ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 1035 เข่นฆ่า
อสูรตัวนี้เป็นอสูรแห่งความมืดขนาดใหญ่ชนิดหนึ่งที่หน้าตาคล้ายไส้เดือนอย่างยิ่ง ขนาดของมันใหญ่โตมโหฬาร แม้สติปัญญาไม่สูง แต่ถนัดทะลวงดินสร้างอุโมงค์ เคลื่อนไหวใต้ดินได้เร็วจนน่ากลัว ดังนั้นมันจึงถูกกองทัพผีร้ายใช้เก็บภูตผีและอสูรความมืดนานาชนิดไว้ในท้องเพื่อขนย้ายผ่านใต้ดินระยะทางไกล
แต่อสูรตัวนี้มีน้อยนิดนัก จากข้อมูลที่ได้มาปัจจุบัน ในกองทัพผีร้ายทั้งหมดก็มีไม่กี่ตัว อีกทั้งเนื่องจากอสูรตัวนี้ไม่มีความสามารถในการโจมตีแต่ประการใด พลังเพียงระดับผลึกก็สังหารมันได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นโดยทั่วไปแล้วจะไม่ปรากฏตัวกลางสงครามขนาดใหญ่
“โฮกๆ” เสียงกรีดร้องดังขึ้น แสงสีแดงสายแล้วสายเล่าพุ่งจากหลุมที่ถล่มขึ้นสู่ท้องฟ้า ผลักหมอกภูตสีเทาที่อยู่ใกล้ๆ กระจายออกไป
ต่อจากนั้นไส้เดือนยักษ์สีแดงหม่นทั้งร่างตัวแล้วตัวเล่าก็ทยอยยื่นหัวออกมาจากหลุมแล้วเลื้อยออกมาอย่างว่องไวดุจอสรพิษออกจากรู จากนั้นคืบคลานบนที่ราบเข้ามาหาป้อมปราการไท่เทียน
ไส้เดือนผีเหล่านี้แต่ละตัวร่างกายยาวห้าสิบถึงหกสิบจั้ง บนหัวไม่มีตาแต่มีหนวดสีดำสลับขาวสองคู่ บนร่างกายแต่ละช่วงมีรูกลมสีดำขนาดครึ่งจั้งรูหนึ่งที่พ่นไอหมอกสีเทาอ่อนออกมาข้างนอกระหว่างยืดหดตัวไม่หยุด
“หยุดมัน อย่าให้มันเข้าใกล้กำแพงเมืองเด็ดขาด!” เฉาฉางเฮ่อสั่งอย่างเด็ดขาดทันที
ทั้งหกคนบนแท่นสูงที่หลิ่วหมิงอยู่ได้ยินก็รีบเบี่ยงกาย พลิกกระจกแสงสีทองในมือ ลำแสงสีทองหนาเส้นหนึ่งโจมตีออกไปในทันใด มันพุ่งเร็วรี่เข้าใส่ไส้เดือนยักษ์ตัวหนึ่งในนั้น
แสงสีทองพุ่งวูบผ่านไป
“ฟึบ” ไส้เดือนยักษ์ตัวนั้นถูกลำแสงสีทองโจมตีเข้าที่หัว
“บึ๊ม!”
หัวของไส้เดือนยักษ์รวมถึงร่างกายเกือบครึ่งสลายกลายเป็นควันในพริบตา เหลือไว้เพียงร่างกายยาวเฟื้อยกว่าครึ่งร่วงลงกองกับพื้นดินดัง “ปึง”
หลังจากร่างกายบิดดิ้นสองสามหน ไส้เดือนยักษ์ก็ฟุบแน่นิ่งอยู่บนพื้น
บนหอสูงตรงกลางธงค่ายกลสองผืนในมือเฉาฉางเฮ่อเปลี่ยนทิศ ลำแสงสีทองเส้นแล้วเส้นเล่าพุ่งจากบาตรแห่งการสร้างที่อยู่เหนือศีรษะออกไปรอบด้าน จากนั้นแล่นผ่านค่ายกลกระจกแสงทองบนหอสูงทั้งหกที่ล้อมอยู่แล้วพุ่งเข้าใส่ไส้เดือนผีที่เข้าใกล้ไม่หยุด
แม้ค่ายกลแสงทองจะมีช่องว่างช่วงหนึ่งระหว่างแต่ละครั้งที่ใช้ ทว่ายังดีที่ไส้เดือนผีเหล่านั้นเคลื่อนที่บนผิวดินได้ไม่เร็ว ไม่ถึงหนึ่งก้านธูป ไส้เดือนยักษ์เหล่านั้นที่เหลืออยู่จึงทยอยถูกโจมตีทำลายส่วนหัวจนล้มไม่ลุกอยู่กับพื้น
ทว่ายังไม่ทันที่พวกเขาจะดีใจ ไอหมอกสีเทากลุ่มแล้วกลุ่มเล่าก็ทะลักออกมาจากรูสีดำมากมายบนร่างครึ่งท่อนที่เหลือของไส้เดือนยักษ์เหล่านั้น
“แย่แล้ว!”
เมื่อไอสีเทากระจายออกมา รอจนทุกคนมองเห็นสถานการณ์ตรงหน้าชัดเจนก็พบว่ามีทหารผีมากมายทะลักออกมาจากรูเหล่านั้นบนศพของไส้เดือนผี พวกมันมีมากถึงหลายพันตน เมื่อได้รับคำสั่งจากเหล่าผีแม่ทัพระดับแก่นแท้ ทหารผีทั้งหมดก็แบ่งออกเป็นกระบวนทัพหลายสิบกองโดยมีผีรองแม่ทัพหลายสิบตนเป็นหัวหน้า แล้ววิ่งมาทางป้อมปราการไท่เทียน
ชั่วขณะหนึ่งเสียงภูตผีคร่ำครวญดังระงม!
เนื่องจากหุ่นที่เรียงแถวอยู่ด้านหน้ากำลังต้านทหารผีอีกกองทัพด้านนอกที่บีบเข้ามาใกล้อยู่ ดังนั้นแม้แต่ศิษย์นิกายปีศาจลี้ลับบนกำแพงเมืองก็ต้องเปลี่ยนทิศมาเริ่มโจมตีทหารผีที่ปรากฏตัวขึ้นกะทันหันเหล่านี้สุดชีวิต ทว่าจำนวนของพวกมันมากเกินไป พวกเขาจึงไม่อาจขวางพวกมันไม่ให้เข้าใกล้ป้อมปราการได้
เหล่าหัวหน้าระดับแก่นแท้ที่ปกป้องเมืองออกคำสั่ง ศิษย์ประจำป้อมจากสี่กองทัพใหญ่ที่พลังระดับต่ำหลายร้อยคนบนกำแพงเมืองต่างก็โจนลงจากกำแพงเมือง กระตุ้นอาวุธจิตวิญญาณในมือเข้าเข่นฆ่าทหารผี
แต่จำนวนทหารผีมากเกินไปแล้วจริงๆ ผ่านไปไม่นานก็มีศิษย์ระดับล่างไม่น้อยถูกทหารผีที่แห่แหนมาโจมตีแล้วถูกกลืนหายไปทันที ทหารผีที่บุกผ่านแนวป้องกันมาได้โจมตีม่านแสงสีเงินที่ล้อมป้อมปราการไว้อย่างบ้าคลั่งจนมันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
กำแพงเมืองฝั่งเหนือจู่ๆ ก็มีกองหนุนของฝ่ายศัตรูเพิ่มมาเช่นนี้ทำให้สถานการณ์ของป้อมปราการไท่เทียนตกอยู่ในวิกฤติทันที
“พี่เฉา ยามนี้ทหารผีรอบนอกต่อสู้กับฝั่งเราอยู่ ทหารผีที่ลอบจู่โจมเหล่านี้อยู่ห่างกำแพงเมืองใกล้เหลือเกิน ค่ายกลแสงทองของพวกเราโจมตีไม่ได้แล้ว” บุรุษวัยกลางคนผมหยิกบนหอสูงหลังหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ผู้อาวุโสระดับดาราพยากรณ์ทั้งสี่ตั้งแต่เริ่มยังไม่ปรากฏตัว เวลานี้คงกำลังคิดหาวิธีใช้ค่ายกลไท่เทียนอยู่กระมัง” หญิงสาวงามอีกนางหนึ่งเอ่ยเช่นนี้
“ไม่ผิด ขอเพียงพวกเรายืนหยัดจนผู้อาวุโสทั้งหลายใช้ค่ายกลไท่เทียนได้ก็พอ ตอนนี้เริ่มใช้แผนสองเถอะ!” เฉาฉางเฮ่อครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ตัดสินใจ
พวกหลิ่วหมิงฟังจบก็ไม่พูดพร่ำ โยนกระจกแสงทองในมือขึ้นกลางอากาศ ร่างกายขยับวูบเดียวลอยขึ้นฟ้าเหนือหอสูง พุ่งไปนอกกำแพงเมืองฝั่งเหนือโดยพลัน
ในเวลาเดียวกันนี้ธงค่ายกลในมือทั้งสองข้างของเฉาฉางเฮ่อก็สะบัดอย่างบ้าคลั่ง กระจกแสงสีทองสามสิบหกบานที่ลอยอยู่กลางอากาศรอบด้านหมุนติ้วกลางอากาศก่อนจะรวมตัวเหนือศีรษะของเขาอย่างเชื่องช้า กระจกแสงทองทั้งหมดผสานรวมเป็นหนึ่งก่อตัวเป็นลูกบอลกระจกสีทองหกเหลี่ยมเล็กกะทัดรัดงดงามขนาดหนึ่งจั้งกว่าลูกหนึ่ง
แสงสีทองที่พุ่งออกจากบาตรแห่งการสร้างหักเหผ่านลูกบอลกระจกสีทองแตกออกเป็นแสงสีทองนับร้อยนับพันสายจมลงไปในม่านแสงป้องกันสีเงินที่ครอบป้อมปราการอยู่ ม่านแสงสีเงินที่เดิมทีสั่นไหวเกิดคลื่นแสงสีทองสายแล้วสายเล่าแล้วมั่นคงขึ้นเล็กน้อย
นอกกำแพงเมืองฝั่งเหนือของป้อมปราการ เมื่อศิษย์ประจำป้อมระดับล่างที่ต่อสู้อย่างยากลำบากอยู่เห็นพวกหลิ่วหมิงสามสิบหกคนเหาะลงมาก็กำลังใจฮึกเหิม ส่วนทหารผีหลายพันที่บุกประชิดกำแพงเมืองกลับร้องคำราม ปราณวิญญาณรอบร่างของพวกมันก่อตัวเป็นหอกตะขอสีเทาเล่มแล้วเล่มเล่าปาพรวดเข้าใส่พวกหลิ่วหมิงมืดฟ้ามัวดิน
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ เงาร่างพลันโฉบเหมือนช้าแต่เร็วสองสามครั้งก็หลบหอกผีเหล่านี้ไปได้อย่างง่ายดาย เขาร่อนลงกลางกระบวนทัพสี่เหลี่ยมที่ประกอบไปด้วยทหารผีราวร้อยกว่าตนกองหนึ่ง
เขาตวาดลั่น อสรพิษหมอกสีดำยาวหลายสิบจั้งห้าตัวพลันก่อตัวขึ้นด้านหลังในพริบตา
เสียงมังกรคำรามดังขึ้น มังกรหมอกสีดำเหาะวนเวียนไปมาท่ามกลางกองทหารผีประหนึ่งมังกรเล่นน้ำ กรงเล็บคมกริบทั้งคู่วาดผ่านบนร่างทหารผี
จุดที่แสงกรงเล็บสีดำผ่าน ทหารผีระดับล่างต่างถูกกรงเล็บของมังกรหมอกทะลวงผ่านกลายเป็นเถ้าปลิวลอยทั่วฟ้า
ผีรองแม่ทัพที่เป็นหัวหน้าเห็นเช่นนี้จึงกระตุ้นหมอกภูตบนร่างไม่หยุด เกิดเป็นลำแสงสีเทาเส้นแล้วเส้นเล่าพุ่งเข้าใส่มังกรหมอกสีดำ
“คุกมืด”
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ แววตาพลันเย็นเยียบ มือข้างหนึ่งตั้งท่าเคล็ดวิชาเบาๆ มังกรหมอกสีดำห้าตัวบินวนรอบหนึ่งก็ส่งเสียงระเบิดดัง “ฟู่” กลายเป็นแสงสีดำเต็มท้องฟ้า ขังผีร้ายสิบกว่าตัวเบื้องหน้าทั้งหมดไว้ด้านใน
หลังจากนั้นเขาจึงยกมือข้างหนึ่งขึ้น เสียงหนึ่งดังกังวาน แสงกระบี่สีม่วงสายหนึ่งบินออกมาจากช่องว่างที่เล็กยิ่งกว่าเส้นผมตรงแขนเสื้อ
“เปรี๊ยะๆ” เสียงอสนีบาตเต้นระริกดังขึ้น อสรพิษอสนีบาตตัวแล้วตัวเล่าบนแสงกระบี่สีม่วงพุ่งเร็วรี่ออกมา แสงสีม่วงสว่างวาบตามมาติดๆ ก่อนจะจมหายเข้าไปในคุกมืด
เสียงกรีดร้องแผ่วเบาแทบไม่ได้ยินดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในตอนนี้หลิ่วหมิงจึงยกมือข้างหนึ่งขึ้นกวักเรียกกระบี่ขู่หลุนกลับไป แขนเสื้อสะบัดแผ่วเบา คุกมืดตรงหน้าพังทลายอย่างเงียบเชียบ แต่ภูตผีทั้งหลายด้านในหายไปไร้ร่องรอยก่อนแล้ว สิ่งที่มาแทนที่กลับเป็นปราณวิญญาณสีเทาสายแล้วสายเล่าที่กระจายไปรอบทิศอย่างเชื่องช้า
สิ่งที่ผิดไปจากที่หลิ่วหมิงคาดก็คือเมื่อปราณวิญญาณเหล่านี้สลายไป ภูตผีจำนวนมากรอบด้านต่างก็หยุดต่อสู้ทันที พวกมันเริ่มแย่งชิงกันอ้าปากฮุบคำแล้วคำเล่า ทันใดนั้นลมปราณรอบร่างของพวกมันก็เพิ่มพูนมากขึ้นและยิ่งดุร้ายขึ้นกว่าเดิม
สถานการณ์คล้ายกันนี้เกิดให้เห็นซ้ำดุจเดียวกันในที่อื่นๆ แต่พวกหลิ่วหมิงศิษย์หัวกะทิสามสิบหกคน แต่ละคนล้วนถูกทหารผีหลายสิบจนถึงนับร้อยตนรุมโจมตีอยู่ จึงไม่มีเวลาว่างสนใจเรื่องนี้แม้แต่น้อย
ระหว่างที่หลิ่วหมิงตกตะลึงอยู่นั่นเอง ไม่ไกลด้านหลังร่างเขา ทันทีที่ผีรองแม่ทัพหน้าตาประหลาดร่างกายขาดแหว่งไม่ครบตนหนึ่งสูบกินปราณวิญญาณไม่น้อยที่กระจายออกมาเสร็จ ส่วนที่ขาดบนร่างของมันก็งอกใหม่อีกครั้งอย่างรวดเร็ว ลมปราณที่แต่เดิมหยุดอยู่ที่ระดับผลึกขั้นปลายก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นด้วย
ผ่านไปอีกสองสามลมหายใจ บนร่างผีรองแม่ทัพตัวนี้พลันมีกลุ่มหมอกสีเทาทะลักออกมา เงาหัวผีมหึมาหัวหนึ่งลอยออกมาจากด้านหลังของมัน “บึ๊ม” เสียงดังตามมาติดๆ พร้อมกับแรงกดดันจิตวิญญาณน่าตะลึงที่แผ่ออกมา
ผีร้ายตัวนี้ถึงขั้นเลื่อนเข้าสู่ระดับแก่นแท้เอาตอนนี้ มันกลายร่างเป็นผีแม่ทัพหน้าตาโหดเหี้ยม ทั่วร่างขรุขระปุปะ ดวงตาทอประกายดูร้าย ปากส่งเสียงร้อง “ชือชือ” เยี่ยงภูตผี
เวลานี้ด้านนอกม่านแสงใกล้กำแพงเมืองมีผีรองแม่ทัพอีกหลายตัวทยอยเลื่อนเข้าสู่ระดับแก่นแท้สำเร็จ แล้วโจมตีชั้นจำกัดของม่านแสงอย่างบ้าคลั่งไม่หยุดหย่อน
หลิ่วหมิงเหลือบตามองเห็นภาพนี้ชัดเจนแจ่มแจ้งจึงหน้าทะมึนในทันใด เขาบังคับกระบี่ขู่หลุนเข้าเข่นฆ่าทหารผีที่แห่แหนมาประหนึ่งคลื่นน้ำ พร้อมกับที่ตบถุงหนังข้างเอวอย่างเร็วไว
“ฟู่” “ฟู่” ไอหมอกสองสายสีดำกับสีเขียวลอยออกมา พวกมันหมุนติ้วรอบหนึ่งแล้วกลายเป็นเงาคนร่างสูงกับร่างเตี้ยสองร่าง พวกมันก็คือเฟยเอ๋อร์กับเซียเอ๋อร์นั่นเอง
“เฟยเอ๋อร์ เจ้าไปเก็บกวาดภูตผีระดับล่างเหล่านั้น เซียเอ๋อร์ตามข้ามา!” หลิ่วหมิงสั่งทั้งสองตนอย่างเร็วไว
“นายท่านโปรดวางใจ ภูตผีระดับต่ำเหล่านี้ยกให้ข้าก็พอ”
เฟยเอ๋อร์ทำหน้าตื่นเต้นยินดี เขาโยกมุกกลมบนลำคอออกไปทันที ร่างกายพร่าเลือนวูบเดียวกลายเป็นเด็กน้อยชุดเขียวเก้าคนพุ่งไปรอบทิศท่ามกลางกองทัพผี จุดที่มันผ่านปราณสีเขียวม้วนถาโถม ภูตผีระดับล่างไม่น้อยถูกเด็กน้อยเก้าตนรุมฉีกเป็นชิ้นๆ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็พยักหน้า ตอนที่เขาหมุนตัวหมายจะพุ่งไปทางกำแพงเมืองนั่นเอง ผีแม่ทัพที่เพิ่งเลื่อนระดับจนปราณสีเทาทั่วร่างเพิ่มพูนตนนั้นก็เหาะโถมเข้าหาหลิ่วหมิง
เซียเอ๋อร์ที่เดิมคิดจะตามหลิ่วหมิงไปเห็นเช่นนี้ ร่างกายจึงขยับวูบมาขวางหน้าผีตนนี้ไว้ ใบหน้างดงามเย็นชาเผยสีหน้าดุร้ายเล็กน้อย
ผีแม่ทัพตนนั้นเห็นเช่นนี้ สองตาพลันทอประกายเจิดจ้า มันอ้าปากพ่นเพลิงภูตสีแดงลูกหนึ่งซัดเข้าใส่เซียเอ๋อร์
เซียเอ๋อร์ดวงตาวาวโรจน์ ตราประทับสีทองบนหน้าผากกะพริบวูบวาบอยู่พักหนึ่ง แสงสีทองสายหนึ่งพลันพุ่งออกไป
“เป็นไปไม่ได้ เจ้าก็เป็นผีเหมือนกัน จะ…” ผีแม่ทัพตนนั้นเห็นแสงสีทองก็เผยสีหน้าหวาดผวา ร้องเสียงหลงสุ้มเสียงประหลาด
เพลิงภูตสีแดงเพียงสัมผัสกับลำแสงสีทองพลันสลายกลายเป็นควันสีเทาหายไป
เมื่อผีแม่ทัพตนนั้นตกตะลึงคิดหมุนกายหนี แสงสีทองผืนใหญ่ก็ซัดมาถึงจนทำให้มันกรีดร้อง