเงินดับลง บุรุษรูปร่างค่อนข้างผอมที่สวมชุดของศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์คนหนึ่งเอ่ยถามเสียงดัง
“ข้าน้อยหลิ่วหมิงจากยอดเขาลั่วโยว” หลิ่วหมิงได้ยินก็เลิกคิ้วเรียวตอบกลับ
“นิกายบอกว่าจะมีศิษย์ใหม่มา แต่คิดไม่ถึงว่าจะเร็วเช่นนี้ ที่แห่งนี้คือหุบเขามืด ไม่เหมาะจะรั้งอยู่นาน พวกเราเดินทางไปคุยกันไปเถอะ” บุรุษร่างผอมเอ่ยเร่งอย่างร้อนรนเล็กน้อยแล้วโยนป้ายประจำตัวแผ่นหนึ่งออกมา
หลิ่วหมิงคว้าป้ายมาตรวจดู จากนั้นพิจารณาอีกฝ่ายอย่างละเอียดอีกหลายหน หลังจากแน่ใจแล้วว่าเขาเป็นศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์คนหนึ่งจริงๆ จึงพยักหน้า
ด้วยเหตุนี้ทั้งสองคนจึงลอยขึ้นฟ้าพร้อมกันแล้วออกจากหุบเขามืดสลัวแห่งนี้ไปอย่างรวดเร็ว