ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 1057 การมอบบรรณาการ
“ทุกท่านล้วนทราบว่าในแดนวารีมืดของพวกเรา ปกติแล้วเคล็ดวิชาชนิดนี้มีอยู่ในการครอบครองของกลุ่มอำนาจใหญ่ไม่กี่แห่งที่เมืองปี้โยวเท่านั้น ในโลกภายนอกหาพบยาก!” บุรุษเผ่ายมโลกที่นำเคล็ดวิชาออกมาในงานแลกเปลี่ยนเหมือนจะร้อนใจขึ้นมาเล็กน้อยจึงเอ่ยเสียงดัง
“ต่อให้หายากแล้วมีประโยชน์อันใด แม่น้ำมืดส่วนใหญ่อยู่ในที่ห่างไกล อันตรายรายล้อมรอบด้าน อีกทั้งการกลั่นหยดพลังวารีก็สิ้นเปลืองกำลังยิ่งนัก เมื่อกลั่นออกมาแล้วก็ขายให้ได้แค่กลุ่มอำนาจใหญ่บางแห่งที่จะนำไปหลอมอาวุธเวท เคล็ดวิชาพันกลั่นวารีนี่ตอนนี้เป็นของไร้ประโยชน์ชัดๆ”
“เจ้าเอาของชิ้นนี้มาเป็นครั้งที่สามแล้ว ไม่มีใครออกเงินซื้อหรอก เจ้าตัดใจเสียเถอะ”
“ถ้าหินยมโลกสักสองสามพันก้อน ข้าอาจจะรับไว้พิจารณาก็ได้นะ ฮ่าๆ!”
“พวกเจ้า…” เห็นชัดว่าคนที่อยู่หลังโต๊ะศิลาโกรธจนตัวสั่นน้อยๆ ทำให้ไอหมอกที่ล้อมอยู่รอบร่างกายเริ่มไหลเคลื่อนไม่หยุดไปด้วย
“พอแล้ว อีกสิบลมหายใจ หากไม่มีใครขานราคาก็เชิญท่านกลับที่นั่งเถิด” ในตอนนี้เองผู้เฒ่าหนวดยาวผู้นั้นด้านข้างโต๊ะหินก็เอ่ยปากขึ้นช้าๆ
“ข้าเอา”
ขณะที่คนผู้นี้ก้มหน้าอย่างหดหู่กำลังจะเก็บคัมภีร์บนโต๊ะศิลา เตรียมจะเดินลงไปนั่นเอง เสียงหนึ่งก็ดังโพล่งมาจากตรงมุม
คนไม่น้อยตกตะลึงเพราะคนที่เปล่งเสียงออกมาผู้นี้ พวกเขาอดไม่ได้พากันหันมองตามเสียงไป อยากจะดูว่าผู้ที่ยอมจ่ายเงินก้อนโตซื้อสิ่งที่คนมากมายมองว่าเป็นสิ่งไร้ประโยชน์ชิ้นนี้เป็นเทพเทวาจากที่ใด
ผู้ที่ขายเคล็ดวิชากลั่นวารีผู้นั้นได้ยิน ร่างกายพลันหยุดกึกอยู่ที่เดิมแล้วหันมองมาพร้อมกัน
ผู้ที่ให้ราคาอยู่ตรงมุม เขามีไอหมอกสีเทาขมุกขมัวกลุ่มหนึ่งล้อมอยู่รอบตัวเช่นเดียวกับคนอื่นๆ
หลิ่วหมิงนั่นเอง
เมื่อมีเคล็ดวิชานี้ เขาย่อมเดินทางไปตามหาแม่น้ำมืดได้อย่างไม่ต้องกังวลอีกต่อไป เมื่อใช้น้ำจากแม่น้ำมืดชะล้างร่างกาย ฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำขั้นท้ายเสร็จ เขาก็จะหลอมมุกบรรพตธาราสิบสองลูกให้ลุล่วงในคราวเดียวกัน
“อ้อ? ท่านยินดีใช้หินยมโลกหนึ่งหมื่นก้อนซื้อเคล็ดวิชากลั่นวารีหรือ?” ผู้เฒ่าหนวดยาวข้างโต๊ะหินได้ยินก็หันสายตามาในเวลาเดียวกัน แล้วเลิกคิ้วเอ่ยถามขึ้นมา
“ข้านำหินยมโลกมาไม่พอ แต่จะเอาของสิ่งนี้จ่ายที่เหลือ” หลิ่วหมิงเอ่ยพลางก็ลุกขึ้นยืน ร่างกายขยับวูบเดียวมาปรากฏตรงหน้าโต๊ะหิน มือข้างหนึ่งลูบบนแหวนสีดำที่มือขวา ปีกสีเงินยวงกว้างหนึ่งจั้งกว่าคู่หนึ่งโผล่ขึ้นมาบนโต๊ะหิน
ขนเส้นแล้วเส้นเล่าวบนปีกทอแสงสีเงินประหนึ่งสร้างจากเงินบริสุทธิ์ บนผิวมีปราณสีดำลอยวนเวียนส่งเสียงครวญครางทุ้มต่ำออกมาแผ่วเบา
“นี่หรือว่าจะเป็น…ปีกของอสูรแห่งความมืดภูตนกเค้าแมวระดับแก่นแท้!”
“จิ๊ๆ ปีกของภูตนกเค้าแมวแข็งแกร่งดุจหินผา แต่เบาดั่งขนห่าน เป็นวัตถุดิบชั้นยอดสำหรับสร้างอาวุธจำพวกปีกที่หาได้ไม่มาก!”
เห็นชัดว่าผู้ที่มาเข้าร่วมงานแลกเปลี่ยนครั้งนี้ แต่ละคนล้วนสายตาไม่ธรรมดา อยู่ห่างไกลเช่นนี้ยังแยกแยะสิ่งนี้ออกอย่างรวดเร็วและถูกต้องแปดเก้าส่วนในสิบส่วน
“ไม่เลว ปีกของภูตนกเค้าแมวระดับแก่นแท้ขั้นกลางคู่หนึ่ง เก็บรักษาได้สมบูรณ์ หากสองฝั่งไม่ติดขัดย่อมแลกเปลี่ยนกันได้” ผู้เฒ่าหนวดยาวดวงตาทอประกายวูบหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่รีบไม่ช้า
“ข้าจะใช้ของสิ่งนี้กับหินยมโลกอีกห้าพันก้อนแลกเคล็ดวิชากลั่นวารีของท่านได้หรือไม่” หลิ่วหมิงฟังจบก็เคลื่อนสายตาไปหาคนด้านหลังโต๊ะหินแล้วเอ่ยถาม
“เรื่องนี้…ไม่ปิดบังท่าน ข้าต้องรีบใช้หินยมโลกจึงคิดจะปล่อยเคล็ดวิชานี้ ในเมื่อท่านนำปีกอสูรแห่งความมืดระดับแก่นแท้คู่นี้ออกมาก็นับว่ามีความจริงใจ หากท่านยอมเพิ่มหินยมโลกเป็นหกพันก้อน ข้าก็จะยอมทนปวดใจยกให้” ผลปรากฏว่าคนผู้นี้กลับแสดงท่าทีไม่ใคร่จะยินดีออกมาแล้วยังพูดจาอ้อมค้อม
หลิ่วหมิงเห็นคนผู้นี้ท่าทียึกยักเหมือนเจตนาจะขึ้นราคาก็ขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้
“สหายท่านนี้ ข้ายินดีให้หินยมโลกสี่พันสองร้อยก้อนซื้อปีกภูตนกเค้าแมวคู่นี้ ไม่ทราบท่านยินดีหรือไม่?” ปรากฏว่าคนที่อยู่ด้านล่างเวทีได้ยินกลับเริ่มให้ราคาแก่หลิ่วหมิงแล้ว
“ข้ายินดีให้หินยมโลกสี่พันห้าร้อยก้อน…” อีกเสียงหนึ่งถามขึ้นอย่ากระตือรือร้นยิ่งนัก
“ข้าให้สี่พันแปดร้อย ขายให้ข้าเถอะ” เพิ่งเอ่ยจบ ก็มีอีกเสียงหนึ่งตะโกนกลบ
“เดี๋ยว เดี๋ยว! ข้าคิดดูแล้ว ในเมื่อท่านจริงใจเช่นนี้ ก็เอาตามราคาที่ท่านพูดก่อนหน้านี้เถิด ยกให้ท่าน” คนผู้นั้นเห็นปีกภูตนกเค้าแมวที่หลิ่วหมิงนำออกมาท่าทางเหมือนจะมีคนให้ราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ ความคิดเดิมจึงหายไปกว่าครึ่งทันที เขารีบร้อนออกปากห้ามแล้วชิงโยนคัมภีร์มาให้ก่อน
หลิ่วหมิงรับคัมภีร์ไปแล้วกวาดจิตสัมผัสอย่างรวดเร็ว หลังจากตรวจสอบแล้วว่าไม่ผิดพลาดจึงแค่นเสียงเหอะออกมาคำหนึ่ง จากนั้นหยิบถุงใบหนึ่งออกมานับหินยมโลกระดับกลางห้าสิบก้อนกวาดส่งไปให้อีกฝ่ายพร้อมกับปีกสีเงินบนโต๊ะ
แล้วเขาก็ลุกขึ้นกลับไปที่นั่ง
เมื่อเผ่ายมโลกผู้นั้นลงไปจากด้านหลังโต๊ะหิน งานแลกเปลี่ยนก็ดำเนินต่อไป
หลังจากนั้นมีคนอีกไม่น้อยก้าวขึ้นไปนำสมบัติของตนเองออกมาเรียกราคาที่ตนเองต้องการ
ในตอนหลังถึงขนาดที่มีอาวุธยมโลกที่เป็นของเฉพาะของเผ่ายมโลกอีกไม่น้อย
พูดถึงอาวุธยมโลกเหล่านี้ ในหนึ่งเดือนกว่าที่ผ่านมานี้หลิ่วหมิงย่อมทำความรู้จักมาบ้างแล้ว
อาวุธยมโลกส่วนใหญ่ใช้วัตถุดิบจากร่างของภูตผีผสานกับหินแร่ที่มีเฉพาะในแดนยมโลกอีกจำนวนหนึ่งสร้างขึ้นมา สิ่งที่แตกต่างจากอาวุธจิตวิญญาณก็คืออาวุธยมโลกต้องถ่ายเทปราณหยินเข้าไปจึงจะใช้งานได้
ชั้นจำกัดที่สลักอยู่บนผิวของอาวุธยมโลกถูกเรียกว่าลวดลายยมโลก เช่นเดียวกับอาวุธจิตวิญญาณ พวกมันแบ่งออกเป็นเก้าขั้นและแบ่งออกเป็นระดับล่าง ระดับกลาง ระดับสูงกับระดับสุดยอด เมื่อทะลวงผ่านชั้นจำกัดลวดลายยมโลกทั้งสามสิบหกชั้นได้ก็จะกลายเป็นอาวุธเวทเช่นเดียวกัน
เนื่องจากวิชาที่เผ่ายมโลกฝึกฝนในยมโลกคือวิชาสายวิญญาณ อีกทั้งปราณหยินในดินแดนบริสุทธิ์อย่างยิ่ง ดังนั้นระดับทักษะการควบคุมและความคุ้นเคยที่มีต่อปราณหยินของเผ่ายมโลกเหล่านี้จึงเหนือกว่าเผ่ามนุษย์อย่างที่เทียบกันไม่ได้ ด้วยเหตุนี้คุณภาพของอาวุโยมโลกที่เผ่ายมโลกสร้างขึ้นจึงยอดเยี่ยมยิ่งนักและมีจำนวนมากกว่าบนแผ่นดินจงเทียนมาก จนถึงขั้นที่อาวุธยมโลกที่เสร็จสมบูรณ์ส่วนใหญ่มักปรากฏออกมาเป็นชุด
สินค้าหลักของงานแลกเปลี่ยนครั้งนี้ก็คือดาบกระดูกระดับต้นแบบอาวุธเวทหกเล่มชุดหนึ่ง พวกมันทำมาจากกระดูกขาหกชิ้นของอสูรแห่งความมืดภูตราชสีห์หกขาระดับแก่นแท้ตัวหนึ่ง ใช้วิธีการเดียวกันสลักลวดลายยมโลกสามสิบหกชั้นเอาไว้ พลังย่อมไม่อาจดูแคลนได้
ทรัพย์สมบัติในตอนนี้ของหลิ่วหมิงย่อมไม่อาจซื้ออาวุธระดับนี้ได้ ในที่สุดอาวุธชิ้นนี้ก็ถูกประมูลไปด้วยราคาสูงเทียมฟ้าหินยมโลกห้าหมื่นแปดพันก้อน
แต่ก่อนหน้านั้นหลิ่วหมิงใช้วัตถุดิบจากภูตผีระดับแก่นแท้อีกสองชิ้นที่ตัวบวกกับหินยมโลกอีกสามพันก้อนแลกอาวุธยมโลกระดับต้นแบบอาวุธเวทมาชิ้นหนึ่ง มันคือ ‘กระบี่วิญญาณมืดแม่ลูก’ ซึ่งเป็นกระบี่บินชุดประกอบด้วยเล่มยาวหนึ่งเล่มกับเล่มสั้นหนึ่งเล่ม
อย่างไรตนก็ต้องอยู่ในยมโลกแห่งนี้อีกระยะหนึ่ง ยามอยู่ต่อหน้าผู้อื่น นอกจากวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ วิชามากมายที่เหลือกับอาวุธจิตวิญญาณของเผ่ามนุษย์อีกจำนวนมากย่อมไม่สะดวกจะใช้ กระบี่บินชุดนี้พอดีคลี่คลายปัญหาเร่งด่วนได้พอดี
……
ครึ่งวันให้หลัง ในห้องลับของโรงเตี๊ยมเล็กๆ ในมุมอันอับเฉาของเมืองเหลิ่งเยวี่ย หลิ่วหมิงมองหีบกระบี่สีเทาหีบหนึ่งในมือและคัมภีร์โทรมๆ เล่มหนึ่งด้วยสีหน้ายินดีปรีดา
เพียงนำวัตถุดิบจากภูตผีที่ไม่มีประโยชน์อันใดกับตนจำนวนหนึ่งกับหินยมโลกอีกส่วนหนึ่งไปแลกก็ได้ของเหล่านี้มา เป็นเรื่องน่ายินดีที่คิดไม่ถึงเรื่องหนึ่งจริงๆ
ทว่าตนนำวัตถุดิบจากภูตผีระดับแก่นแท้ออกมาติดกันถึงสามชิ้นแล้วยังซื้อเคล็ดวิชาที่ถูกมองว่าไร้ประโยชน์มาอีกเล่มหนึ่ง ใช้จ่ายมือเติบอยู่บ้างจริงๆ จนดึงความสนใจของคนบางพวกมา
เขาตัดสินใจว่าหลังจากนี้ช่วงเวลาหนึ่งจะเก็บตัวอยู่ในที่พักไม่ออกไปข้างนอก
ครึ่งปีกว่าหลังจากนั้นหลิ่วหมิงก็คอยเปลี่ยนโรงเตี๊ยมเป็นระยะ ระหว่างนั้นนอกจากเข้าไปในเมืองสืบหาข่าวคราวก็จงใจอยู่ในที่พัก ศึกษาเคล็ดวิชาที่ใช้กลั่นหยดพลังวารีนี้อย่างละเอียด
ครึ่งค่อนปีผ่านไป
ด้านหน้าจวนเจ้าเมืองของเมืองเหลิ่งเยวี่ยมีพื้นที่ว่างรูปวงกลมขนาดหนึ่งหมู่กว่าอยู่ผืนหนึ่ง ที่ตรงนี้ก็คือลานกลางเมือง
บนลานมีกำแพงหยกสีดำมหึมาขนาดเจ็ดแปดจั้งแผ่นหนึ่ง บนนั้นจะมีประกาศภารกิจนานาชนิดแปะอยู่เป็นระยะ
เวลานี้เป็นยามเที่ยงวันซึ่งดวงตะวันมืดเต็มดวงที่สุดในหนึ่งวัน ทั่วทั้งเมืองเหลิ่งเยวี่ยเต็มไปด้วยปราณหยินสีดำหนาทึบ บนลานใจกลางเมืองย่อมใช่ข้อยกเว้น
หน้ากำแพงหยกสีดำตรงกลางมีคนมากมายรายล้อมอยู่ เป็นภาพที่คึกคักไม่ธรรมดา
“เจ้าเมืองประกาศรับยอดฝีมือทำภารกิจคุ้มกัน อืม…นับวันดูก็น่าจะถึงเวลาแล้ว” ผู้เฒ่าเผ่ายมโลกผู้มีผมขาวโพลนตนหนึ่งมองบรรทัดบนสุดของกำพงหยกสีดำแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ
“ผู้อาวุโสท่านนี้ไม่ทราบว่าภารกิจคุ้มกันนี้มีอันใดหรือ?” บุรุษร่างใหญ่สูงเจ็ดฉื่อที่สวมชุดสีน้ำเงินตนหนึ่งด้านข้างผู้เฒ่าเอ่ยถามอย่างสงสัยเล็กน้อย
“ท่านไม่รู้เรื่องของบรรณาการหรือ?” ผู้เฒ่าได้ยินก็ถามพร้อมสีหน้าสงสัย
“ไม่ปิดบังผู้อาวุโส ข้ามาถึงเมืองเหลิ่งเยวี่ยแห่งนี้ไม่นาน ไม่รู้เรื่องนี้นัก ขอผู้อาวุโสโปรดชี้แนะ” บุรุษร่างใหญ่ชุดสีน้ำเงินเอ่ยอย่างนอบน้อม ไม่เปลี่ยนสีหน้าสักนิด
“อ้อ ถ้าเช่นนั้นก็ไม่แปลก จะว่าไปแล้วเรื่องของบรรณาการนี้เป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งในแดนวารีมืดของพวกเรา…” ผู้เฒ่าเหมือนจะรู้เรื่องนี้ดีอย่างยิ่ง จึงเล่าความเป็นมาเป็นไปตั้งแต่ต้นจนจบให้ฟังรอบหนึ่ง
ที่แท้ทุกห้าสิบปี กลุ่มอำนาจเผ่ายมโลกน้อยใหญ่ในแดนวารีมืดรวมถึงเมืองเหลิ่งเยวี่ยล้วนจะต้องส่งสมบัติส่วนหนึ่งไปเป็นบรรณาการแก่เมืองปี้โยวซึ่งเป็นเมืองเอกของแดนวารีมืดเพื่อแสดงความเคารพและความสวามิภักดิ์
เนื่องจากกลุ่มอำนาจเผ่ายมโลกแต่ละแห่งอยู่ห่างจากเมืองปี้โยวไม่เท่ากัน ระหว่างทางย่อมเกิดสถานการณ์ที่คิดไม่ถึงได้นานาชนิด ผนวกกับระหว่างกลุ่มอำนาจของเผ่ายมโลกแต่ละแห่งอาจจะใช้โอกาสนี้ต่อสู้กัน ด้วยเหตุนี้การเดินทางไปส่งมอบสมบัติจึงอันตรายอย่างยิ่ง ขบวนคนคุ้มกันของกลุ่มอำนาจเผ่ายมโลกกลุ่มต่างๆ ล้วนเกิดเหตุการณ์บาดเจ็บล้มตายจำนวนมากหรือจบชีวิตทั้งขบวนอยู่บ่อยครั้ง
แต่ของบรรณนาการจำเป็นต้องส่งไป ด้านหนึ่งการส่งบรรณาการเป็นการแสดงพลังของกลุ่มอำนาจเผ่ายมโลกแต่ละแห่ง กลุ่มอำนาจเผ่ายมโลกที่แม้แต่การส่งสมบัติมาบรรณาการก็ยังทำไม่ได้ จะถูกกลุ่มอำนาจเผ่ายมโลกกลุ่มอื่นมองว่าอ่อนแอและถูกกีดกันในด้านต่างๆ
อีกด้านหนึ่งสมบัติที่แต่ละกลุ่มอำนาจส่งมาบรรณาการจะเป็นตัวตัดสินตำแหน่งของกลุ่มอำนาจเผ่ายมโลกแต่ละแห่งในใจของราชายมโลกปี้โยว หากสูญเสียความเชื่อมั่นจากราชายมโลกไปแล้วย่อมถูกมองว่าเป็นกลุ่มอำนาจเผ่ายมโลกที่อ่อนแอ ไม่อาจดำรงอยู่ในแดนวารีมืดแห่งนี้ได้ ไม่นานก็จะถูกกลุ่มอำนาจเผ่ายมโลกกลุ่มอื่นกลืนกิน
ถึงขนาดที่มีคนคาดเดาว่าท่านปี้โยวจงใจใช้การส่งบรรณาการนี้มาคัดผู้อ่อนแอ เลือกผู้แข็งแกร่ง เพื่อฝึกปรือกลุ่มอำนาจเผ่ายมโลกในความดูแลของเขา
“หากเป็นเช่นนี้ กลุ่มอำนาจเผ่ายมโลกแต่ละแห่งส่งยอดฝีมือไปก็ทำภารกิจคุ้มกันให้ลุล่วงได้แล้วสิ” บุรุษร่างใหญ่ชุดน้ำเงินได้ยินก็เอ่ยอย่างเรียบเฉย
“หากเจ้าคิดเช่นนี้ก็ผิดมหันต์แล้ว แม้ไม่มีการตั้งกฎชัดเจนเกี่ยวกับระดับพลังของสมาชิกในขบวนส่งบรรณาการของเผ่ายมโลกแต่ละแห่ง แต่กลุ่มอำนาจเผ่ายมโลกแต่ละแห่งโดยทั่วไปล้วนจะไม่ส่งเผ่ายมโลกที่พลังสูงกว่าระดับแก่นแท้ไป เพื่อไม่ให้ถูกกลุ่มอำนาจอื่นหัวเราะเยาะ ในเวลาเดียวกันก็เพื่อไม่ให้ขัดความต้องการของท่านปี้โยวที่จะฝึกปรือเผ่ายมโลกรุ่นหลัง ด้วยเหตุนี้การส่งมอบบรรณาการทุกครั้ง แม้จะต้องทุ่มเต็มกำลังแต่ก็จะส่งคนระดับผลึกจนถึงระดับแก่นแท้ไปเท่านั้น” ผู้เฒ่าลูบหนวดเคราพลางเอ่ยอธิบายช้าๆ