ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 1039 ค่ายกลสุสานผีประตูดำ
ห่างจากป้อมปราการไท่เทียนไปทางเหนือสิบกว่าลี้ บนท้องฟ้าเหนือเทือกเขาทอดยาวที่ปกคลุมไปด้วยหมอกสีเทาขมุกขมัวผืนหนึ่ง เมฆภูตสีดำสนิทขนาดมหึมาหลายก้อนลอยละล่องอยู่
ในเมฆภูตเห็นเงาผีร้ายรูปร่างสูงใหญ่ผิดธรรมดาสี่ร่างยืนอยู่เลือนราง พวกเขากำลังมองมาทางป้อมปราการไท่เทียนจากไกลๆ
ลมปราณที่แผ่ออกมาจากบนร่างผีร้ายสี่ตนนี้แข็งแกร่งอย่างที่สุด เห็นชัดว่าเป็นผีแม่ทัพใหญ่ระดับดาราพยากรณ์!
“ตอนนี้ภูตผีที่รวมตัวอยู่ใต้ป้อมปราการไท่เทียนเกินสามหมื่นตนแล้ว พอประมาณแล้วสินะ” ในหมู่ทั้งสี่ตน ผีแม่ทัพใหญ่ผู้มีดวงตาสองข้างสีแดงพลิงและมีประกายแสงสีแดงในนัยน์ตาตนที่อยู่ทางซ้ายมือรั้งสายตากลับมาแล้วหันไปมองสามตนที่เหลือ จากนั้นจึงเอ่ยปากเช่นนี้
“เมื่อรวมกับที่ตายด้วยค่ายกลไท่เทียนก่อนหน้านี้ เหลือเฟือแล้ว” ผีแม่ทัพใหญ่ผู้ทั้งร่างเป็นโครงกระดูกสีขาว บนศีรษะเต็มไปด้วยเส้นผมสีเขียวด้านข้างเขาพยักหน้าเอ่ยตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ฮ่ะๆ หากไม่ใช่เพราะผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์เหล่านี้ทะนงในความคิดตนจนใช้ค่ายกลไท่เทียน แผนการของพวกเราก็ไม่แน่ว่าจะราบรื่นเช่นนี้! ผีแม่ทัพใหญ่ที่กล้ามเนื้อทั้งร่างบวมปูดแดงก่ำ ร่างกายกำยำดุจวัวอีกตนหนึ่งหัวเราะอย่างชั่วร้าย
“เอาล่ะ วาจาไร้สาระเก็บเอาไว้พูดกันทีหลังเถอะ พวกเราเริ่มกันได้แล้ว” ผู้เฒ่าใบหน้าสีน้ำเงินที่มีเขายาวคล้ายแพะที่ยืนอยู่ด้านขวาสุดเอ่ยเสียงเข้ม
สามตนที่เหลือได้ยินพลันสบตากันแล้วพยักหน้าน้อยๆ
ครู่ต่อมาปราณสีดำบนร่างทั้งสี่ตนก็โถมทะลักออกมา ร่างกายขยับวูบเดียวเร้นกายลงไปจากเทือกเขา หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
ศึกอันดุเดือดที่ป้อมปราการไท่เทียนยังคงดำเนินต่อไป นอกกำแพงเมืองสี่ด้าน ศพภูตผีร่างแล้วร่างเล่ากองพูนดั่งภูเขา บนซากศพมีปราณหยินสีเทาลอยขึ้นมาไม่ขาด ทำให้ไอหมอกสีเทาที่รวมตัวกันอยู่แต่เดิมนานแล้วรอบป้อมปราการหนาทึบกว่าก่อนหน้านี้อีกหลายส่วนจนค่อยๆ กลายเป็นสีดำสนิทประหนึ่งน้ำหมึก
ผ่านไปไม่นาน นอกป้อมปราการทั้งหลังก็ราวกับถูกวงแหวนหมอกสีดำมหึมาอย่างยิ่งวงหนึ่งล้อมเอาไว้
เหนือพื้นดินรอบป้อมปราการเริ่มมีแสงสลัวสีดำจางๆ ชั้นแล้วชั้นเล่าผุดขึ้นมาอย่างไร้สุ้มเสียง ทันทีที่ศพของภูตผีสัมผัสถูกแสงมืดหม่นนี้ พวกมันก็ละลายกลายเป็นปราณสีดำหนาทึบ ลอยละล่องไปสี่ด้านแปดทิศอย่างรวดเร็ว
“เกิดอะไรขึ้น?”
บนกำแพงเมืองแสงกระบี่สีม่วงในมือหลิ่วหมิงสว่างวูบฟันอสูรแห่งความมืดที่กระโจนขึ้นมากลางอากาศตัวหนึ่งเป็นสองท่อน เขาเหลือบสายตามองแวบหนึ่ง ทันใดนั้นใบหน้าก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมาเล็กน้อย
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่ปราณหยินรอบด้านหนาทึบขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งสายตาของเขาก็เริ่มได้รับผลกระทบอย่างมากแล้ว
“ศิษย์น้องหลิ่ว เจ้าดูใต้กำแพงเมือง” ร่างของเสี่ยวอู่ขยับวูบเดียวก็โฉบมาอยู่ข้างกายหลิ่วหมิงแล้วเอ่ยเสียงเบา
หลิ่วหมิงมองลงไปใต้กำแพงเมืองตามคำบอก แล้วสีหน้าเปลี่ยนไปในทันใด
ด้านล่างมีปราณหยินหนาทึบสายแล้วสายเล่าลอยขึ้นมาข้างบนไม่ขาด ต้นกำเนิดก็คือซากศพของภูตผีที่ละลายอย่างผิดแปลกร่างแล้วร่างเล่า!
บนหอของป้อมปราการ พวกผู้เฒ่าแซ่ฝางสี่คนสังเกตเห็นความผิดปกติใต้กำแพงเช่นเดียวกัน ทั้งสี่คนสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที
ยังไม่ทันที่ทั้งสี่คนจะตอบสนอง เหตุการณ์พลิกผันก็บังเกิด!
ปราณดำใต้กำแพงเมืองฉับพลันลอยขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนกลืนภูตผีระดับล่างและอสูรแห่งความมืดที่กำลังโจมตีเมืองไว้ด้านในจนหมด
ม่านแสงสีเงินที่เดิมทีปกป้องป้อมปราการทั้งหลังอยู่ เมื่อสัมผัสถูกปราณดำพลันส่งเสียงดังชี่!
“ศิษย์ทั้งหมดถอย!”
เสียงตวาดห้วนดังขึ้นในหูของศิษย์เช่นพวกหลิ่วหมิง สะเทือนแก้วหูทุกคนจนดังวิ้ง
เงาคนพร่าเลือนวูบหนึ่ง ผู้เฒ่าจมูกแดงซึ่งเป็นผู้อาวุโสระดับดาราพยากรณ์แห่งนิกายยอดบริสุทธิ์พลันปรากฏกายตรงหน้าพวกหลิ่วหมิง เขาสะบัดแขนเสื้อกว้าง ลำแสงสีน้ำเงินสายหนึ่งพุ่งเร็วรี่ออกไปจมลงในม่านแสงสีเงินที่ผู้ฝึกฝนจากกองทัพคุณธรรมควบคุมอยู่
ม่านแสงสีเงินส่งเสียงดังพรึ่บพร้อมกับที่แผ่ขยายและแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน ในเวลาเดียวกันก็กั้นปราณสีดำที่ลอยขึ้นมาด้านบนไว้ข้างนอก
เสียงชี่ดุจอสรพิษแลบลิ้นดังมาจากท่ามกลางปราณสีดำ ทหารผีและภูตแห่งความมืดที่ถูกล้อมอยู่ด้านในส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนครั้งแล้วครั้งเล่าในทันใด
รูม่านตาของหลิ่วหมิงหดเล็ก ท่ามกลางปราณสีดำ ไม่ว่าภูตผีหรืออสูรแห่งความมืดล้วนราวกับถูกสาดน้ำกรด ร่างกายละลายอย่างรวดเร็วแล้วผสานเข้ากับปราณสีดำหนาทึบ
ในเวลาสั้นๆ ไม่กี่ลมหายใจ ภูตผีหลายหมื่นที่ล้อมโจมตีป้อมปราการไท่เทียนอยู่ก็ถูกปราณสีดำกลืนกินเข้าไปค่อนครึ่ง มีเพียงผีรองแม่ทัพกับอสูรแห่งความมืดที่พลังแข็งแกร่งจำนวนน้อยเท่านั้นที่ยังดิ้นรนอย่างสิ้นหวังอยู่ แต่เห็นชัดว่าล้วนเปล่าประโยชน์
เมื่อได้รับพลังหล่อเลี้ยงปราณสีดำก็ยิ่งหนาทึบ มันแผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็วแล้วก่อตัวเป็นเกราะหมอกสีดำทรงครึ่งวงกลมขนาดมหึมาอย่างยิ่งอันหนึ่ง ล้อมป้อมปราการไท่เทียนทั้งหมดเอาไว้ด้านใน
เมื่อเห็นภาพตรงหน้า ทุกคนต่างมองหน้ากัน
“นี่มันค่ายกลสุสานผี!”
หลิ่วหมิงแผ่จิตสัมผัสออกไป แต่ทันทีที่สัมผัสถูกไอหมอกสีดำก็ไม่อาจทะลุผ่านไปได้แม้แต่น้อย
ไม่เพียงเท่านี้ ท่ามกลางปราณสีดำยังมีปราณหยินแผ่ออกมาเลื้อยรัดจิตสัมผัสของเขาไว้ เขาเปลี่ยนสีหน้าไปทันที อดไม่ได้นึกถึงค่ายกลสายวิญญาณชนิดหนึ่งในตำนานที่เขาเคยอ่านพบในหอเก็บคัมภีร์
ความหมายเหมือนเช่นชื่อ ค่ายกลสุสานผีก็คือค่ายกลที่ต้องสังเวยภูตผีจำนวนมากจึงจะตั้งสำเร็จ ทันทีที่ถูกขังไว้ด้านในเก้าตายรอดหนึ่ง ทรงพลังอย่างที่สุด!
เสี่ยวอู่ที่ยืนอยู่ด้วยกันกับเขาและศิษย์จากกองทัพแสงทองคนอื่นได้ยินเข้า สีหน้าก็อึ้งไปอยู่บ้าง เห็นชัดว่าพวกเขาไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
“นี่ไม่ใช่ค่ายกลสุสานผีทั่วไป แต่เป็นค่ายกลสุสานผีประตูดำชั้นสูง ค่ายกลสุสานผีเทียบไม่ได้แม้แต่น้อย ต้องสังเวยภูตผีนับหมื่นทั้งเป็น ใช้ความเคียดแค้นและโหดเหี้ยมที่หลงเหลืออยู่ของพวกมันตั้งค่ายกลขึ้นมา คิดไม่ถึงว่ากองทัพผีร้ายจะสละภูตผีระดับล่างหลายหมื่นตนเพื่อวางค่ายกลนี้!” ผู้เฒ่าจมูกแดงมองหลิ่วหมิงอย่างคาดไม่ถึงอยู่บ้าง หลังจากนั้นจึงเอ่ยเสียงขรึม
“ค่ายกลสุสานผีประตูดำ…”
หลิ่วหมิงได้ยินก็เอ่ยพึมพำกับตนเอง จากนั้นเรียกแผ่นค่ายกลสีขาวแผ่นหนึ่งออกมายิงเคล็ดวิชาหลายสายลงบนนั้น
แผ่นค่ายกลสีขาวส่งเสียงดังวิ้ง บนผิวทอแสงสีขาวเรืองๆ ครู่หนึ่ง ทว่าหลังจากนั้นกลางแสงสีขาวก็มีเสียงดังปัง แผ่นค่ายกลสั่นไหวเบาๆ ครั้งหนึ่งก่อนจะจางหายไป
“ไม่ต้องทดลองแล้ว ขอเพียงค่ายกลนี้ยังอยู่ ป้อมปราการไท่เทียนย่อมไม่อาจติดต่อกับข้างนอกได้อย่างสิ้นเชิง” ผู้เฒ่าจมูกแดงมองหลิ่วหมิงอีกครั้งแล้วเอ่ยอย่างนิ่งสงบ ไอรีนโนเวล
จากนั้นผู้เฒ่าจมูกแดงจึงเพ่งสายตา แขนสะบัดครั้งหนึ่ง ฉับพลันกระจกแปดเหลี่ยมที่ทอแสงสีน้ำเงินบานหนึ่งก็ลอยอยู่ตรงหน้าอก สองมือทำท่าเคล็ดวิชา เกิดเสียงดังพรึ่บ จากนั้นแสงสีน้ำเงินแสบตาก็สาดส่องออกมาจากบนผิวกระจกแปดเหลี่ยมแล้วกลายเป็นเงาแม่น้ำยาวสีน้ำเงินยาวหลายสิบจั้งเส้นหนึ่ง
บึ๊ม! เสียงดังสนั่น!
เงาแม่น้ำสายยาวสีน้ำเงินพุ่งโจมตีปราณสีดำอย่างรุนแรงจนเกิดเสียงระเบิดน่าตกใจ
ถึงแม้ปราณดำจะดูเหมือนไม่แข็งแรงเท่าใดนัก แต่เมื่ออักขระสีดำสนิทมากมายถี่ยิบปรากฏขึ้นบนผิวของมัน เงาแม่น้ำสายยาวสีน้ำเงินต่อสู้จนหมดกำลังก็ทำได้เพียงพุ่งชนให้ปราณสีดำกระจายออกไปเล็กน้อยเท่านั้น ไม่นานมันก็ฟื้นกลับคืนสภาพเดิมอีกครั้งอย่างรวดเร็วยิ่ง
ผู้เฒ่าจมูกแดงสีหน้าเคร่งขรึม เขางอนิ้วจิ้มไปที่กระจกแปดเหลี่ยมเบื้องหน้า แสงสีน้ำเงินแถบใหญ่สายแล้วสายเล่าพุ่งพรวดออกมาอีกครั้ง พวกมันพุ่งโถมออกมากลายเป็นมังกรวายุสีน้ำเงินใหญ่ยักษ์ขนาดร้อยจั้งที่ดูประหนึ่งมีชีวิตตัวหนึ่ง พลังมากกว่าเงาแม่น้ำสายยาวเมื่อครู่หลายเท่า มันใช้หัวโถมเข้าชนปราณสีดำทันที
ในเวลานี้เองเบื้องหน้าไอหมอกสีดำก็มีเงาคนร่างหนึ่งปรากฏขึ้นเลือนราง เงาร่างสูงใหญ่ที่สวมชุดเกรากระดูกร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นดุจภูตพราย มันก็คือผีร้ายระดับแม่ทัพใหญ่ตนหนึ่ง
ยังไม่ทันจะเห็นเขาเคลื่อนไหวอย่างใด เสียง “บึ๊ม” ก็ดังขึ้น ปราณดำเชี่ยวกรากผุดออกมาจากอักขระสีดำสนิทนับไม่ถ้วน ฝ่ามือยักษ์ค้ำฟ้าขนาดพอฟัดพอเหวี่ยงกับมังกรวายุข้างหนึ่งยื่นออกมากันมังกรวายุสีน้ำเงินเอาไว้
ปราณสีดำกับแสงสีน้ำเงินปะทะกันอย่างดุเดือด!
มังกรวายุสีน้ำเงินอ้าปากขย้ำข้อมือของมือปราณยักษ์สีดำขาด แต่ตัวของมังกรวายุเองก็ถูกเล็บคมกริบที่งอกพรวดออกมาจากมือปราณยักษ์ดำแทงทะลุลำตัว ระเบิดดังบึ๊มไปทั้งสองฝ่าย
ลมพายุสีน้ำเงินกับสีดำพัดโถมไปรอบด้าน ศิษย์ที่พลังค่อนข้างต่ำบนกำแพงเมืองใกล้ๆ ถูกลมพายุซัดปลิวออกไป มีเพียงคนจำนวนน้อยที่ยังฝืนหยัดยืนอยู่ได้
ร่างกายของหลิ่วหมิงราวกับถูกตะปูตัวหนึ่งตรึงไว้บนกำแพงเมือง อาภรณ์สีน้ำเงินบนร่างปลิวสะบัดพรึ่บพรั่บ แต่ร่างกายยืนนิ่งไม่ไหวติงท่ามกลางกระแสลมและลมพายุอันรุนแรง
ดวงตาของผู้เฒ่าจมูกแดงวาวโรจน์ จับจ้องเงาร่างของผีแม่ทัพใหญ่ด้านนอก แต่ไม่ได้ลงมือต่อ
พลังผีแม่ทัพใหญ่ของอีกฝ่ายไม่เป็นรองเขา นอกจากนี้ยังควบคุมหมอกดำนี่ได้ การโจมตีสะเปะสะปะเห็นชัดว่าเป็นความพยายามที่ไร้ประโยชน์
บึ๊ม!
กำแพงเมืองอีกสามด้านที่เหลือมีเสียงพลังเวทปะทะกันดังบึ๊มเช่นกัน หลิ่วหมิงหันศีรษะไปมองก็เห็นว่าฝั่งตรงข้ามของผู้อาวุโสระดับดาราพยากรณ์จากนิกายอื่นต่างมีผีแม่ทัพใหญ่ตนหนึ่งยืนอยู่
เห็นชัดว่าผู้อาวุโสระดับดาราพยากรณ์อีกสามคนที่เหลือก็ต้องการทำลายค่ายกลนี้เช่นเดียวกัน แต่ถูกผีแม่ทัพใหญ่จากกองทัพผีร้ายขวางเอาไว้
หลิ่วหมิงสายตาเคร่งขรึม ค่ายกลสุสานผีเดิมทีก็แข็งแกร่งอย่างยิ่งอยู่แล้ว แม้เป็นผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ ในเวลาสั้นๆ ก็ไม่อาจทำลายมันได้ นับประสาอะไรกับค่ายกลสุสานผีประตูดำที่ระดับสูงกว่า ตอนนี้มีผีแม่ทัพใหญ่ระดับดาราพยากรณ์เฝ้าด้านนอกไว้อีก สถานการณ์ยิ่งไม่ดี
“นอกจากศิษย์กองทัพคุณธรรมที่รักษาค่ายกลป้องกันต่อ ศิษย์คนอื่นจงถอยกลับไปในเมืองชั่วคราว!” ทันใดนั้นผู้เฒ่าจมูกแดงก็สะบัดแขนเสื้อกว้างแล้วเอ่ยขึ้น
ศิษย์ทั้งหลายบนกำแพงเมืองทิศเหนือมองหน้ากัน แต่พวกเขาก็ยังเหาะลงจากกำแพงเมืองเข้าไปในป้อมปราการอย่างรวดเร็วตามคำพูดของผู้เฒ่าจมูกแดง
ศิษย์บนกำแพงเมืองคนอื่นได้ยินก็ถอยกลับเข้าไปในเมืองอย่างว่องไวยิ่งนัก
ผู้เฒ่าจมูกแดงขยับร่างวูบเดียวก็เหาะขึ้นมาเหนือแท่นสูงของค่ายกลแสงทองใจกลางเมือง แล้วเอ่ยแผ่วเบากับเฉาฉางเฮ่อหลายประโยค
เฉาฉางเฮ่อพยักหน้า สองมือทำท่าเคล็ดวิชา ลำแสงสีทองแสบตาลอยขึ้นมาเหนือแท่นสูงทั้งหก เพียงครู่เดียวก็แผ่ออกมาแล้วทยอยผสานเข้าไปในม่านแสงสีเงินรอบด้าน ทำให้ผิวของม่านแสงมีประกายแสงสีทองเรืองรองออกมาเป็นพักๆ
เมื่อทำสิ่งเหล่านี้เสร็จแล้ว ผู้เฒ่าจมูกแดงกับผู้อาวุโสระดับดาราพยากรณ์สามคนที่เหลือก็รวมตัวกันอีกครั้งแล้วหารือกันเสียงเบา
ผู้ฝึกฝนที่อยู่ในเมืองมองทุกสิ่งรอบด้านอย่างตกตะลึง แต่ละคนเงียบงันไม่พูดไม่จา
หลิ่วหมิงเงยหน้ามองด้านบน สีหน้าแปรเปลี่ยนไปมาไม่หยุด
“ศิษย์น้องหลิ่ว เมื่อครู่ฟังจากที่เจ้าพูด เหมือนเจ้าจะรู้จักค่ายกลสุสานผีอันนี้หรือ?” เสี่ยวอู่ที่ยืนอยู่ข้างกายเขาจู่ๆ ก็เอ่ยปาก
“ก็พูดไม่ได้ว่ารู้จักนัก ข้าเพียงเคยเกี่ยวข้องกับศาสตร์ค่ายกลมาบ้าง จึงบังเอิญอ่านเจอข้อมูลที่เกี่ยวข้องในตำราบางเล่มที่นิกาย เป็นเช่นที่ผู้อาวุโสสูงสุดเอ่ยเมื่อครู่ หากยังอยู่ในค่ายกลนี้ ป้อมปราการไท่เทียนจะถูกตัดขาดการติดต่อทั้งหมดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง” หลิ่วหมิงรั้งสายตากลับมามองเสี่ยวอู่แล้วเอ่ยช้าๆ
เสี่ยวอู่ฟังจบคิ้วงามพลันขมวดมุ่น ในใจนางย่อมรู้ความสำคัญของป้อมปราการไท่เทียนกระจ่างชัดยิ่ง หากการติดต่อระหว่างที่นี่กับโลกภายนอกถูกตัดขาด เมืองทั้งสี่เช่นเมืองจินกวังเป็นต้นจะกลายเป็นเมืองเดียวดายทันที
“ที่แย่ยิ่งกว่าก็คือเล่าลือกันว่าค่ายกลสุสานผีเป็นค่ายกลที่ตกทอดมาจากเผ่าภูตผียุคโบราณเผ่าหนึ่ง นอกจากจะตัดขาดการส่งพลังเวทและจิตสัมผัสทั้งมวลแล้ว ยังมีจุดที่ร้ายกาจอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือ ค่ายกลนี้จะเปลี่ยนปราณจิตวิญญาณแห่งฟ้าดินในค่ายกลให้กลายเป็นปราณหยินบริสุทธิ์ไปเรื่อยๆ” หลิ่วหมิงยิ้มจืดเจื่อนแล้วเอ่ยขึ้นมาอีก
เสี่ยวอู่ฟังจบ ใบหน้าก็ซีดเผือดทันใด
หากอยู่ในปราณหยินหนาทึบ นางกับหลิ่วหมิงผู้ที่ฝึกฝนวิชาสายวิญญาณเช่นนี้ชั่วครู่ชั่วยามย่อมไม่มีปัญหาอันใด แต่คนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งศิษย์ประจำป้อมที่พลังต่ำต้อยเหล่านั้นคงทนได้ไม่นานอย่างแน่นอน