ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 1004 หน่วยย่อยที่เจ็ด Home ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ตอนที่ 1004 หน่วยย่อยที่เจ็ด
- Home
- ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ
- ตอนที่ 1004 หน่วยย่อยที่เจ็ด Home ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ ตอนที่ 1004 หน่วยย่อยที่เจ็ด
ทั้งสองคนเหาะเข้าไปในทางเข้ากว้างขวางช่องหนึ่งตรงส่วนฐานของหอสูงแล้วมาถึงห้องโถงใหญ่ที่สว่างไสวแห่งหนึ่ง
ภายในห้องโถงใหญ่ค่อนข้างกว้าง มีเสาศิลาหนาหลายต้นค้ำเพดานอยู่ ใจกลางห้องโถงใหญ่มีแท่นศิลารูปโค้งอยู่แท่นหนึ่ง ผู้ฝึกฝนที่สวมชุดผู้อาวุโสของนิกายยอดบริสุทธิ์สองคนนั่งอยู่ด้านใน เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าพวกเขาก็หันศีรษะมามอง
หลิ่วหมิงตกตะลึง ผู้อาวุโสสองคนนี้คนหนึ่งคือบุรุษวัยกลางคนผู้มีใบหน้าเย็นชา ส่วนอีกคนหนึ่งกลับมีรูปลักษณ์เป็นเด็ก เขาก็คือทารกเฮ่าเยวี่ยผู้อาวุโสแห่งยอดเขาเมฆาเขียวที่ตนเคยมีวาสนาพบหน้าครั้งหนึ่งนั่นเอง
ทารกเฮ่าเยวี่ยเห็นหลิ่วหมิงก็ตกตะลึงเช่นกัน
“ศิษย์เยวี่ยชี คารวะผู้อาวุโสทั้งสอง” ชายหนุ่มแซ่เยวี่ยไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหลิ่วหมิงกับทารกเฮ่าเยวี่ย เขาค้อมกายคำนับ
“หลิ่วหมิงคารวะผู้อาวุโสทั้งสอง!”
หลิ่วหมิงฟื้นสีหน้ากลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็วยิ่งแล้วคำนับทั้งสองคนเช่นกัน
“ที่แท้ก็ศิษย์หลานเยวี่ยนี่เอง ไม่ต้องมากพิธี” บุรุษวัยกลางคนเอ่ยขึ้นเรียบๆ
“ศิษย์หลานหลิ่ว คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะมาที่ทางปีศาจร้ายแห่งนี้ มาฝึกฝนที่นี่หรือ?” ทารกเฮ่าเยวี่ยกลับลุกขึ้นแล้วหัวเราะคิกคัก
เยวี่ยชีกับบุรุษผู้มีใบหน้าเย็นชาเห็นเช่นนี้ บนใบหน้าก็ปรากฏสีหน้าประหลาดใจออกมาเล็กน้อย
“ถูกต้องแล้ว ยามนี้พลังของศิษย์เข้าสู่ช่วงคอขวดแล้วจึงมาที่นี่เพื่อค้นหาโชควาสนา” หลิ่วหมิงประสานมือเอ่ยตอบ
“ข้าจำได้ว่าศิษย์หลานหลิ่วฝึกฝนวิชาสายวิญญาณ สภาพแวดล้อมในทางปีศาจร้ายแห่งนี้เหมาะสมจะฝึกปรือพลังของเจ้าพอดี” ทารกเยวี่ยเฮ่าฟังแล้วก็พยักหน้าเห็นด้วยอย่างยิ่ง
“อ้อ ที่แท้พี่เฮ่าเยวี่ยก็รู้จักศิษย์คนนี้หรือ?” บุรุษใบหน้าเย็นชาเห็นสีหน้าและบทสนทนาของทั้งสองคน ดวงตาก็ทอประกายประหลาดแล้วเอ่ยขึ้นมา
“พี่กู่ ท่านเฝ้าอยู่ที่ทางปีศาจร้ายมานานเกือบร้อยปีดังนั้นจึงรู้เรื่องราวของโลกภายนอกน้อยยิ่งนัก ศิษย์หลานหลิ่วคนนี้เพิ่งเข้านิกายสายในมาเมื่อไม่กี่สิบปีก่อน แต่พลังยอดเยี่ยมยิ่ง ยามนี้ได้ฉายาว่าศิษย์อันดับหนึ่งของนิกายสายใน กระทั่งท่านประมุขก็ชมเขาไม่ขาดปาก” ทารกเฮ่าเยวี่ยยิ้มน้อยๆ เอ่ยบอก
“อ้อ? ที่แท้เจ้าก็คือศิษย์คนนั้นที่ได้อันดับหนึ่งในงานประตูสวรรค์ ข้าก็เคยได้ยินคนเล่าเรื่องของเจ้ามาอยู่บ้าง” บุรุษใบหน้าเย็นชามองสำรวจหลิ่วหมิงหลายหน บนใบหน้าปรากฏสีหน้าประหลาดใจขึ้นมาจางๆ
เยวี่ยชีที่ยืนอยู่ด้านข้างกลับทำหน้าตกตะลึงอย่างยิ่ง
ระหว่างทางที่มา แม้เขาจะรู้สึกว่าหลิ่วหมิงพลังไม่ธรรมดา แต่ก็ไม่เคยคิดว่าจะมีชื่อเสียงในนิกายสายในเช่นนี้
“ผู้อาวุโสชมเกินไปแล้ว ศิษย์ละอายใจไม่กล้ารับ” หลิ่วหมิงค้อมกายคำนับแล้วไม่พูดอะไรมากอีก
“ในเมื่อเจ้าคืออันดับหนึ่งของงานประตูสวรรค์ครั้งนี้ ถ้าเช่นนั้นการทดสอบพลังตามธรรมเนียมย่อมไม่จำเป็นแล้ว ส่วนความแตกต่างระหว่างกองพลทั้งสามของกองทัพแสงทอง คิดว่าระหว่างทางมาเยวี่ยชีคงจะบอกกล่าวชัดเจนแล้วกระมัง แต่ไม่รู้ว่าศิษย์หลานหลิ่วต้องการจะเข้าร่วมกองพลไหน?” ดวงตาของบุรุษใบหน้าเย็นชาทอประกายวูบหนึ่งแล้วเอ่ยถามช้าๆ
“ข้าขอเข้าร่วมกองพลที่หนึ่ง” หลิ่วหมิงเอ่ยพลางหยิบป้ายประจำตัวศิษย์ที่เอวส่งไปให้
เยวี่ยชีที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนี้ก็ส่งสายตาให้หลิ่วหมิง แต่หลิ่วหมิงกลับไม่สนใจ
“ศิษย์หลานหลิ่วคิดดีแล้วรึ? แม้พลังของเจ้าจะไม่อ่อนแอ แต่ทางปีศาจร้ายแห่งนี้ไม่เหมือนโลกภายนอก ข้าแนะนำให้เจ้าเข้าร่วมกองพลที่สองทำความคุ้นเคยสักหน่อยก่อนจะดีกว่า” ทารกเฮ่าเยวี่ยได้ยินก็ขมวดคิ้วเอ่ยเตือน
“ขอบคุณเจตนาดีของผู้อาวุโสเฮ่าเยวี่ย ศิษย์ตัดสินใจแล้ว ขออาจารย์อาทั้งสองช่วยให้สมหวังด้วย” หลิ่วหมิงตอบด้วยน้ำเสียงแน่วแน่
แม้เยวี่ยชีบอกตั้งแต่ระหว่างทางมาแล้วว่าดีที่สุดศิษย์ที่มาใหม่ควรเริ่มจากเข้าร่วมกองพลที่สามหรือกองพลที่สองก่อนเพื่อทำความคุ้นเคยและปรับตัวกับสภาพของที่นี่แล้วค่อยพิจารณาเข้าร่วมกองพลที่หนึ่ง
แต่ยามนี้เวลาล้ำค่ากับเขาเพียงไร เขาย่อมไม่ยินดีเสียเวลาเปล่าๆ ไปหกปี อีกทั้งเขาเชื่อมั่นในพลังของตนอย่างยิ่งจึงเอ่ยขอเช่นนี้
บุรุษวัยกลางคนผู้มีใบหน้าเย็นชามองหลิ่วหมิงอยู่นาน จากนั้นจึงขยับริมฝีปากขมุบขมิบส่งกระแสจิตสนทนากับเฮ่าเยวี่ย หลังจากนั้นจึงรับตราที่หลิ่วหมิงส่งมาไป เขาหยิบสมุดหยกเล่มหนึ่งขึ้นมากวาดสายตามองบนนั้นแล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ
“ในเมื่อศิษย์หลานหลิ่วค่อนข้างมั่นใจในพลังของตนเอง ก็ให้เป็นดังที่เจ้าต้องการเถิด ตอนนี้หน่วยย่อยที่เจ็ดของกองพลขาดรองหัวหน้าหน่วยอยู่คนหนึ่ง ไม่สู้ให้ศิษย์หลานหลิ่วรับหน้าที่”
คำนี้เอ่ยออกมา เยวี่ยชีกับทารกเฮ่าเยวี่ยที่อยู่ตรงนั้นล้วนสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยทันที
“ไม่ทราบผู้อาวุโสจะบอกศิษย์เกี่ยวกับหน่วยย่อยที่เจ็ดสักหน่อยได้หรือไม่?” หลิ่วหมิงเห็นสีหน้าของทารกเฮ่าเยวี่ยกับเยวี่ยชี ในใจก็เกิดคำถามขึ้นมาทันที
“ต่อให้ศิษย์หลานหลิ่วไม่ถาม ประเดี๋ยวข้าก็จะบอกเจ้าอยู่ดี กองทัพแสงทองของพวกเรามีศิษย์ระดับผลึกขึ้นไปประจำอยู่ในฐานทัพที่เมืองราวสามร้อยกว่าคน ครึ่งหนึ่งในนั้นล้วนอยู่ในกองพลที่หนึ่ง หน่วยย่อยที่เจ็ดเป็นหน่วยย่อยที่เก่งกาจที่สุดของกองพลที่หนึ่ง ภารกิจที่ทำล้วนเป็นภารกิจซึ่งอันตรายอย่างที่สุด อัตราการเสียชีวิตสูงยิ่งนัก” ทันใดนั้นทารกเฮ่าเยวี่ยก็เอ่ยปากอธิบาย
“ศิษย์ของแต่ละหน่วยที่ทำภารกิจในทางปีศาจร้าย นิกายล้วนจะมอบรางวัลให้จำนวนหนึ่ง บ้างเป็นแต้มคุณูปการ บ้างเป็นวัตถุดิบจิตวิญญาณล้ำค่านานาชนิดที่มีเฉพาะในที่แห่งนี้ ยิ่งภารกิจที่ทำอันตราย รางวัลที่ได้รับก็ยิ่งมาก ศิษย์หลานหลิ่วมีพลังแข็งแกร่ง มายังที่แห่งนี้ก็เพื่อฝึกปรือพลังค้นหาโอกาสในการข้ามระดับ หน่วยย่อยที่เจ็ดย่อมเหมาะสมที่สุดแล้ว” บุรุษวัยกลางคนผู้มีใบหน้าเย็นชาเหล่มองทารกเฮ่าเยวี่ยครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นมาทั้งที่ใบหน้าเรียบเฉย
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นศิษย์ขอเชื่อฟังที่ผู้อาวุโสจัดการก็แล้วกัน” หลิ่วหมิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบตกลง
“ดีมาก ถ้าได้ฉายาว่าศิษย์อันดับหนึ่งแห่งนิกายสายในของนิกายเราแต่ไม่มีความเชื่อมั่นในตนเองแม้เพียงเท่านี้ คงทำให้ข้าผิดหวังยิ่งนัก”
บุรุษวัยกลางคนผู้มีใบหน้าเย็นชาเผยสีหน้าชื่นชมออกมาเป็นครั้งแรก แล้วแกว่งตราของหลิ่วหมิงเหนือสมุดหยกเล่มนั้น
สมุดหยกทอแสงสีน้ำเงินวูบหนึ่งก็กลับคืนมาเป็นปกติอีกครั้ง
บุรุษวัยกลางคนเอาป้ายสีดำขลับชิ้นหนึ่งกับยันต์เก็บของแผ่นหนึ่งออกมามอบให้หลิ่วหมิงพลางอธิบายว่า
“นี่คือตราประจำตัวของเจ้าที่นี่ ด้านในมีลวดลายค่ายกลเฉพาะของนิกายยอดบริสุทธิ์เรา ประเดี๋ยวเจ้าหยดเลือดลงไปผูกพันธะ ภายหน้าการแจ้งภารกิจจะติดต่อผ่านสิ่งนี้ ด้านในยันต์เก็บของคือเครื่องแบบที่เหมือนกันของกองทัพแสงทองกับข้อมูลเกี่ยวกับทางปีศาจร้ายที่นิกายรวบรวมไว้ หลังจากกลับไปเจ้าจงศึกษาให้ละเอียด จะต้องมีประโยชน์ต่อการทำหน้าที่ในวันหน้าของเจ้าแน่”
หลิ่วหมิงตอบรับแล้วรับป้ายและยันต์เก็บของมา หลังจากเก็บไปเรียบร้อยเขาก็ประสานมือเอ่ยถามว่า
“ความจริงผู้เยาว์ยังมีอีกเรื่องหนึ่งต้องการคำชี้แนะจากผู้อาวุโสทั้งสอง หลายปีก่อนศิษย์พี่เสี่ยวอู่จากยอดเขาของข้ามาฝึกปรือในทางปีศาจร้าย หลังจากนั้นกลับไร้ข่าวคราว ศิษย์ได้ยินคนบอกว่านางหายตัวไปในภารกิจครั้งหนึ่ง ไม่ทราบเรื่องราวโดยละเอียดเป็นเช่นไร?” ทารกเฮ่าเยวี่ยกับบุรุษผู้มีใบหน้าเย็นชาได้ยินคำถามก็ชะงักไปเล็กน้อย พวกเขาอดไม่ได้สบตากันครั้งหนึ่ง ชั่วขณะไม่มีผู้ใดเอ่ยปากตอบ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ในใจก็เคร่งเครียดเล็กน้อย
เยวี่ยชีที่อยู่ด้านข้างยืนก้มหน้าก้มตาทำอันใดไม่ได้
ครู่หนึ่งหลังจากนั้นทารกเฮ่าเยวี่ยจึงถอนหายใจเอ่ยชึ้นอย่างช้าๆ
“เรื่องนี้ค่อนข้างซับซ้อน จนวันนี้นิกายก็ยังไม่แน่ใจ เดิมทีไม่ควรบอกพวกเจ้าที่เป็นศิษย์ธรรมดาเหล่านี้ แต่ในเมื่อศิษย์หลานหลิ่วกับศิษย์หลานเสี่ยวอู่เป็นสหายสังกัดเดียวกัน ข้าก็จะบอกเรื่องนี้ให้เจ้าฟัง”
“หลายปีก่อน นิกายได้รับรายงานว่าบนที่ราบภูตสวรรค์ทางตะวันตกเฉียงเหนือเหมือนจะมีผีร้ายปรากฏตัว ดังนั้นพวกเราจึงส่งศิษย์หน่วยย่อยหนึ่งไปสืบข่าว ศิษย์หลานเสี่ยวอู่ก็อยู่ในหน่วยนั้นด้วย ผู้ที่ร่วมทางไปด้วยกันมีผู้ฝึกฝนระดับแก่นเสมือนสามคนกับหัวหน้าระดับแก่นแท้คนหนึ่ง แต่หลังพวกเขาจากไปกลับไม่มีข่าวส่งกลับมาแม้แต่น้อย ต่อมานิกายส่งคนอื่นออกไปค้นหาก็ไม่พบสถานการณ์ผิดปกติประการใด กระทั่งร่องรอยการต่อสู้ก็ไม่มี เรื่องนี้จึงยังเป็นปริศนามาตลอด พวกเสี่ยวอู่ราวกับว่าระเหยไปจากโลกแห่งนี้” ทารกเฮ่าเยวี่ยถอนหายใจ
หลิ่วหมิงฟังถึงตรงนี้ก็ขมวดคิ้ว
ทารกเฮ่าเยวี่ยกล่าวเช่นนี้ พวกเสี่ยวอู่เป็นไปได้แปดเก้าในสิบส่วนว่าอาจจะพบเรื่องไม่คาดฝันเข้า
“ขอบคุณอาจารย์อายิ่งนักที่บอกเรื่องนี้ ผู้เยาว์ซาบซึ้งยิ่ง” หลิ่วหมิงถอนหายใจแผ่วเบาแล้วประสานมือตอบ
“ไม่มีข่าวจึงไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องร้าย ศิษย์หลานหลิ่วไม่ต้องกังวลใจจนเกินไป จนวันนี้นิกายก็ยังสืบหาอยู่ วันหน้าหากพบผลลัพธ์ย่อมแจ้งแก่เจ้าทันที” หลังจากทารกเฮ่าเยวี่ยคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นมาเช่นนี้
หลิ่วหมิงได้แต่ฝืนยิ้มแล้วเอ่ยขอบคุณอีกครั้งหนึ่ง
“เยวี่ยชี เจ้าพาศิษย์หลานหลิ่วไปที่พักของกองพลที่หนึ่ง เรื่องอื่นก็อธิบายให้ละเอียดด้วย” ทารกเฮ่าเยวี่ยสั่งกับเยวี่ยชีที่อยู่ด้านข้างอีกครั้ง
“ขอรับ!” ชายหนุ่มร่างผอมประสานมือคำนับครั้งหนึ่งก็พาหลิ่วหมิงถอยออกไปอย่างรวดเร็วยิ่งนัก
ทารกเฮ่าเยวี่ยมองเงาของหลิ่วหมิงจากไปไกล อารมณ์ในใจซับซ้อนอย่างห้ามไม่ได้ แม้หลิ่วหมิงจะเข้ามาในนิกายยอดบริสุทธิ์หลายสิบปีแล้ว แต่จนวันนี้เขาก็ยังลอบเสียดายยิ่งนัก
หากยามนั้นดึงดันสักหน่อยรับหลิ่วหมิงมาไว้ในยอดเขาเมฆาเขียว เกียรติยศที่สั่งสอนศิษย์อันดับหนึ่งของนิกายสายในออกมาได้ก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะตกใส่ศีรษะของเขา ไหนเลยจะตกถึงยอดเขาลั่วโยว
แต่เรื่องดำเนินมาจนถึงตอนนี้ ยามนี้พูดอะไรก็ล้วนสายเสียแล้ว
“เฮ้อ…” ทารกเฮ่าเยวี่ยลอบถอนหายใจเงียบๆ อยู่ในใจ
“พี่เฮ่าเยวี่ยดูเหมือนจะเอาใจใส่เจ้าหนูคนนี้ทีเดียว!” บุรุษวัยกลางคนผู้มีใบหน้าเย็นชาที่เมื่อครู่ไม่เอ่ยปากเลย เวลานี้ฉับพลันก็แย้มยิ้มถามขึ้นมา
“ฮ่าๆ เจ้าหนูคนนี้เกี่ยวข้องกับลิ่วอินที่หายตัวไปที่นี่เมื่อตอนนั้นอยู่บ้าง นับว่าเป็นทายาทศัตรูของยอดเขาเราย่อมต้องใส่ใจสักเล็กน้อย” ทารกเฮ่าเยวี่ยตอบอย่างไว้ท่าที
“ทายาทของลิ่วยินไม่ใช่สาวน้อยที่ชื่อหลงเหยียนเฟยหรือ มีหลิ่วหมิงเพิ่มขึ้นมาได้อย่างไร? ข้าไม่ได้กลับนิกายเกือบร้อยปี เรื่องนี้ต้องเล่าให้ข้าฟังสักหน่อยแล้ว” บุรุษวัยกลางคนผู้มีใบหน้าเย็นชาเปลี่ยนสีหน้าไปเล็กน้อย
“เรื่องนี้เล่าแล้วยาว…”
……
หลังออกจากหอสูง เยวี่ยชีก็พาหลิ่วหมิงเหาะไปยังเขตหนึ่งทางฝั่งซ้ายด้านหน้าของเมือง แล้วเอ่ยกระตือรือร้นอย่างยิ่งว่า
“ศิษย์น้องหลิ่ว ข้าคิดไม่ถึงจริงๆว่าเจ้าจะเป็นถึงศิษย์อันดับหนึ่งคนปัจจุบันของนิกายสายใน หลังจากนี้ข้าฝากตัวด้วยนะ”
“ศิษย์พี่เยวี่ยพูดอะไรกันเล่า ฉายาเหล่านี้ล้วนเป็นถ้อยคำยกยอที่คนนอกเหล่านั้นกล่าวกันมั่วซั่ว ถือเป็นจริงไม่ได้ ศิษย์ที่ร้ายกาจอย่างแท้จริงในนิกายสายในน้อยนักจะมีคนอยู่ที่นิกายจริงๆ ส่วนใหญ่ล้วนออกเดินทางฝึกฝนฝีมือค้นหาโอกาสเข้าสู่ระดับแก่นแท้ ไม่ต้องพูดถึงอื่นไกลแค่ศิษย์ในเมืองแสงทองแห่งนี้ก็คงมีผู้ที่พลังเหนือกว่าข้ามากมายนัก” หลิ่วหมิงส่ายหน้าตอบ
ระหว่างที่สนทนากัน ทั้งสองคนก็ร่อนลงตรงทางแยกแห่งหนึ่งในเมือง สองฝั่งถนนเป็นถ้ำที่พักซึ่งสร้างเหมือนเรือนอาศัย หน้าประตูมีหมายเลขแขวนเอาไว้
“ที่พักในเมืองแบ่งตามกองพล แต่ละกองพลแยกออกจากกัน เขตนี้ล้วนเป็นที่พักของคนในกองพลที่หนึ่ง สถานที่พักของพี่หลิ่วก็คือที่นี่” เยวี่ยชีเอ่ยบอกหลิ่วหมิงพลางมองไปรอบด้าน จากนั้นชี้ที่พักหลังหนึ่งซึ่งหน้าประตูเขียนไว้ว่า “ถนนที่หนึ่งหลังที่เจ็ด”
หลิ่วหมิงมองสำรวจสภาพแวดล้อมรอบของที่พักครู่หนึ่ง ดูแล้วนับว่าสงบเงียบจึงพยักหน้าเล็กน้อย
“พี่หลิ่ว ข้ายังมีธุระบางอย่างต้องจัดการ หลังจากนี้หากมีเวลาว่างก็มาหาข้าที่บ้านพักถนนที่หนึ่งหลังที่เก้าได้” เยวี่ยชีเห็นว่าจัดการเรื่องราวที่จำเป็นได้พอสมควรแล้วจึงเอ่ยปากขอตัว
“ได้ ขอบคุณพี่เยวี่ยที่เดินทางมาด้วยกันตลอดทาง วันหน้าพบกัน” หลิ่วหมิงประสานมือเอ่ยขอบคุณ
ทั้งสองคนต่างเอ่ยถ้อยคำตามมารยาทกันอีกประโยคสองประโยค หลังจากนั้นจึงแยกย้ายกันไปเช่นนี้