ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 1053 ศัตรูที่ไม่คาดคิด
เขาหรี่ตาทั้งสองข้างมองสำรวจแท่นบูชาเบื้องหน้าตั้งแต่ด้านบนจรดด้านล่าง
แท่นบูชานี้ทั้งแท่นก่อขึ้นมาจากศิลายักษ์สีดำนับไม่ถ้วน ศิลายักษ์แต่ละก้อนล้วนสลักลวดลายจิตวิญญาณยึกยือแลดูประหลาดเป็นรูปแบบบางอย่าง ปราณหยินสีดำเข้มข้นสายแล้วสายเล่ารอบด้านกำลังทะลักเข้าไปในลวดลายจิตวิญญาณประหลาดเหล่านี้ทำให้แท่นบูชาทั้งแท่นทอแสงเรืองๆ ดูลึกลับ
หลังจากหลิ่วหมิงรั้งสายตากลับไป ในใจก็พลันครุ่นคิด มือข้างหนึ่งยกขึ้นกวัก ศิลาสีดำสนิทก้อนหนึ่งที่ตีนเขาใกล้ๆ พุ่งเข้ามาในมือ
จะว่าไปแล้วศิลาบนภูเขาแห่งนี้แตกต่างจากในทางปีศาจร้ายก่อนหน้านี้อยู่มาก ศิลาสีเทาหม่นก้อนนี้หนายิ่งนัก ให้ความรู้สึกแข็งแกร่งแต่ไม่หนัก แล้วยังแผ่ลมปราณลึกลับเย็นยะเยือกสายหนึ่งออกมาอีกด้วย
เขากำศิลาเบาๆ ด้วยมือข้างเดียว เสียงเปรี๊ยะก็ดังขึ้น ศิลากลายเป็นผุยผงกองหนึ่งทันที ในเวลาเดียวกันนั้นปราณหยินสีเทาสายแล้วสายเล่าก็ลอยออกมาจากด้านในก้อนหิน วนเวียนอยู่กลางอากาศครู่หนึ่งแล้วมุดเข้าไปในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณสองใบข้างเอวเขา
จากนั้นถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณก็พลันขยับเล็กน้อย เสียงที่ค่อนข้างกระตือรือร้นของเซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์ดังออกมา
“นี่คืออะไร?” หลิ่วหมิงเอ่ยถามเรียบๆ
“นายท่าน ปราณหยินของที่แห่งนี้ต่างจากก่อนหน้านี้มาก ไม่เพียงเย็นยะเยือก แต่ยังแฝงพลังงานที่แข็งแกร่งกว่าเอาไว้ด้วย!” เซียเอ๋อร์ตอบเสียงอ่อนหวาน
“แม้ปราณหยินเหล่านี้จะบริสุทธิ์และเข้มข้นอย่างยิ่ง แต่ก็แปลกประหลาดอยู่เล็กน้อย พวกเราทั้งสองตนไม่เคยพบปราณหยินจำพวกนี้มาก่อน” เฟยเอ๋อร์เหมือนจะปรับตัวไม่ค่อยได้นัก เขาเอ่ยพึมพำออกมา
“พวกเจ้าอยู่ดีๆ ในถุงก่อน รอข้าสืบสภาพของที่แห่งนี้กระจ่างแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะปล่อยพวกเจ้าออกมาหรือไม่”
หลิ่วหมิงสั่งเสร็จก็พลิกฝ่ามือ แผ่นค่ายกลส่งสารสีขาวหม่นชิ้นหนึ่งร่วงลงมาในมือ เขาส่งเคล็ดวิชาสายหนึ่งเข้าไปด้านใน ผิวของแผ่นค่ายกลเปล่งแสงจิตวิญญาณวูบหนึ่งแล้วหมุนวนอย่างรวดเร็ว
แต่ครู่เดียวหลังจากนั้น แผ่นกลมก็หมุนช้าลงเรื่อยๆ จากนั้นส่งเสียงดัง “ฟุบ” เบาๆ ครั้งหนึ่งก่อนจะสลายไป
“ไม่ได้ผล!”
หลิ่วหมิงพึมพำประโยคหนึ่งแล้วขมวดคิ้วน้อยๆ
เกิดสภาพเช่นนี้คงไม่พ้นสาเหตุสองประการ ประการที่หนึ่งเขาถูกตัดขาดอยู่ในชั้นจำกัด ประการที่สองตนออกจากอาณาเขตของทางปีศาจร้ายมาอยู่ที่ดินแดนอื่นหรือแผ่นดินอื่นแล้ว ดังนั้นแผ่นค่ายกลส่งสารพิเศษของนิกายจึงเสื่อมฤทธิ์
ดูจากเงื่อนงำต่างๆ ก่อนหน้านี้ เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นสถานการณ์อย่างที่สอง
หลังจากเขาครุ่นคิดเล็กน้อยก็เก็บแผ่นค่ายกลส่งสารไป เขาหมุนตัวหยิบยันต์สีน้ำเงินอ่อนแผ่นหนึ่งออกมา จากนั้นวาดมือบนแผ่นยันต์อย่างรวดเร็ว
แต่ไม่ว่าเขาจะวาดอย่างไร ยันต์สีน้ำเงินอ่อนก็ไม่มีทีท่าจะขยับแม้แต่น้อย อีกทั้งแสงสีน้ำเงินที่อยู่บนผิวของมันยังหม่นแสงลงเรื่อยๆ เพราะอิทธิพลของปราณหยิน
หลิ่วหมิงมองยันต์ระบุตำแหน่งที่มักจะใช้ในยามปกติแผ่นนี้แล้วส่ายหัว เขาเก็บมันไปจากนั้นไม่พูดพร่ำตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณข้างเอวครั้งหนึ่ง ไอหมอกสีดำสายหนึ่งกับไอหมอกสีเขียวสายหนึ่งลอยตามกันออกมา
“พวกเจ้าสองตนมีปฏิกิริยากับปราณหยินในที่แห่งนี้เป็นพิเศษ ถ้าเช่นนั้นจงบอกข้าว่าปราณหยินทางใดเบาบางกว่า ทิศทางนั้นอาจเป็นทางออกจากที่แห่งนี้” หลิ่วหมิงเอ่ยถามอย่างนิ่งสงบ
“ทางนั้น!”
“ทางทิศนั้น!”
สิ้นเสียง เซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์ก็ชี้ไปทิศเดียวกันอย่างไม่ได้นัด
“ดี ถ้าเช่นนั้นพวกเราไป”
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ในใจก็วางใจขึ้นเล็กน้อย ปราณดำม้วนออกมารอบร่างโอบอสูรเลี้ยงทั้งสองตัวไว้ด้านใน จากนั้นกลายเป็นแสงสีดำสายหนึ่งเหาะเข้าไปในหมอกหนาทึบรอบนอกหุบเขา
ปรากฏว่าเหาะไม่หยุดเกือบครึ่งวัน ในที่สุดหลิ่วหมิงก็มาถึงสุดขอบของหมอกสีดำ เขามองผ่านไอหมอกเบาบางเห็นทุ่งราบสีฟ้าหม่นผืนยักษ์แห่งหนึ่งปรากฏอยู่เบื้องหน้า
ขณะที่เขาเพิ่งเหาะออกจากหมอกดำและกำลังคิดจะสำรวจทุ่งราบเบื้องหน้าอย่างละเอียด ทันใดนั้นก็เกิดคลื่นสั่นสะเทือนกลางอากาศใกล้ๆ ปราณเย็นยะเยือกสายหนึ่งโถมมาจากด้านข้าง
มันคือดาบแสงสีเทายาวสามสี่จั้งเล่มหนึ่ง!
หลิ่วหมิงขยับร่างเพียงเล็กน้อยตามสัญชาตญาณก็กลายเป็นเงาติดตาหลายร่าง หลบพ้นดาบแสงสีเทาไปอย่างง่ายดายดุจยกฝ่ามือ
เมื่อเขาหันศีรษะกลับไปมอง มุมปากก็กระตุกอย่างห้ามไม่ได้
ผู้ที่จู่โจมเขาคือบุรุษร่างกำยำที่จู่ๆ ปรากฏตัวออกมาจากความว่างเปล่าใกล้ๆ ตนหนึ่ง นอกจากผิวที่ซีดจนเป็นสีเทานิดๆ รูปร่างภายนอกก็ดูไม่แตกต่างจากผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ทั่วไป แต่สัมผัสพลังชีวิตเยี่ยงคนเป็นจากตัวของเขาไม่ได้แม้แต่น้อย
ด้านหลังร่างเขามีเมฆหมอกสีเทาก้อนแล้วก้อนเล่าลอยละล่องอยู่
อึดใจต่อมาก็เห็นบุรุษร่างใหญ่ผู้นี้ท่องมนตร์แผ่วเบาด้วยใบหน้าเรียบเฉย เมฆหมอกสีเทาด้านหลังร่างเขาเริ่มปั่นป่วน
จากนั้นผีร้ายหน้าตาอัปลักษณ์สารพัดแบบก็ทยอยปีนออกมาจากเมฆหมอกตัวแล้วตัวเล่าไม่หมดไม่สิ้น บางตนพ่นไอหมอก บางตนคำรามเบาๆ จำนวนมากมายจนทำให้คนรู้สึกขนหัวลุก
ทันทีที่ผีร้ายเหล่านี้ปรากฏตัว พวกมันต่างแย่งชิงกันโถมเข้ามาหาหลิ่วหมิง
“เหตุใดท่านต้องลงมือลอบโจมตีข้า แล้วสถานที่แห่งนี้คือที่ใด?”
หลิ่วหมิงกวาดจิตสัมผัสเพียงครู่เดียวก็พบว่าบุรุษร่างใหญ่ผู้นี้พลังระดับแก่นเสมือน ส่วนผีร้ายที่โถมมาเหล่านี้พลังเพียงระดับของเหลวจิตวิญญาณไปจนถึงระดับผลึกขั้นต้นเท่านั้น เขาไม่รีบร้อนลงมือแต่เอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา
บุรุษร่างใหญ่ผู้นี้กลับไม่มีเจตนาจะตอบคำถามของหลิ่วหมิงแม้แต่น้อย ร่างกายพร่าเลือนวูบหนึ่งก็พุ่งถอยหลังกลืนหายเข้าไปในหมอกภูตด้านหลังร่าง ส่วนผีร้ายเหล่านี้โถมออกมาอย่างบ้าคลั่งต่อ พวกมันรุมเข้ามาหาหลิ่วหมิงจากทุกทิศทุกทาง
หลิ่วหมิงเลิกคิ้วแล้วตบถุงหนังข้างเอว เงาสีเขียวร่างหนึ่งกับเงาสีดำร่างหนึ่งโฉบออกมาจากข้างเอวของเขา
เฟยเอ๋อร์กับเซียเอ๋อร์นั่นเอง!
“เซียเอ๋อร์ วันนี้พวกเรามาแข่งกันว่าใครฆ่าได้เยอะกว่า!” เฟยเอ๋อร์ปรากฏกายก็เอ่ยอย่างตื่นเต้นยิ่งนักทันที เขากระชากสร้อยลูกประคำแปดลูกที่คล้องอยู่บนลำคอลงมา แสงสีเขียวสว่างขึ้นวูบหนึ่ง พวกมันก็กลายเป็นร่างเด็กน้อยที่เหมือนกันทุกประการเก้าคนแล้วโถมเข้าใส่ภูตผีที่แห่เข้ามาจากทั่วทุกสารทิศอย่างรวดเร็ว
“เหอะ แข่งก็แข่งสิ!” ตราสัญลักษณ์รูปมงกุฎสีทองบนหน้าผากเซียเอ๋อร์กะพริบวิบวับไม่หยุด ทันทีที่แขนสองข้างยื่นออกไป แสงสีทองพลันผลุบโผล่ท่ามกลางหมู่ผีร้าย ผีร้ายตัวแล้วตัวเล่ากรีดร้องโหยหวนเมื่อถูกแสงสีทองโอบรัด
ในเวลาเดียวกันบุรุษร่างกำยำที่อยู่กลางหมอกสีเทากำลังจับจ้องหลิ่วหมิงอย่างเย็นชา นิ้วดีดต่อเนื่อง แสงสีเทากะพริบวูบวาบ คมดาบสีเทาสายแล้วสายเล่าพุ่งเร็วรี่มืดฟ้ามัวดินเข้าใส่หลิ่วหมิง
คมดาบสีเทาเหล่านี้ดูเหมือนธรรมดาแต่แฝงลมปราณที่เย็นยะเยือกที่สุดเอาไว้ แม้หลิ่วหมิงขยับร่างเพียงเล็กน้อยก็หลบพ้นการโจมตีอย่างง่ายดาย แต่ก็ยังเห็นว่าจุดที่คมดาบแสงพุ่งผ่าน อากาศบริเวณหนึ่งฉื่อกว่ารอบด้านล้วนบิดเบี้ยวเปลี่ยนรูป ปราณหยินที่แผ่ออกมาจากคมดาบแสงเย็นเยียบเสียดแทงกระดูก
ในตอนนี้เองปราณหยินสีเทาอ่อนรอบตัวบุรุษร่างกำยำพลันม้วนตัวเป็นลูกศรหมอกสีเทาดอกแล้วดอกเล่าพุ่งมาหาหลิ่วหมิงดุจเม็ดฝน พร้อมกันนั้นสองมือขยับเล็กน้อยไม่กี่หน คมดาบแสงสีเทาที่กระจายอยู่รอบด้านเหล่านั้นก็เปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็วกลางอากาศย้อนกลับมากระหน่ำฟันใส่แผ่นหลังของหลิ่วหมิง
แม้หลิ่วหมิงเผชิญกับการโจมตีด้านหน้าและด้านหลังพร้อมกัน แต่เขาก็ยังไม่มีทีท่าจะลงมือโจมตี เขาเพียงยกมือทำท่าเคล็ดวิชาติดต่อกันด้วยท่าทางสบายๆ ปล่อยคมดาบสายลมสีน้ำเงินสายแล้วสายเล่าพุ่งเข้าใส่คมดาบแสงสีเทาเหล่านั้น
ไม่ผิดจากที่เขาคาด พริบตาที่คมดาบสายลมสัมผัสถูกคมดาบแสงสีเทา พวกมันก็ฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยพังทลายกลายเป็นเปลวเพลิงสีเทาจุดแล้วจุดเล่า
หลิ่วหมิงกำลังจะหลบคมดาบแสงสีเทาเหล่านั้นพ้นอีกครั้ง ทันใดนั้นเปลวเพลิงสีเทารอบด้านพลันรวมตัวกันกลายเป็นโซ่สีเทาเส้นหนึ่งพุ่งมาล้อมร่างของหลิ่วหมิงเป็นวงหลายทบอย่างรวดเร็วดุจสายฟ้าแลบ
“ในที่สุดก็จับเจ้าได้แล้ว!”
บุรุษร่างกำยำเห็นเช่นนี้ ในที่สุดใบหน้าก็เผยรอยยิ้มออกมา แต่น้ำเสียงแหบพร่าเย็นเยียบ
อึดใจต่อมา คมดาบแสงสีเทามืดฟ้ามัวดินก็พากันพุ่งมาถึง!
“บึ๊ม” “บึ๊ม” เพลิงปราณสีเทาดวงหนึ่งที่อยู่กลางอากาศพุ่งขึ้นฟ้า
ไม่กี่ลมหายใจหลังจากนั้น เพลิงปราณสีเทาก็ค่อยๆ สลายตัว เงาดำที่ถูกโซ่เพลิงสีเทามัดเอาไว้กลับกลายเป็นหมอกสีดำสายแล้วสายเล่าสลายหายไป
“หลิ่วหมิง” ผู้นี้เป็นเพียงเงาลวงตาร่างหนึ่งเท่านั้น!
“ฟึบ”
ห่างไปร้อยกว่าจั้ง เงาสีน้ำเงินอีกร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้น หลิ่วหมิงยิ้มแต่ก็เหมือนไม่ยิ้มขณะที่ยืนเอามือไพล่หลังมองบุรุษร่างกำยำผู้นี้
แม้คนผู้นี้จะพลังไม่สูง พลังจิตก็ธรรมดาไม่โดดเด่น แต่วิชาสายวิญญาณที่ควบคุมปราณหยินมาโจมตีชนิดนี้กลับยอดเยี่ยมยิ่งนัก ทำให้หลิ่วหมิงลอบอุทานชื่นชมไม่ได้
ลงมือโจมตีหลายครั้งล้วนถูกหลิ่วหมิงสลายได้อย่างง่ายดายดุจยกฝ่ามือ แล้วอีกฝ่ายยังมีท่าทางไม่เอาจริงเช่นนี้อีก ในที่สุดบุรุษร่างใหญ่จึงเผยสีหน้าเคร่งเครียดออกมา ปราณหยินดุร้ายบนร่างยิ่งเข้มข้นขึ้นอีก
เขาตวาดลั่นคำหนึ่ง ทันใดนั้นผิวหนังสีซีดเทาก็มีเส้นเลือดสีเขียวปูดขึ้นมาเส้นแล้วเส้นเล่า ลวดลายจิตวิญญาณสีเทาค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนร่าง ปราณหยินรอบด้านไหลรินเข้ามาในผิวอย่างเชื่องช้า
เสียงหวีดหวิวดังสนั่นในทันใด! !
หลิ่วหมิงหรี่สองตาลง ร่างกายขยับวูบเดียวกลายเป็นเงาลวงสีดำสี่ร่างหายไปจากที่เดิม
แสงสีดำขยับไหวๆ
ทันใดนั้นเงาดำร่างหนึ่งก็ทะลวงผ่านหมอกสีเทาชั้นแล้วชั้นเล่ามาปรากฏตัวด้านหลังบุรุษร่างกำยำดุจภูตพราย
บุรุษร่างกำยำมีสีหน้าตกตะลึง ตอนที่เขาคิดจะหมุนตัวกลับมา สายลมแรงก็โจมตีต้องแผ่นหลัง ต่อจากนั้นความเจ็บปวดก็ตามมาติดๆ เงาหมัดสีดำสนิทมากมายโถมเข้ามาดุจสายฝนกระทบใบตอง
“ปั้ก” “ปั้ก” เสียงดังขึ้นหลายครั้ง บุรุษร่างกำยำถูกหลิ่วหมิงกระหน่ำโจมตีจนสูญเสียความรู้สึก ร่างกายทรุดยวบหล่นลงไปด้านล่าง
นับตั้งแต่หลิ่วหมิงลงมือโจมตีจนกระทั่งทำร้ายบุรุษร่างกำยำสำเร็จ เป็นเวลาชั่วสองลมหายใจเท่านั้น
ในเวลาเดียวกันนี้ผีร้ายเหล่านั้นที่เดิมทีตกเป็นรองอยู่แล้ว เมื่อสูญเสียนายผู้บัญชาการ พวกมันก็เหมือนฝูงมังกรขาดหัว เริ่มกรีดร้องเสียงแหลมหนีกระเจิงไปทุกทิศ
เซียเอ๋อร์เห็นเช่นนี้พลันหัวเราะเบาๆ มือข้างหนึ่งทำท่าเคล็ดวิชา แสงสีทองเปล่งออกมาจากบนหน้าผาก แสงสีทองผืนใหญ่แผ่ออกไปทั่วทุกสารทิศด้วยความเร็วที่ตาเปล่ามองเห็น ผีร้ายเหล่านั้นที่ถูกแสงสีทองห้อมล้อมต่างพากันกรีดร้องเสียงประหลาดอย่างทุกข์ทรมาน ร่างกายเชื่องช้าลงอย่างยิ่ง
เด็กน้อยชุดเขียวเก้าคนซึ่งเป็นร่างแปลงของเฟยเอ๋อร์ฉวยจังหวะนี้โฉบไปมาพร้อมกับอ้าปากพ่นเปลวเพลิงสีเทาดวงแล้วดวงเล่า กัดกร่อนผีร้ายเหล่านี้จนกลายเป็นเถ้าถ่าน
ไม่กี่ลมหายใจให้หลัง ผีร้ายชั้นต่ำเหล่านี้ก็ถูกเซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์ร่วมมือกันสังหารจนหมดสิ้น
“นายท่าน ท่านต้องการทำอย่างไรกับเจ้านี่?” เซียเอ๋อร์ปรากฏตัวข้างกายหลิ่วหมิงพลางจ้องบุรุษร่างใหญ่ที่ฟุบอยู่บนพื้นดินใกล้ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอ่อนหวาน
“คนผู้นี้ลอบจู่โจมผู้อื่นอย่างไร้สาเหตุย่อมต้องฉีกศพเขาเป็นหมื่นชิ้น” เวลานี้เฟยเอ๋อร์เก็บร่างแยกแปดร่างที่เหลือไปแล้ว เขามองบุรุษกำยำที่แน่นิ่งอยู่ด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม
“หาข้อมูลสักหน่อยก่อนแล้วค่อยว่ากัน บางทีอาจได้รู้ว่าตอนนี้พวกเราอยู่ที่ใดกันแน่”
หลิ่วหมิงพูดพลางขยับร่างมาปรากฏตัวข้างกายบุรุษร่างกำยำ หลังจากตรวจดูแล้วว่าเขาหมดสติอย่างสมบูรณ์ เขาก็พลันยื่นแขนออกไปกางนิ้วทั้งห้าจับที่กระหม่อมของเขา จากนั้นเริ่มใช้วิชาลับค้นวิญญาณกับคนผู้นี้