ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 1061 หุบเขาสิ้นสูญ
“พลคุ้มกันพวกนี้ใช้แค่อวดให้ดูยิ่งใหญ่ก็เท่านั้น มีแต่พวกใช้การไม่ได้!” บุรุษผู้มีรอยแผลเป็นแดงอยู่ซีกบนของใบหน้าอีกตนหนึ่งติเสียงเบา
“ฮ่ะๆ ดูก็รู้ว่าพวกเจ้าเข้าร่วมภารกิจเช่นนี้เป็นครั้งแรก ภารกิจอย่างการส่งมอบบรรณาการน่ะ แม้ว่าการทำให้ดูโอ้อวดจะนำความยุ่งยากที่ไม่จำเป็นมาให้ ทว่าเมืองใหญ่แต่ละแห่งล้วนพยายามทำให้ใหญ่โตอย่างเต็มที่ อย่างไรนี่ก็เป็นช่วงเวลาสำหรับแสดงพลังของแต่ละแห่ง ท่านปี้โยวเองก็กระตือรือร้นจะเฝ้าดู ไม่เช่นนั้นของบรรณาการน้อยนิดเท่านั้นใช้ยอดฝีมือที่พลังแข็งแกร่งหลายตนคุ้มครองไปอย่างลับๆ จะไม่ปลอดภัยกว่าหรือ” บุรุษตัวใหญ่เคราเฟิ้มที่รูปร่างค่อนข้างกำยำอีกตนหนึ่งหัวเราะฮ่ะๆ เอ่ยขึ้นมา
เดิมทีในใจหลิ่วหมิงไม่สนใจเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว ด้วยเหตุนั้นเขาจึงไม่สนใจคนเหล่านี้ด้วย แต่เขากวาดสายตาไปมองสิ่งก่อสร้างทรงกลมสีเทาหม่นเหล่านั้นที่อยู่บนหลังของภูตขนาดยักษ์หน้าตาเหมือนค้างคาวที่อยู่ด้านข้าง
“สหายอิ่นหาน ดูสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับภูตเหล่านี้?” ในตอนนี้เองบุรุษเผ่ายมโลกดวงตาสีเขียวผู้นั้นก็เดินมาถึงข้างกายหลิ่วหมิงเหมือนไม่ได้ตั้งใจแล้วเอ่ยขึ้นมากะทันหัน
“ดูท่าสหายจะรู้จักสัตว์พวกนี้ โปรดชี้แนะสักหน่อย” หลิ่วหมิงเลิกคิ้วแล้วยิ้มน้อยๆ เอ่ยขึ้นมา
“ฮ่ะๆ คงไม่กล้าเรียกว่าชี้แนะ ภูตเหล่านี้ชื่อว่า “รถภูตค้างคาว” พลังไม่อ่อนแอแต่นิสัยขี้ขลาด อีกทั้งสติปัญญาต่ำเตี้ยอย่างยิ่ง ยังดีที่พละกำลังกับความเร็วน่าทึ่งยิ่งนัก ดังนั้นจึงกลายเป็นพาหนะชนิดหนึ่งที่เมืองใหญ่แต่ละแห่งนิยมชมชอบ รถภูตค้างคาวนี้ถูกกลุ่มอำนาจใหญ่แต่ละแห่งตามล่าตามจับบ่อยครั้ง ปัจจุบันจึงหายาก มูลค่าพุ่งขึ้นไปถึงหลายแสนหินยมโลกและมักจะของขาดตลาด ด้วยเหตุนี้ จำนวนรถภูตค้างคาวในขบวนบรรณาการของกลุ่มอำนาจใหญ่แต่ละแห่งจึงกลายเป็นการแข่งขันพลังระหว่างแต่ละกลุ่มอำนาจใหญ่อย่างอ้อมๆ” บุรุษตาเขียวยิ้มตาหยีขณะที่เอ่ยเล่า
“ที่แท้เป็นเช่นนี้ ของหายากเช่นนี้ มิน่าข้าจึงไม่เคยเห็นมาก่อน สหายรอบรู้กว้างขวาง ดูเหมือนไม่ใช่คนของเมืองเหลิ่งเยวี่ย ยังไม่ได้ถามชื่อเสียงเรียงนามเลย” หลิ่วหมิงพยักหน้าน้อยๆ ถามขึ้นมาอย่างสบายๆ
“ฮ่ะๆ ข้านามว่าปี้เหยียนเป็นผู้ฝึกฝนของเมืองปี้โยว หลายปีก่อนตระเวนเดินทางในแดนวารีมืดเพื่อหาโอกาสทะลวงคอขวด วันนี้เลื่อนเข้าสู่ระดับแก่นแท้แล้วจึงต้องการกลับไป บังเอิญเห็นเจ้าเมืองเหลิ่งเยวี่ยรับสมัครขบวนคุ้มกันพอดีจึงสนใจสมัครเข้าร่วม สหายอิ่นหานพลังระดับแก่นเสมอนกลับเข้ามาอยู่ในขบวนคุ้มกันครั้งนี้ได้ ข้านับถือยิ่งนัก” บุรุษดวงตาสีหยกไม่ปิดบัง เอ่ยบอกตามตรง
หลิ่วหมิงเห็นคนผู้นี้ค่อนข้างตรงไปตรงมา หลังจากตอบประโยคถ่อมตนกลับไปหนึ่งประโยคจึงสนทนาสัพเพเหระกับอีกฝ่ายต่อ
“เอาล่ะ ได้เวลาแล้ว ครั้งนี้เดินทางไปเมืองปี้โยว หนทางยาวไกลนักอีกทั้งยังอันตรายอย่างยิ่ง แต่ข้าเชื่อมั่นว่าทหารเมืองเหลิ่งเยวี่ยของข้าเมื่อพบความท้าทายจะฟันฝ่าขวากหนามเดินหน้าอย่างกล้าหาญ” เหลิ่งเยวี่ยเงยหน้ามองดวงตะวันมืดบนท้องฟ้า แล้วเอ่ยแต่ละคำออกมาเสียงดังกังวาน
“ท่านเหลิ่งเยวี่ยโปรดวางใจ พวกเรารับรองว่าจะไปถึงอย่างราบรื่น!”แม่ทัพมืดผู้สวมชุดเกราะสีเงินห้าตนที่อยู่ด้านหน้าสีหน้าเคร่งขรึมตะโกนตอบเสียงดัง
“รับรองว่าจะไปถึงอย่างราบรื่น!” ทหารคุ้มกันเผ่ายมโลกห้าร้อยนายที่อยู่หลังร่างพวกเขาก็เรียกขวัญกำลังใจ ตะโกนลั่นพร้อมกันโดยไม่ได้นัด
“ดีมาก เมื่อทุกท่านทำภารกิจลุล่วงกลับมา ข้าจะมีรางวัลให้อย่างงาม” เหลิ่งเยวี่ยพยักหน้าน้อยๆ พูดประโยคสุดท้ายนี้ สายตาจับอยู่บนร่างพวกหลิ่วหมิงสิบตน
“จะไม่ทำให้ท่านเจ้าเมืองผิดหวัง!” พวกหลิ่วหมิงสิบตนย่อมค้อมกายเอ่ยออกมา
“เหลิ่งเหมิง เจ้าเป็นหัวหน้าขบวนครั้งนี้ เรื่องหลังจากนี้มอบให้เจ้าแล้ว” สุดท้ายเหลิ่งเยวี่ยก็หยุดสายตาบนร่างแม่ทัพมืดที่สวมเกราะสีเงินตนหนึ่งที่อยู่ด้านหน้ากองทัพตรงกลางแล้วเอ่ยขึ้นเอื่อยๆ
“ขอรับ!”
เผ่ายมโลกผู้นั้นสูงสามจั้ง ใบหน้ามีเหลี่ยมมุมของกระดูกอยู่ไม่น้อย เมื่อได้ยินเขาพลันก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง ประสานมือตอบสีหน้าเคร่งขรึม
เหลิ่งเยวี่ยเห็นเช่นนี้จึงเผยรอยยิ้มน้อยๆ
“ทุกคนขึ้นรถภูตค้างคาว ผู้คุ้มกันทั้งสิบเชิญตามข้ามาขึ้นรถคันหลัก!” เหลิ่งเหมิงหันกลับมาสั่งเสียงดังในทันใด
ผู้คุ้มกันเผ่ายมโลกในห้ากองทัพได้ยินก็พลันทะยานร่างเหาะขึ้นไปบนหลังรถภูตค้างคาวตามลำดับ
พวกหลิ่วหมิงสิบตนได้ยินย่อมไม่กล้าชักช้า หลังจากพวกเหลิ่งเหมิงขึ้นไปบนรถภูตค้างคาวตรงกลางแล้ว พวกเขาก็ทะยานร่างเหาะขึ้นไปบนหลังภูตสัตว์ตามลำดับ ยืนอยู่ด้านหลังเหลิ่งเหมิง
อึดใจต่อมา มือของเจ้าเมืองเหลิ่งเยวี่ยพลันทำท่าเคล็ดวิชาจากนั้นชี้ไปยังร่างสัตว์ยักษ์ทั้งหลาย แสงสีเงินสายแล้วสายเล่าพุ่งพรวดออกมาก่อนจะจมหายไปบนแผ่นหลังของภูตสัตว์ร่างยักษ์
เสียงหวีดแหลมดังสะเทือนฟ้าดังกระหึ่มออกมาจากปากของรถภูตค้างคาว!
เสียงหวีดแหลมพุ่งตรงขึ้นไปบนท้องฟ้า เหมือนภูตผีคร่ำครวญแต่ก็เหมือนเสียงวิหค
ต่อจากนั้นหลิ่วหมิงพลันรู้สึกว่าใต้เท้าสั่นสะเทือน รถภูตค้างคาวที่เขายืนอยู่เหินขึ้นฟ้านำเป็นตัวแรก!
รถภูตค้างคาวอีกสี่ลำเหาะขึ้นมาตามลำดับ แล้วแบ่งอยู่สองฝั่งของรถภูตค้างคาวคันที่หลิ่วหมิงอยู่ สัตว์ยักษ์มหึมาห้าตัวเรียงแถวเป็นรูปหัวลูกศรเหาะจากไปไกลอย่างรวดเร็ว
หลิ่วหมิงรู้สึกว่าทิวทัศน์สองฟากฝั่งเปลี่ยนไปเร็วไว ความเร็วของรถภูตคันนี้ไม่ด้อยกว่ายามเขาขี่กระบี่เหาะแม้แต่น้อย!
“ทุกท่าน การเดินทางไปเมืองปี้โยวครั้งนี้หนทางยาวไกล นอกจากเผ่าภูตผีต่างๆ และอันตรายที่อยู่ในธรรมชาติ ข้ารู้มาว่ายังมีกลุ่มอำนาจใหญ่แห่งอื่นคอยจับตาอยู่ ด้วยเหตุนี้ขอให้ทุกท่านทุ่มเทแรงกายแรงใจ เชื่อว่าท่านเจ้าเมืองจะไม่ให้พวกท่านขาดทุน เวลาปกติทุกท่านเข้าออกห้องลับที่จัดไว้ให้แต่ละคนได้ตามสะดวก ทิวทัศน์ระหว่างทางก็ไม่เลว” หลังบินออกมาพ้นอาณาเขตของเมืองเหลิ่งเยวี่ย เหลิ่งเหมิงก็หันไปเอ่ยเอื่อยๆ กับพวกหลิ่วหมิงสิบคน
“หัวหน้าเหลิ่งโปรดวางใจ! หากกลุ่มอำนาจพวกนั้นกล้ามาบุก พวกเราย่อมทำให้พวกเขามาไม่ได้กลับ!” บุรุษร่างใหญ่เผ่ายมโลกที่ควบคุมวานรยักษ์เป็นผู้ที่ระดับพลังสูงสุดในกลุ่มหลิ่วหมิง เมื่อเหลิ่งเหมิ่งเอ่ยจบจึงเอ่ยตอบเสียงดังทันที
คนที่เหลือก็พากันเอ่ยตาม
แม้หลิ่วหมิงไม่ได้เอ่ยวาจาแต่สีหน้าเป็นปกติ ส่วนปี้เหยียนกลับทำหน้าเหมือนอย่างไรก็ได้
เหลิ่งเหมิงเห็นเช่นนี้จึงพยักหน้าแล้วหันหลังกลับไปบังคับรถภูตสัตว์ต่อ
นอกจากผู้คุ้มกันจากเมืองเหลิ่งเยวี่ยยี่สิบตนที่ถูกแบ่งไปเฝ้าระวังสองฝั่งของรถภูตสัตว์ คนที่เหลือส่วนใหญ่ล้วนกลับไปอยู่ในห้องลับของตนเอง
เวลาหนึ่งเดือนกว่าหลังจากนั้น รถภูตสัตว์ทั้งหมดเดินทางตามเส้นทางที่วางแผนไว้ ใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายสองสามครั้ง ตลอดทางราบรื่นอย่างยิ่ง ไม่มีเรื่องไม่คาดฝันอันใดเกิดขึ้น
เวลาส่วนใหญ่หลิ่วหมิงอยู่ในห้องลับของตนเอง แต่ทุกหลายวันเขาจะออกมาสูดอากาศพร้อมกับถือโอกาสสำรวจตำแหน่งที่อยู่ปัจจุบัน
ก็ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือว่ามีเหตุผลอันใด ปี้เหยียนผู้นั้นมักจะโผล่มาตอนหลิ่วหมิงออกจากห้องลับแล้วมักจะมาสนทนากับหลิ่วหมิงบางครั้งบางคราว
เนื่องจากปี้เหยียนผู้นี้คุยเก่งยิ่งนัก อีกทั้งคุ้นเคยกับแดนวารีมืดอย่างยิ่ง ดังนั้นทั้งสองคนจึงคุยกันได้ถูกคอยิ่งนัก
หลิ่วหมิงได้รู้ความลับของยมโลกมากมายจากปี้เหยียน ปี้เหยียนก็เป็นมิตรอย่างยิ่ง ถึงขนาดที่เชื้อเชิญหลิ่วหมิงไปเป็นแขกที่เรือนของเขาหลังจากไปถึงเมืองปี้โยว
หลิ่วหมิงสีหน้าเป็นปกติทุกประการ แต่ในใจลอบเพิ่มความระมัดระวังขึ้นอีกหลายส่วน
พริบตาเดียวก็ผ่านไปสามเดือน
วันนี้หลิ่วหมิงกำลังนั่งทำสมาธิเงียบๆ อยู่ในรถภูตสัตว์ ทันใดนั้นภูตสัตว์ด้านล่างก็ชะลอความเร็วแล้วหยุด
หลิ่วหมิงลืมตาขึ้น ในดวงตาฉายแววระแวดระวัง เขาลุกขึ้นเดินออกไปด้านนอก
รถภูตสัตว์ลำอื่นเวลานี้ก็หยุดนิ่งอยู่กลางท้องฟ้าเช่นเดียวกัน
หลิ่วหมิงฉุกคิดบางสิ่งได้ สายตาจึงหันไปมองด้านหน้า แล้วก็เห็นเหลิ่งเหมิงที่ควบคุมรถภูตค้างคาวยืนเอามือไพล่หลังคล้ายกำลังขบคิดอันใดอยู่
เมื่อมองตามสายตาของเขาไปด้านหน้าก็เห็นหมู่เขาสูงต่ำสีเทาหม่นทอดยาวเป็นแนวเบื้องหน้าขบวนเดินทาง ดูแล้วกว้างใหญ่ยิ่งนักทอดยาวจนไปสุดสายตา
เทือกเขาแห่งนี้ไม่ได้สูงมาก แต่จุดที่ค่อนข้างแปลกกระหลาดก็คือมีหุบเขาชันขนาดมหึมาแห่งแล้วแห่งเล่าแทรกอยู่ระหว่างหมู่เขาเป็นระยะ ราวกับว่าเทือกเขาทั้งลูกถูกพลังอันยิ่งใหญ่บางอย่างจากภายนอกฉีกเป็นรอยแยกมหึมานับไม่ถ้วน
นอกเหนือจากนี้ด้านในเทือกเขายังมีเมฆหมอกสีเทาไม่น้อยลอยละล่องอยู่ แลดูลึกลับ
หลิ่วหมิงกำลังเหม่อมองอยู่ เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น
เขาหันขวับไปมองแล้วจึงเอ่ยทักผู้ที่มา
คนที่มาก็คือปี้เหยียน เขาผงกศีรษะทักทายหลิ่วหมิงคืนเช่นกัน
“ไม่ทราบเพราะเหตุใดขบวนจึงหยุดอยู่ที่นี่!” หลิ่วหมิงเอ่ยข้อสงสัยในใจออกมาอย่างใจเย็น
“ฮ่ะๆ ดูท่าพี่อิ่นจะจดจ่ออยู่กับการฝึกฝนท่าเดียว แม้แต่ที่แห่งนี้จึงไม่รู้จัก เทือกเขาด้านหน้านี้คือสถานที่อันตรายลือชื่อของดินแดนแห่งนี้ หุบเขาสิ้นสูญ” ปี้เหยียนมองหลิ่วหมิงอย่างประหลาดใจแล้วยิ้มน้อยๆ เอ่ยขึ้นมา
“ที่นี่ก็คือหุบเขาสิ้นสูญ!”
หลิ่วหมิงสีหน้าเปลี่ยนไปในทันใด ในสมองนึกถึงคัมภีร์ภูมิประเทศของยมโลกจำนวนหนึ่งที่เคยรวบรวมตอนอยู่ในเมืองเหลิ่งเยวี่ย ในนั้นมีเอ่ยถึงหุบเขาสิ้นสูญอยู่จริงๆ
แม้ที่แห่งนี้จะได้ชื่อว่าหุบเขา แต่พื้นที่กลับกว้างใหญ่ยิ่งนัก ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ธรรมดาเหาะผ่านต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะตัดผ่านไปได้ แต่ไม่มีเผ่ายมโลกตนใดยินดีเดินทางผ่านที่แห่งนี้
ในตำนานเล่าว่านานมาแล้วที่แห่งนี้เคยเกิดสงครามครั้งใหญ่ระหว่างยมโลกกับดินแดนอื่น พื้นที่บริเวณนี้ทั้งหมดถูกผู้ฝึกฝนระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ผู้ทรงพลังเหล่านั้นฉีกทึ้งจนเกิดเป็นสภาพเช่นตอนนี้
มีบางตนคิดว่าที่แห่งนี้เป็นเศษชิ้นส่วนเล็กๆ ชิ้นหนึ่งที่ร่วงตกลงมาหลังถูกฉีกออกจากดินแดนอื่น
แต่เหตุที่สถานที่นี้ถูกจัดเป็นสถานที่อันตรายเลื่องชื่อเช่นนี้ก็เพราะในหุบเขามีปราณพิเศษชนิดหนึ่งผุดออกมาเป็นระยะ มันชื่อว่าปราณสิ้นสูญ
สำหรับชาวยมโลก ปราณสิ้นสูญนี้น่ากลัวยิ่งนัก ทันทีที่สัมผัสพลังเวททั้งหมดจะหายไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง
ดังนั้นผู้ฝึกฝนเผ่ายมโลกที่เดินทางผ่านที่แห่งนี้ แม้พลังบรรลุถึงระดับดาราพยากรณ์ก็ยินดีเสียเวลามากอ้อมไปให้ไกล ไม่ยินดีเสี่ยงอันตรายตัดทะลุที่แห่งนี้
ในสมองของหลิ่วหมิงนึกย้อนข้อมูลเหล่านี้ ในใจความคิดแล่นเร็วจี๋ลอบยินดีกับตนเอง
ผ่านหุบเขาสิ้นสูญไป แม่น้ำมืดเส้นหนึ่งที่เป็นเป้าหมายของเขาก็เหมือนจะอยู่ไม่ไกลแล้ว
บางทีรอข้ามบริเวณนี้ไป เขาอาจลอบผละจากขบวนบรรณาการของเมืองเหลิ่งเยวี่ย เดินทางไปยังแม่น้ำมืดสายนี้ได้
“คิดว่าหัวหน้าขบวนเหลิ่งคงจะเลือกอ้อมทาง ตอนนี้ยังห่างจากวันถวายบรรณาการให้ราชายมโลกอยู่มาก แต่หากอ้อมจะอ้อมได้สองทางคือตะวันออกกับตะวันตก ไปทางตะวันออกแม้ใกล้กว่า แต่ต้องผ่านทุ่งหญ้าเทียนขุย ที่นั่นมีเผ่าภูตผีไม่น้อยอาศัยอยู่ พวกมันมักจู่โจมผู้ฝึกฝนเผ่ายมโลกที่เดินทางผ่านเสมอ หากไปทางตะวันตกหนทางไกลกว่าแต่ดีกว่าที่ปลอดภัย ก็ไม่รู้ว่าหัวหน้าขบวนเหลิ่งจะเลือกทางไหน…พี่อิ่น ท่านไม่เป็นไรนะ?” ปี้เหยียนหยุดพูดกลางคัน เหมือนจะสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยของหลิ่วหมิง
“ไม่เป็นไร ข้าเพิ่งเคยมาหุบเขาสิ้นสูญแห่งนี้เป็นครั้งแรกจึงมองเหม่อไปหน่อย…พี่ปี้คิดว่าหัวหน้าขบวนเหลิ่งจะเลือกทางใด” ในใจหลิ่วหมิงผวาไปวูบหนึ่งแล้วหัวเราะเอ่ยตอบ
“ข้าไหนเลยจะรู้ความคิดของหัวหน้าขบวนเหลิ่ง แต่หากให้ข้าเลือก ไปทางตะวันตกจะปลอดภัยกว่า” ปี้เหยียนฟังแล้วก็หัวเราะฮ่ะๆ ตอบกลับมา