ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 1025 หนีเอาชีวิตรอด
เมื่อลวดลายค่ายกลของชั้นจำกัดถูกทำลาย ประตูศิลาถูกผลักเปิดเข้าไปด้านใน ปราณหยินเข้มข้นสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากในห้องศิลาดุจเดียวกัน
ขณะที่เซียเอ๋อร์คิดจะเข้าไปสำรวจด้านในให้รู้แน่ “ฟุบ” กำปั้นสีเทามหึมาข้างหนึ่งก็พุ่งออกมาจากในห้องศิลาแล้วโจมตีมาอย่างรุนแรง
ยังไม่ทันที่เซียเอ๋อร์จะได้โจมตีกลับ พละกำลังมหาศาลล่องหนสายหนึ่งก็โถมเข้ามาอย่างดุดัน
เซียเอ๋อร์เปลี่ยนสีหน้าไปทันที ปราณสีดำทะลักออกมาทั่วร่าง พริบตาเดียวกลับคืนเป็นแมงป่องสีเงินร่างเดิม ก้ามยักษ์สองข้างยกไขว้กันเบื้องหน้าแล้วพุ่งเข้าไป
“บึ๊ม” สีเทากับสีเงินปะทะกันกลางท้องฟ้า
ผลปรากฏว่าโต้กันอยู่หนึ่งลมหายใจ แมงป่องสีเงินก็ปลิวกลับมาประหนึ่งกระสอบทรายทันที
จากนั้นเงาผีสีเทาร่างหนึ่งก็พุ่งออกมาจากประตูศิลา ปราณหยินท่วมท้นโถมทะลัก
เงาผีร่างนี้ร่างกายคล้ายผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ทุกประการ เสื้อผ้าที่สวมอยู่บนร่างยังพอมองออกว่าเป็นชุดประจำหน่วยของกองทัพแสงทอง เพียงแต่ว่าเนื้อบนใบหน้าของเขาแข็งทื่อและเป็นสีเขียวคล้ำ หน้าตาเหมือนผีดิบตัวเป็นๆ อีกทั้งระดับพลังยังอยู่ราวระดับแก่นแท้ขั้นต้น!
พริบตาที่ผู้ฝึกฝนผีดิบคนนี้ก้าวออกมาจากห้องศิลา ร่างกายของเขาพลันหยุดชะงักแล้วแหงนหน้ากรีดร้องเสียงแหลมแสบแก้วหู!
“นี่มันเสียงภูตคนตาย มี…มีคนลอบเข้ามา!”
“ข้าว่าแล้วว่าทำไมพริบตาเดียวคนน้อยลงเช่นนี้!”
“รีบเปิดชั้นจำกัด ปิดตายเส้นทางทั้งหมด! สักคนก็อย่าคิดหนีออกไป!”
เสียงดังสนั่นเช่นนี้ ทหารผีที่ลาดตระเวนอยู่ใกล้ๆ กับผีรองแม่ทัพตนนั้นย่อมรู้ตัวในทันที เสียงกรีดร้องแหลมยาวดังโหยหวนไปทั่วทุกสารทิศในพริบตา
จากนั้นเสียงครืนราวกับโม่หินขยับก็ดังขึ้นตรงนั้นตรงนี้ สะท้อนก้องไปทั้งด้านในตัวภูเขาที่ว่างโล่ง!
“นี่คือหัวหน้าอิน…ดูท่าคนที่เหลือก็คง…” ตอนนี้เสี่ยวอู่กำลังกวาดสายตามองบนร่างผีดิบตรงหน้า นางอุทานออกมาอย่างตกตะลึง แววตาหม่นหมองไปวูบหนึ่ง
“ไม่มีเวลาสนใจคนอื่นแล้ว รีบไป!” หลิ่วหมิงได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวด้านบนก็ดีดนิ้ว ปราณกระบี่สีม่วงเส้นหนึ่งพุ่งเข้าใส่ผีดิบด้านหน้า
“เคร้ง!”
ปราณกระบี่แล่นผ่านลำคอของผีดิบแต่กลับเหมือนฟันลงบนเหล็กกล้า ประกายไฟปะทุ ลำคอของเขาไม่เป็นไรแม้แต่น้อย!
ในตอนนี้เอง เสียง “กึกๆ” ก็ดังขึ้น ห้องศิลาไม่กี่ห้องที่เหลือใกล้ๆ ทยอยเปิดออก ไอหมอกสีเทากลุ่มแล้วกลุ่มเล่าเคลื่อนเรียงแถวออกมา พวกเขาล้วนเป็นผู้ฝึกฝนผีดิบมีตั้งแต่พลังระดับผลึกขั้นปลายไปจนถึงระดับแก่นแท้
“นายท่านพาศิษย์พี่เสี่ยวอู่ไปจากที่นี่ก่อน ข้าจะขวางไว้เอง!” เซียเอ๋อร์เห็นสถานการณ์ก็ส่งกระแสจิตบอกหลิ่วหมิงผ่านจิตที่เชื่อมถึงกันทันที ในเวลาเดียวกันแสงสีทองก็ส่องสว่างออกมาจากบนหน้าผากนาง ร่างกายเปลี่ยนกลับไปเป็นแมงป่องกระดูกสีเงินขนาดหนึ่งจั้งกว่าตัวหนึ่งขวางอยู่หน้าหลิ่วหมิงกับเสี่ยวอู่ในทันใด
ผู้ฝึกฝนผีดิบหลายคนที่เดินออกมาจากในห้องศิลาใกล้ๆ ถูกแสงสีทองเบื้องหน้าข่มขวัญ บนใบหน้าสีเขียวคล้ำเผยสีหน้าหวาดกลัวเล็กน้อย ไม่กล้าก้าวเข้าไปชั่วขณะ
ในเวลาเดียวกันเสียงประตูศิลาเปิดก็ทยอยดังขึ้นบนทางเดินชั้นแล้วชั้นเล่าเหนือหัวพวกเขา ผู้ฝึกฝนผีดิบใบหน้าเขียวคล้ำที่สวมเสื้อผ้าของกองทัพใหญ่ทั้งสี่พุ่งออกมาจากด้านในคนแล้วคนเล่า
“แย่แล้ว ทางที่พวกเราเข้ามาถูกปิดตายแล้ว แม้กระทั่งทางออกด้านหน้าก็เหมือนจะถูกปิดไว้ด้วย! ถอยลงไปด้านล่างก่อนค่อยว่ากัน” หลิ่วหมิงกวาดจิตสัมผัสผ่านด้านในพื้นที่ของตัวภูเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นเอ่ยออกมาอย่างว่องไว แล้วดึงเสี่ยวอู่เหาะลงไปด้านล่างทันที
“จริงสิ ข้านึกออกแล้ว ด้านล่างของที่แห่งนี้มีทางลับอยู่เส้นหนึ่งตรงไปยังตำแหน่งหนึ่งบนเขาด้านหลังของเนินหลิงจิ้วได้” ขณะที่เสี่ยวอู่หนี คลื่นสีหยกพลันกระเพื่อมในดวงตาของนาง แล้วทันใดนั้นนางก็เอ่ยออกมา
“ศิษย์พี่ทราบได้อย่างไรว่าด้านล่างมีทางเส้นนี้อยู่?” หลิ่วหมิงฟังแล้วก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งอยู่บ้าง
อย่างไรเมื่อครู่เขาก็เห็นกับตาตนเองว่าด้านล่างคือวังวนปราณหยินที่มหึมาอย่างยิ่ง แม้จะมีเส้นทางอยู่ตรงนั้น คนธรรมดาก็คงไม่อาจผ่านไปได้ คงถูกปราณหยินกลืนกินร่างกลายเป็นภูตผีไปทันที
“ตอนที่พวกเราถูกจับมาได้ไม่นาน มีสหายระดับแก่นแท้ขั้นปลายคนหนึ่งเคยดิ้นรนฝ่าชั้นจำกัดออกมาแล้วพยายามจะช่วยพวกเรา เป็นเช่นที่ศิษย์น้องหลิ่วพูด ทางเส้นนั้นตั้งอยู่ข้างวังวนปราณหยินด้านล่างสุด ผลปรากฏว่าเขาเพิ่งจะนำพวกเราไปถึงปากทางเข้าก็ถูกปราณหยินที่ทะลักออกมาจากวังวนกัดกินจนกลายเป็นผีแม่ทัพตนหนึ่งไปทันทีแล้วจับพวกเรากลับไปอีกหน” เสี่ยวอู่เล่า
ระหว่างที่พูดกันทั้งสองคนก็มาถึงด้านล่างสุดของเนินหลิงจิ้วแล้ว ปราณหยินที่เข้มข้นจนทำให้คนหายใจไม่ออกปรากฏตรงหน้าทั้งสอง มันคือวังวนปราณหยินขนาดมหึมาอย่างยิ่ง
เวลานี้ได้อยู่ใกล้ๆ หลิ่วหมิงจึงมองเห็นว่าเหนือวังวนปราณหยินมีม่านแสงสีเทาอ่อนชั้นหนึ่งคลุมอยู่ราวกับว่ามีชั้นจำกัดมหึมาบางอย่างถูกสร้างเอาไว้ควบคุมปราณหยินด้านล่างไม่ให้ไหลรั่วออกไป
เวลานี้แม้รอบร่างเขามีปราณสีดำก่อตัวเป็นเกราะป้องกันคอยต้านการกัดกร่อนของปราณหยินที่เสียดแทงกระดูกอยู่ก่อนแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกว่าหนาวสะท้านไปทั่วร่าง
บนลำคอของเสี่ยวอู่ที่อยู่ด้านข้างฉับพลันมีป้ายหยกสีขาวน้ำนมชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้นแล้วแผ่แสงสว่างวงแล้ววงเล่าออกมาด้านนอก ทันทีที่ปราณหยินซึ่งลอยขึ้นมาจากวังวนสัมผัสถูกแสงสว่างเหล่านี้ก็ทยอยสลายหายไปราวกับหิมะแรกละลาย
นี่ก็คือสมบัติคุ้มครองกายที่เสี่ยวอู่ใช้วิชาลับพิเศษซ่อนไว้ในร่างจึงไม่ถูกพวกผีแย่งชิงไป
เมื่อหลิ่วหมิงกวาดสายตามองเบื้องล่างก็เหลือบไปเห็นรอยกระบี่พาดสะเปะสะปะเลือนรางบนผนังถ้ำใกล้ๆ วังน้ำวน
รอยกระบี่เหล่านี้ฝังลึกลงไปบนผนังสามฉื่อ คล้ายกับว่าผ่านกาลเวลามาเกือบพันปีแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงทำให้เขารู้สึกค่อนข้างคุ้นเคย
ทว่าเวลานี้สถานการณ์เร่งด่วน ไม่มีเวลาให้เขาได้ครุ่นคิด หลังจากรั้งสายตากลับมา หลิ่วหมิงก็มองวังวนปราณหยินเบื้องหน้าอีกครั้งแล้วพึมพำขึ้นมาประโยคหนึ่งอย่างอดไม่ได้
“แต่ไม่รู้ว่าด้านล่างของวังวันนี้แท้จริงเป็นสถานที่เช่นไร ปราณหยินที่แผ่ออกมาจึงบริสุทธิ์เช่นนี้!”
“ทางลับอยู่ด้านนี้! ศิษย์น้องหลิ่ว พวกเรารีบไปกันเถิด!” เสี่ยวอู่ฉับพลันยกมือชี้ทางเดินหินหน้าตาปกติธรรมดาขนาดหนึ่งจั้งกว่าที่อยู่ไม่ไกล
หลิ่วหมิงมองตามเสียงไปก็เห็นทางเดินหินนั่นตั้งอยู่เยื้องไปด้านหน้าของวังวนปราณหยิน หากต้องการเข้าไปจะต้องเหาะผ่านวังวนปราณหยิน
เขาหันกลับไปมองทางที่มา ริมฝีปากขยับขมุบขมิบหลายคำ
สองสามลมหายใจให้หลัง แสงสีดำสายหนึ่งก็พุ่งเร็วรี่มาจากด้านหลัง เซียเอ๋อร์นั่นเอง
หลังร่างนางมีเสียงแหวกอากาศดังเอะอะ
“นายท่าน เซียเอ๋อร์ไร้ความสามารถ ผีดิบเหล่านี้หนังหยาบเนื้อหนาแล้วยังมีเพิ่มมากขึ้นทุกที” เซียเอ๋อร์เอ่ยอย่างละอายเล็กน้อย
หลิ่วหมิงฟังแล้วก็พยักหน้า เขาไม่พูดพร่ำตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณข้างเอว เซียเอ๋อร์กลายเป็นปราณสีดำสายหนึ่งมุดเข้าไปทันที
เขาตั้งท่าเคล็ดวิชาด้วยมือข้างเดียว ปราณสีดำรอบร่างม้วนตัวโอบเสี่ยวอู่ไว้ด้วยกันแล้วเหาะไปเหนือวังวนปราณหยินทันที
ปรากฏว่าเมื่อร่างกายลอยอยู่กลางอากาศ หลิ่วหมิงก็รู้สึกได้ว่าปราณหยินที่เข้มข้นยิ่งกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่าท่วมทะลักออกมาจากเบื้องล่าง ทั่วร่างสั่นสะท้านในทันใด เขากัดฟัน แสงสีเงินสว่างขึ้นบนแผ่นหลัง ปีกเนื้อคู่หนึ่งงอกออกมา พาทั้งสองคนกลายเป็นแสงสีเงินเส้นหนึ่งพุ่งผ่านเหนือวังวนปราณหยินผลุบเข้าไปในเส้นทางทันที
ทว่าสิ่งที่ผิดคาดก็คือเมื่อทั้งสองคนเหาะสุดแรงมาจนถึงสุดปลายทางกลับพบว่ามันเป็นทางตัน
“ศิษย์น้องหลิ่ว…” เสี่ยวอู่เอ่ยเรียก บนใบหน้าเผยสีหน้าสิ้นหวังออกมาจางๆ
แสงเจิดจ้าไหลวนในดวงตาของหลิ่วหมิงวูบหนึ่ง จิตสัมผัสพลันกวาดผ่านสุดปลายทางเดินจนทั่ว ทันใดนั้นเขาก็ยกมือข้างหนึ่ง ภูเขาน้อยสีเหลืองหม่นลูกหนึ่งพุ่งออกไป นั่นก็คือมุกบรรพตธาราที่สมบูรณ์เพียงครึ่งเดียวลูกนั้นนั่นเอง
“บึ๊ม!” เสียงดังสนั่น
ผนังหินสุดปลายทางเดินระเบิดกระจาย แสงสว่างสายแล้วสายเล่าส่องเข้ามา เนินหลิงจิ้วทั้งลูกสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
“พวกเราไป!”
หลิ่วหมิงกวักมือข้างหนึ่ง ภูเขาน้อยสีเหลืองพลันกลับคืนเป็นมุกกลมสีเหลืองขมุกขมัวเม็ดหนึ่งพุ่งกลับมาในแขนเสื้อของเขา พร้อมกันนั้นเท้าข้างหนึ่งก็กระทืบพื้นกลายเป็นแสงสีน้ำเงินสายหนึ่งเหาะพุ่งออกไป
เสี่ยวอู่ก็ไม่พูดอันใดอีกเช่นกัน ร่างกายขยับวูบเดียวพุ่งตามหลิ่วหมิงไปอย่างรวดเร็ว
ผลปรากฏว่าทั้งสองคนออกจากทางเดินไปได้เพียงชั่วครู่ เสียงคำรามก็ดังระงม เงาสีเทาร่างแล้วร่างเล่าพุ่งตามกันออกมาจากปากทางเดิน ผู้ฝึกฝนที่เหมือนผีดิบเหล่านั้นนั่นเอง
“พลังเวทของท่านยังไม่ฟื้นคืน ข้าช่วยท่านเอง!” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้พลันอุ้มเสี่ยวอู่ขึ้นมา ปีกเนื้อสีเงินบนแผ่นหลังกระพือเหาะเร็วรี่ไปกลางท้องฟ้า
แม้ผู้ฝึกฝนผีดิบเหล่านี้ได้ปราณหยินบำรุงร่างกายจนกายเนื้อฟันแทงไม่เข้า แต่ความเร็วกับสติปัญญาย่อมสู้หลิ่วหมิงที่ใช้เคล็ดวิชาเกราะอสูรหนีเต็มกำลังไม่ได้
เวลาเพียงหนึ่งก้านธูป พวกมันก็ถูกทิ้งห่างไปไกลด้านหลังจนไม่เห็นร่องรอย
หลังจากนั้นทั้งสองคนพบผู้ฝึกฝนของกองทัพผีร้ายอีกหลายระลอก โชคดีที่หลิ่วหมิงเตรียมการเอาไว้ก่อนเป็นอย่างดี จึงใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายอย่างง่ายหลายอันที่วางไว้ระหว่างทางหลบเลี่ยงไปได้อย่างไม่เปลืองแรงสักนิด
เวลาหลายวันผ่านไปเพียงพริบตา หลังจากใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายติดกันมาห้าถึงหกวัน ในที่สุดหลิ่วหมิงกับเสี่ยวอู่สองคนก็มาหยุดพักที่ตีนเนินเขาขนาดเล็กแห่งหนึ่งห่างจากเมืองจินกวังหมื่นลี้
“ที่แห่งนี้อยู่ในอาณาเขตกองทัพแสงทองของพวกเราแล้ว แม้ศิษย์พี่มีสมบัติไว้ป้องกันตัว ครั้งนี้ลมปราณก็ยังเสียหายหนักอย่างเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ทำสมาธิฟื้นลมปราณสักหน่อยก่อนจะดี” หลิ่วหมิงพูดพลางหยิบโอสถเม็ดหนึ่งส่งให้เสี่ยวอู่แล้วเอ่ยเช่นนี้
“ศิษย์น้องเกรงใจแล้ว ครั้งนี้ศิษย์น้องบุกเดี่ยวเดินทางมาช่วยเหลือ ศิษย์พี่ซาบซึ้งจริงๆ” หลังจากเสี่ยวอู่รับโอสถไปก็ประสานมือเอ่ยขอบคุณหลิ่วหมิง
“ศิษย์พี่พูดอะไรกัน เสียดายที่ศิษย์น้องมาช้า ครั้งนี้จึงช่วยศิษย์พี่ได้เพียงคนเดียว คิดไม่ถึงว่ากองทัพผีร้ายเหล่านี้จะจับผู้ฝึกฝนมากมายเช่นนี้มาทดลอง” หลิ่วหมิงโบกมือแล้วถอนหายใจ
“วังวนปราณหยินใต้เนินหลิงจิ้วแห่งนั้นไม่รู้ว่ามาจากที่ใด ระดับความบริสุทธิ์ของมันเข้มข้นกว่าสถานที่อื่นในทางปีศาจร้ายไม่ใช่แค่สิบเท่า ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ถูกปราณหยินบริสุทธิ์กัดกินร่างหลายปีแล้วยังตกอยู่ใต้ชั้นจำกัดบางอย่าง สติสัมปชัญญะจึงค่อยๆ มลายหายไปขณะที่พลังกลับเพิ่มมากขึ้น สุดท้ายกลายเป็นสัตว์ประหลาดคล้ายผีดิบพวกนั้น” เสี่ยวอู่ยิ้มขมขื่น สีหน้าหม่นหมองลงอยู่บ้าง
“จะว่าไปแล้ว หลายปีนี้อาจารย์มักบ่นคิดถึงท่านอยู่บ่อยๆ” หลิ่วหมิงฟังแล้วก็ไม่รู้ว่าจะตอบอะไร จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“เสี่ยวอู่ทรยศต่อความทุ่มเทที่อาจารย์มีให้แล้วจริงๆ ครั้งนี้หากไม่ได้สมบัติคุ้มครองกายที่อาจารย์มอบให้กับความช่วยเหลือของศิษย์น้องหลิ่ว เกรงว่าคงร่วงหล่นกลายเป็นคนตาย…คิดไม่ถึงว่าไม่พบหน้ากันไม่กี่สิบปีสั้นๆ วันนี้ศิษย์น้องหลิ่วจะก้าวเข้าสู่ระดับแก่นเสมือนแล้ว ในเมื่อศิษย์น้องมายังทางปีศาจร้ายแห่งนี้ก็คงจะมาตามหาโอกาสทะลวงขึ้นระดับแก่นแท้กระมัง?” เสี่ยวอู่ถอนหายใจเอ่ย
“โบราณว่าหลังรอดพ้นเคราะห์หนักจะมีโชคลาภ! ผ่านครั้งนี้ไปศิษย์พี่คงจะอยู่ใกล้การผนึกแก่นแท้เข้าไปอีกก้าว! จริงสิ ข้าเพิ่งเข้ามาในทางปีศาจร้ายไม่นาน ไม่สู้ศิษย์พี่ใช้โอกาสตอนนี้เล่าประสบการณ์ในทางปีศาจร้ายให้ข้าฟังหน่อยเถิด” หลิ่วหมิงปลอบเสี่ยวอู่สองสามประโยคก็ยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นมา
“เรื่องนี้จะให้เล่าก็คงยาว…”
เสี่ยวอู่ฟังจบในที่สุดก็ยิ้มแล้วเริ่มเล่าให้หลิ่วหมิงฟังทุกรายละเอียดอย่างไม่เบื่อหน่าย
ส่วนหลิ่วหมิงก็เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในนิกายหลายสิบปีนี้ให้นางฟังเช่นกัน รวมถึงเรื่องงานประตูสวรรค์และการเดินทางไปยังเศษซากโลกบนครั้งก่อนเขาก็เล่าให้ฟังเล็กน้อยด้วย เสี่ยวอู่ฟังจบก็ถอนหายใจ
หลังจากพักอยู่หลายชั่วยามพวกหลิ่วหมิงสองคนจึงออกจากจุดแวะพักขี่เมฆมุ่งไปยังเมืองจินกวัง