ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 1007 บาตรแห่งการสร้าง
หลิ่วหมิงอยู่ที่เขตการค้าจนกระทั่งฟ้ามืดสนิทดวงจันทร์ลอยขึ้นกลางท้องฟ้าจึงกลับไปยังที่พัก
หลายวันหลังจากนั้น นอกจากทำสมาธิประจำวัน เวลาที่เหลือเขาล้วนเดินเที่ยวที่ต่างๆ ในเมืองอยู่ตลอด ไปหาผู้ดูแลของร้านรวงสนทนาปราศรัยค่อยๆ ทำความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับเมืองแสงทองและเขตใกล้เคียง
ในเวลาเดียวกันหลังจากการหยั่งเชิงครั้งก่อน เขากับสมาชิกสี่คนของหน่วยย่อยที่เจ็ดก็ค่อยๆ รู้จักคุ้นเคยกัน อย่างไรในสถานที่อันตรายโหดร้ายเช่นนี้ คนที่พลังแข็งแกร่งย่อมได้รับความเคารพมากกว่า
วันนี้เขากำลังสนทนาบางอย่างกับผู้ดูแลร้านขายของจิปาถะแห่งหนึ่ง ทันใดนั้นป้ายที่เอวก็ส่งเสียงวิ้ง แล้วทอแสงสีดำสายแล้วสายเล่าออกมา กลางแสงสีดำปรากฏตัวอักษรขนาดเล็กหลายบรรทัด
หลิ่วหมิงกวาดสายตามองตัวอักษร จากนั้นสีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย หลังจากกล่าวลากับอีกฝ่ายแล้ว เขาก็หมุนตัวออกจากร้านทันที เท้ากระทืบครั้งหนึ่งร่างกายก็ลอยขึ้นจากพื้นมุ่งไปยังที่พักอย่างรวดเร็ว
เมื่อครู่ได้รับคำสั่งจากเบื้องบนมอบหมายภารกิจหนึ่งให้หน่วยย่อยที่เจ็ด
หลังจากเวลาครึ่งก้านธูป หลิ่วหมิงก็รีบเร่งเดินทางมาถึงหน้าประตูที่พัก สมาชิกสี่คนที่เหลือของหน่วยย่อยที่เจ็ดยืนอยู่ที่ประตูแล้ว
“รองหัวหน้าหลิ่ว ท่านมาแล้ว” ผู้เฒ่าหลังค่อมกับคุณชายเยาว์วัยยิ้มเล็กน้อยแล้วคำนับให้หลิ่วหมิง
แม้หญิงสาวชุดแดงกับบุรุษผู้สะพายศรสีแดงจะท่าทางกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง แต่ก็เข้ามาทักทาย
หลิ่วหมิงย่อมไม่ถือสา เขาพยักหน้าให้แล้วกำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นด้านหลังร่างก็มีหวีดหวิวดังขึ้น
เมื่อพวกเขาหันกลับไปมองก็เห็นลำแสงสีเทาสายหนึ่งพุ่งมาถึง จากนั้นร่อนลงเบื้องหน้าพวกเขาไม่ไกล
ครั้นแสงสีเทาสลายไปเงาบุรุษผอมสูงผู้หนึ่งก็ปรากฏขึ้น คนผู้นี้ดูอายุราวสามสิบปี ใบหน้าซีดเหลือง แต่ดวงตาทั้งสองข้างของเขาดุดันประหนึ่งสายฟ้า เปล่งประกายเปี่ยมพลัง
“ทุกคนมาพร้อมแล้ว ดียิ่ง” บุรุษร่างผอมสูงกวาดสายตาบนร่างพวกเขา สุดท้ายสายตาก็จับอยู่บนร่างหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย คนผู้นี้เป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ขั้นต้นคนหนึ่ง และแสงสีเทาสายนั้นเมื่อครู่ก็คือวิชาขี่กระบี่ซึ่งเขาคุ้นเคยเป็นที่สุด
สายตาของทั้งสองประสานกัน บนใบหน้าของบุรุษผอมสูงพลันเผยสีหน้าประหลาดใจออกมาเล็กน้อย ดวงตาทอประกายวูบหนึ่ง จิตกระบี่อันแหลมคมสายหนึ่งก็พุ่งออกมาทันที
สองตาของหลิ่วหมิงเจ็บแปลบเล็กน้อยในทันใด อสนีบาตสีม่วงสายหนึ่งผุดออกมาจากร่าง จิตกระบี่น่าขนลุกสายหนึ่งทะลวงออกมาจากร่างเช่นเดียวกัน
จิตกระบี่สองสายปะทะกันดังกึกก้องกลางอากาศ เบื้องหน้าทั้งสองคนเกิดสายลมแรงที่มองไม่เห็นสายหนึ่งโหมพัด หลังจากนั้นก็สลายหายไปทั้งคู่อย่างรวดเร็ว
“ดี! ดูท่าคนผู้นี้คงเป็นรองหัวหน้าคนใหม่ของหน่วยเรา ศิษย์น้องหลิ่วหมิงสินะ? ได้ยินชื่อเสียงอันโด่งดังของศิษย์น้องมานานแล้ว วันนี้ได้พบหน้าไม่ธรรมดาจริงๆ!” บุรุษร่างผอมสูงเก็บประกายเจิดจ้าในดวงตาไปแล้วหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยขึ้นมา
“ศิษย์พี่ชมเกินไปแล้ว ข้าน้อยหลิ่วหมิง คารวะหัวหน้าหมิ่น!” แสงสีม่วงบนร่างหลิ่วหมิงสลายหายไป จากนั้นเขาจึงประสานมือเอ่ยขึ้นมา
หลายวันนี้เขาได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับหัวหน้าหน่วยย่อยที่เจ็ดผู้นี้จากพวกผู้เฒ่าหลังค่อมมาอยู่บ้าง แต่ยังไม่ได้พบหน้ากันเสียที
หัวหน้าระดับแก่นแท้ล้วนมีที่พักส่วนตัว ไม่อยู่รวมกันกับพวกเขา
พวกผู้เฒ่าหลังค่อมสี่คนเห็นสถานการณ์เมื่อครู่อยู่กับตา ในดวงตาจึงเผยแววตาตกตะลึงออกมาเล็กน้อย หลิ่วหมิงดูเหมือนจะประจันหน้ากับบุรุษผอมสูงระดับแก่นแท้ได้อย่างสูสี ในใจทั้งสี่คนจึงให้ค่าหลิ่วหมิงสูงขึ้นอีก
“คารวะหัวหน้าหมิ่น” ทั้งสี่คนประสานมือคำนับครั้งหนึ่ง
“ทุกคนไม่ต้องมากพิธี ข้ากับพวกเจ้าเป็นศิษย์ร่วมนิกายเดียวกัน เพียงทำงานร่วมกันที่นี่เท่านั้น พิธีรีตองมากเกินกลับไม่ได้รู้สึกดีอะไร” บุรุษแซ่หมิ่นส่ายหน้าเอ่ยขึ้นมา
สายตาหลิ่วหมิงทอประกายวูบหนึ่ง นิสัยของบุรุษแซ่หมิ่นผู้นี้คล้ายกับฉิวหลงจื่ออยู่บ้าง ทั้งคู่ล้วนเป็นคนตรงไปตรงมา
“ในเมื่อทุกท่านมาแล้ว ข้าก็จะไม่พูดพร่ำ เมื่อครู่ทุกคนคงจะเห็นข้อความที่เบื้องบนแจ้งมาแล้ว ครั้งนี้นิกายมอบหมายภารกิจที่ตึงมืองานหนึ่งให้หน่วยย่อยของพวกเรา” บุรุษแซ่หมิ่นเอ่ยตามตรง
หลิ่วหมิงกลับไม่เปลี่ยนสีหน้าไปเท่าใดนัก แต่พวกผู้เฒ่าหลังค่อมสี่คนได้ยินเช่นนี้สีหน้าล้วนเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เมื่อครู่พวกเขาล้วนอ่านข้อมูลภารกิจกันหมดแล้ว เบื้องบนแจ้งว่าป้อมปราการแห่งหนึ่งที่แนวหน้าของเมืองแสงทองถูกกองทัพผีร้ายทำลาย งานของภารกิจครั้งนี้ก็คือไปค้นหาผู้รอดชีวิตกับของสำคัญชิ้นหนึ่งที่นั่น
พวกเขาสี่คนล้วนอยู่ในทางปีศาจร้ายมาหลายปีย่อมเข้าใจความอันตรายของภารกิจครั้งนี้
ป้อมปราการนอกเมืองแสงทองอยู่ลึกเข้าไปในทางปีศาจร้าย ป้อมปราการแนวหน้าสร้างขึ้นมาเพื่อส่งสัญญาณเตือนและเฝ้าระวังการบุกครั้งใหญ่ของกองทัพผีร้าย
แกนกลางของป้อมปราการแนวหน้าคือสมบัติประหลาดชิ้นหนึ่งที่ชื่อว่า ‘บาตรแห่งการสร้าง’ บาตรใบนี้จะเปลี่ยนปราณหยินในอาณาบริเวณเล็กๆ ของโลกแห่งนี้ให้กลายเป็นปราณจิตตวิญญาณที่จำเป็นสำหรับผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ มันจึงเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ขาดไม่ได้หากจะอยู่ในทางปีศาจร้ายเป็นเวลานาน หลายวันนี้หลิ่วหมิงรู้มาว่าแสงทรงกลมสีทองบนยอดหอสูงแห่งนั้นกลางเมืองหลักของเมืองแสงทองก็คือบาตรแห่งการสร้างพิเศษขนาดยักษ์ชิ้นหนึ่ง
เนื่องจากของสิ่งนี้หลอมไม่ง่าย ด้วยเหตุนี้กองทัพแสงทองจึงมีไม่มาก เมื่อป้อมปราการถูกตีแตก ชั้นจำกัดที่วางไว้ล่วงหน้าจะถูกกระตุ้น บาตรแห่งการสร้างจะเคลื่อนย้ายกลับมายังเมืองหลักของกองทัพแสงทองด้วยตนเอง แต่ครั้งนี้ไม่ทราบกองทัพผีร้ายใช้วิธีการอันใดก่อกวน แม้ของสิ่งนี้จะถูกเคลื่อนย้ายออกมาตอนที่ป้อมปราการถูกตีแตก แต่มันกลับไม่ได้เคลื่อนย้ายกลับมายังเมืองแสงทอง คาดว่าน่าจะร่วงอยู่สถานที่อื่น
เป้าหมายภารกิจครั้งนี้ของหน่วยย่อยของพวกเขาก็คือตามหาบาตรแห่งการสร้างที่สูญหายไปชิ้นนี้ไม่ว่าต้องแลกด้วยสิ่งใด
ป้อมปราการที่ถูกตีแตกในครั้งนี้คือป้อมปราการหมายเลขสิบเก้าที่อยู่ลึกเข้าไปในทางปีศาจร้ายที่สุด ห่างจากเมืองแสงทองไกลถึงนับแสนลี้ ที่นั่นเป็นเขตที่กองทัพผีร้ายกับผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ปะทะกันบ่อยครั้งที่สุด
“ทุกท่านไม่ต้องกังวล เพราะภารกิจครั้งนี้อันตราย เพื่อเป็นการรับประกัน นอกจากหน่วยย่อยที่เจ็ดของพวกเรา เบื้องบนของนิกายจึงจะส่งหน่วยย่อยที่เก้ากับหน่วยย่อยที่สิบอีกสองหน่วยไปด้วย ให้รับผิดชอบงานนี้ด้วยกัน” บุรุษแซ่หมิ่นเห็นสีหน้าของทุกคนจึงเอ่ยขึ้นมา
พวกผู้เฒ่าหลังค่อมสี่คนได้ยินคำนี้ก็สีหน้าผ่อนคลายลง
หน่วยย่อยสามหน่วยเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งมากกองหนึ่ง ต่อให้โชคร้ายพบกองทัพผีร้ายเข้า ต่อให้สู้ไม่ได้ แต่หากร่วมมือกันก็ยังพอมั่นใจว่าจะถอยหนีอย่างปลอดภัยได้
“หน่วยย่อยที่เก้า…” หลิ่วหมิงฉุกคิดบางอย่างขึ้นมา เยวี่ยชีที่พาเขามาที่นี่เหมือนจะเป็นสมาชิกของหน่วยย่อยนั้น ไม่รู้ว่าจะเข้าร่วมทำภารกิจครั้งนี้หรือไม่
“นี่คือมุกสนองตอบซึ่งสัมผัสการมีอยู่ของบาตรแห่งการสร้างได้ในระยะร้อยลี้” ผู้ฝึกฝนแซ่หมิ่นพูดพลางหยิบมุกกลมขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือสีทองอ่อนห้าลูกออกมาแจกจ่ายให้พวกหลิ่วหมิงห้าคน
หลิ่วหมิงรับมุกมาแล้วมองสำรวจเล็กน้อยก่อนจะเก็บมันไป
“งานไม่สมควรชักช้า พวกเราออกเดินทางกันตอนนี้เลยเถิด ไปรวมตัวกับหน่วยย่อยอีกสองหน่วยที่ประตูเมืองแสงทอง” บุรุษแซ่หมิ่นเอ่ยจบก็หมุนตัวกลายเป็นลำแสง เหาะไปยังประตูเมืองก่อนทันที
ทั้งหกคนมาถึงประตูเมืองอย่างรวดเร็วยิ่งนัก พวกเขาเห็นผู้คนยืนรวมตัวกันอยู่เบื้องหน้ารางๆ ดูจากจำนวนคน คนของหน่วยย่อยอีกสองหน่วยน่าจะมาถึงแล้ว
สายตาของหลิ่วหมิงกวาดผ่านกลุ่มคน ทันใดนั้นใบหน้าก็เผยรอยยิ้มจางๆ เพราะเขาเห็นว่าเยวี่ยชีกำลังยิ้มอยู่กลางหน่วยย่อยกลุ่มหนึ่งและกำลังมองมาเช่นกัน
“พี่จั๋ว พี่มู่ น้องมาสายไปก้าวหนึ่ง ทำให้ทั้งสองท่านรอนานแล้ว” บุรุษแซ่หมิ่นร่อนลงมาแล้วหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังแต่ไกล
หัวหน้าระดับแก่นแท้ของหน่วยย่อยอีกสองหน่วย คนหนึ่งเป็นผู้เฒ่าดวงตาสีเขียวหนวดยาวรูปร่างสูงเพรียว ส่วนอีกคนเป็นบุรุษรูปร่างบึกบึนใบหน้าแดงเรื่อ
เยวี่ยชีกับผู้ฝึกฝนระดับแก่นเสมือนอีกสามคนยืนอยู่หลังร่างผู้เฒ่าดวงตาสีเขียว ส่วนหลังร่างบุรุษหุ่นบึกบึนมีอีกสี่คน สามหน่วยย่อยมีผู้ฝึกฝนรวมกันทั้งหมดสิบหกคน
ระดับแก่นแท้สามคน ระดับแก่นเสมือนสิบสามคน พวกเขาอยู่ที่ใดล้วนเป็นกำลังรบอันแข็งแกร่ง
อีกทั้งคนเหล่านี้เดิมก็ล้วนเป็นหัวกะทิของนิกายและยังอยู่ในสถานที่ซึ่งมีโอกาสตายเก้าในสิบส่วนเช่นทางปีศาจร้ายมาแล้วหลายปี
“ถ้อยคำไร้สาระไว้พูดกันทีหลัง ภารกิจครั้งนี้เร่งด่วนอย่างยิ่ง ในเมื่อคนมาพร้อมแล้วก็ออกเดินทางเดี๋ยวนี้เลยเถิด” ผู้เฒ่าดวงตาสีเขียวดูเหมือนจะไม่ได้มีความสัมพันธ์สนิทสนมกับบุรุษแซ่หมิ่น เขาเอ่ยอย่างเย็นชาประโยคหนึ่งก็หมุนตัวเดินไปยังประตูเมือง
ส่วนบุรุษร่างบึกบึนกลับทักทายบุรุษแซ่หมิ่นอย่างค่อนข้างเป็นมิตร เขาเหลือบมองหลิ่วหมิงอย่างสงสัยใคร่รู้แต่จากนั้นก็ละสายตาไปทันที แล้วพาลูกน้องทั้งหลายเดินไปยังประตูเมืองเช่นเดียวกัน
บุรุษแซ่หมิ่นไม่ถือสาแม้แต่น้อย เขาเรียกพวกหลิ่วหมิงตามไปเช่นกัน
เมื่อคนทั้งคณะมาถึงหน้าประตูเมืองก็ทยอยส่งป้ายประจำตัวให้แก่ศิษย์ที่เฝ้าเมืองอยู่
โดยปกติกองทัพแสงทองเข้มงวดกับการเข้าออกประตูเมืองอย่างยิ่ง หากไม่มีภารกิจจากนิกาย สมาชิกของกองพลที่หนึ่งห้ามออกจากเมืองในทุกกรณี
หลังจากผ่านการตรวจป้ายแสดงตัวตนกับลงทะเบียนแล้ว พวกหลิ่วหมิงก็ออกจากเมืองแสงทอง
ท้องนภามืดทึมครอบอยู่เหนือศีรษะของพวกเขา ปราณหยินหนาทึบฉับพลันโถมเข้ามาจากทั่วทุกสารทิศ สีหน้าของทุกคนเคร่งขรึมขึ้นทันที
“ออกเดินทางเถิด!” เมื่อหัวหน้าทั้งสามคนสั่ง แสงสายแล้วสายเล่าก็สว่างขึ้นใต้ร่างทุกคน แล้วแบ่งเป็นสามระลอก เหาะมุ่งไปไกลอย่างรวดเร็ว
ป้อมปราการหมายเลขสิบเก้าที่เป็นจุดหมายตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองแสงทอง แสงสิบกว่าสายราวกับดาวตกกำลังพุ่งผ่านท้องนภา แหวกท้องฟ้าไปอย่างเร็วไว
“เอ๋!” ทันใดนั้น สายตาของหลิ่วหมิงก็ทอประกายเล็กๆ วูบหนึ่งแล้วอุทานออกมาเบาๆ
หลังออกจากเมืองแสงทองยิ่งเหาะไปเบื้องหน้า ปราณหยินรอบด้านก็ยิ่งหนาทึบขึ้นเรื่อยๆ จิตสัมผัสเริ่มถูกจำกัดยิ่งนัก
เรื่องที่จิตสัมผัสถูกจำกัด หลิ่วหมิงรับรู้ได้ตั้งแต่ตอนเพิ่งเข้ามาในทางปีศาจร้าย แต่ยามนั้นเทียบกับยามนี้ไม่ได้เลย
“ศิษย์น้องหลิ่วเจ้าเพิ่งมาที่นี่ ดังนั้นอาจจะยังไม่รู้ ยิ่งเข้าไปลึกในทางปีศาจร้าย ปราณหยินรอบด้านก็จะยิ่งหนาทึบ ลมปราณอันสับสนเหล่านี้จะรบกวนจิตสัมผัส บริเวณเมืองแสงทองยังนับว่าดี แต่เมื่อถึงบริเวณป้อมปราการหมายเลขสิบเก้า คาดว่าจิตสัมผัสน่าจะสำรวจบริเวณรอบด้านได้ไม่กี่ลี้เท่านั้น” เยวี่ยชีที่เหาะอย่างรวดเร็วอยู่ขยับเข้ามาใกล้ เมื่อเห็นสีหน้าของหลิ่วหมิงก็ยิ้มแล้วอธิบาย
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง ทางปีศาจร้ายแห่งนี้อันตรายยิ่งนักจริงๆ” หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว
“ศิษย์น้องหลิ่วอยู่ที่นี่นานเข้า ไม่นานก็จะรู้เรื่องเหล่านี้เอง” เยวี่ยชีพูดพร้อมกับรอยยิ้ม
พวกเขาสิบกว่าคนเหาะไปด้านหน้าอย่างเงียบเชียบ เนื่องจากจิตสัมผัสถูกจำกัดจึงไม่กล้าใช้ความเร็วมากเกินไปนัก ระยะทางแสนกว่าลี้คาดว่าคงจะต้องใช้เวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน
“ระวัง ด้านหน้ามีฝูงผึ้งผี!” ทันใดนั้นแสงสีเขียวก็สว่างวาบในดวงตาของผู้เฒ่าดวงตาสีเขียวที่เหาะอยู่ด้านหน้าสุด จากนั้นเขาก็เอ่ยเตือน
หลิ่วหมิงได้ยินก็หวั่นใจไปชั่ววูบ
เขาเคยอ่านคำอธิบายเกี่ยวกับภูตผีชนิดนี้ในตำราที่ได้มาจากผู้ฝึกฝนหญิงชุดน้ำเงินมาก่อน มันเป็นผีที่อยู่กันเป็นฝูง พลังธรรมดาแต่จัดการยากอย่างยิ่ง