ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 1110 ความจริงใจ
หลิ่วหมิงได้ยินก็ตกตะลึง กำลังจะถามหลัวโหวต่อ ดวงตายักษ์บนท้องฟ้าก็มีวงแหวนสีทองอร่ามดูเหมือนลูกตาด้านในดวงตาขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นมาก่อน
“ฟุบ!”
ลำแสงสีทองเจิดจ้าแสบตาสายหนึ่งพุ่งพรวดออกมาจากดวงตาขนาดยักษ์อย่างไม่มีลางบอกแม้แต่น้อย มันพุ่งเร็วจี๋เข้าใส่เงาสะท้อนของอินหลิวด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ
เงาสะท้อนของอินหลิวหน้าถอดสี กระบี่ยาวสีดำในมือผละออกจากมือ มันสั่นวูบหนึ่งแล้วกลายเป็นแสงสีดำหลายสิบสายเกิดเป็นม่านกระบี่สีดำชั้นแล้วชั้นเล่าขวางอยู่หน้าร่าง
ในเวลาเดียวกันมือข้างหนึ่งก็กระตุ้นเคล็ดวิชา ร่างพลังเวทด้านหลังเปล่งแสงสีเทาสว่างจ้าก่อนจะสร้างม่านแสงสีเทาผืนหนึ่งขึ้นเบื้องหน้าเงาสะท้อนของอินหลิว
เสียงบึ๊มดังสนั่น มิติสีเทาหม่นทั้งหมดสะเทือน!
แสงสีทองฉายวาบ ม่านกระบี่สีดำด้านหน้าเงาสะท้อนของอินหลิวและม่านแสงสีเทาที่ร่างพลังเวทสร้างขึ้นถูกแทงทะลุในพริบตาประหนึ่งกระดาษ
เงาสะท้อนของอินหลิวไม่ทันได้กรีดร้อง เหนือจากเอวขึ้นไปก็มลายหายไปท่ามกลางแสงสีทอง ร่างพลังเวทด้านหลังกะพริบแสงอยู่ครั้งสองครั้งก็สลายไปทันที
ทว่าเวลานี้อินหลิวกลับสีหน้าเคร่งเครียด ไม่ผ่อนคลายลงแม้แต่น้อย ปากท่องมนตร์รัวเร็ว สองมือส่งเคล็ดวิชาออกมาสายแล้วสายเล่า ลูกตาสีทองในดวงตาขนาดยักษ์บนท้องฟ้ากลอกไปมาสองสามครั้งกว่าจะปิดลงช้าๆ อย่างไม่ใคร่จะยินยอม
ลำแสงสีทองสลายตาม มิติสีเทาฟื้นกลับมาสงบอีกครั้ง
อินหลิวถอนหายใจแผ่วเบา สีหน้าดูซีดเผือดอยู่บ้าง มือข้างหนึ่งยกขึ้นโบก ร่างพลังเวทด้านหลังกะพริบแสงวูบหนึ่งก็หดเล็กลงและจมหายไปในร่างอย่างรวดเร็ว
“เพล้ง!” เกิดเสียงดังก้อง
กระจกยักษ์ด้านหน้าเปล่งแสงแวววาวเรืองๆ ออกมาชั้นหนึ่ง จากนั้นก็เริ่มโปร่งใส สุดท้ายก็แตกสลายดุจกระจก
อึดใจต่อมาท้องฟ้าของมิติสีเทาพลันเปล่งแสงกะพริบอยู่พักหนึ่ง ทันใดนั้นละอองแสงสีขาวน้อยใหญ่แถบหนึ่งก็ร่วงลงมาประหนึ่งดวงดาวยามค่ำคืน
มิติสีเทาสั่นสะเทือน ลำแสงสีขาวแสบตาสายแล้วสายเล่าพุ่งเข้ามาจากด้านนอก เมื่อลำแสงสีขาวมากขึ้นเรื่อยๆ ทั่วทั้งมิติก็แตกร้าวทีละชุ่นประหนึ่งกระจก
หลิ่วหมิงรู้สึกตาพร่า ร่างกายเบาโหวงไปวูบหนึ่ง จากนั้นตนเองก็โผล่มาตรงหน้าหุบเขาหินสีดำขนาดมหึมาแห่งหนึ่ง
เวลานี้อินหลิวอยู่ห่างด้านหน้าเขาไม่ไกล
“ที่แห่งนี้คือ…” หลิ่วหมิงเผยสีหน้าตกตะลึงออกมาเล็กน้อย
ทันใดนั้นเขาก็เห็นบนกำแพงฝั่งหนึ่งของหุบเขาขนาดยักษ์ตรงหน้าสลักอักษรโบราณของเผ่ายมโลกไว้สี่ตัวว่า “สุสานราชายมโลก”
ปากทางเข้าหุบเขามีต้นไม้โบราณสูงเสียดฟ้าที่กิ่งใบงอกงามขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากันอยู่ยี่สิบกว่าต้น ต้นเล็กที่สุดยังสูงเกือบร้อยจั้ง
“ที่นี่ก็คือสุสานราชายมโลกที่แท้จริง” ยังไม่ทันที่หลิ่วหมิงจะเอ่ยปาก อินหลิวก็เอ่ยออกมาเรียบๆ หนึ่งประโยค
ต่อจากนั้นสายตาของเขาก็มองลึกเข้าไปในหุบเขาหินสีดำ ในดวงตาฉายแววครุ่นคิดบางอย่างอยู่เลือนราง
หลิ่วหมิงได้ยินจึงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ทันใดนั้นเขาก็เหมือนจะนึกบางสิ่งขึ้นได้จึงโบกมือส่งเคล็ดวิชาสายหนึ่งออกมา ปราณดำชั้นหนึ่งปรากฏขึ้นรอบร่างก่อนจะกะพริบวูบหนึ่งกลายเป็นผ้าคลุมสีดำแล้วถูกเขาเก็บไป คนจึงกลับคืนหน้าตาดั้งเดิมทันที
อินหลิวเห็นสภาพเช่นนี้ก็เลิกคิ้ว แต่ไม่ได้แสดงสีหน้าประหลาดใจอันใด
“ไม่ทราบว่ายามนี้ข้าสมควรเรียกท่านว่าอินหลิวหรือปรมาจารย์ลิ่วยิน?” ครู่หนึ่งหลังจากนั้นหลิ่วหมิงก็เอ่ยถามออกมาในที่สุด
“เจ้าเป็นศิษย์นิกายปีศาจหรือศิษย์นิกายอดบริสุทธิ์เล่า เหตุใดจึงมายังยมโลกได้?” อินหลิวไม่ตอบคำถามของหลิ่วหมิงแต่ย้อมถามกลับประโยคหนึ่ง
“ข้าน้อยหลิ่วหมิง ท่านน่าจะเห็นจากภาพในกระจกเมื่อครู่แล้ว ข้าถือกำเนิดที่แผ่นดินอวิ๋นชวน ต่อมาได้เข้าเป็นศิษย์สาขาเก้าทารกแห่งนิกายปีศาจ…หลังจากนั้นมีวาสนาบังเอิญได้มายังแผ่นดินจงเทียน ยามนี้เป็นศิษย์สายในแห่งยอดเขาลั่วโยวนิกายยอดบริสุทธิ์ นี่คือตราประจำตัวจากนิกายปีศาจกับนิกายยอดบริสุทธิ์ เชิญท่านตรวจสอบ” หลิ่วหมิงไม่ปิดบังสิ่งใดทั้งสิ้น เขาเล่าชาติกำเนิดและความเป็นมาของตนอย่างคร่าวๆ ก่อนจะพลิกมือเรียกป้ายสองชิ้นออกมา
อินหลิวกวักมือครั้งหนึ่งเรียกป้ายทั้งสองชิ้นมาไว้ในมือ เขาลูบอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาปรากฏร่องรอยหวนคะนึงจางๆ
“เมื่อครั้งข้าน้อยอยู่ที่นิกายปีศาจ เคยได้พบดวงจิตเสี้ยวหนึ่งที่ปรมาจารย์ลิ่วยินทิ้งไว้ที่กำแพงเก็บเงาในนิกายและได้สืบทอดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬกับเคล็ดกระบี่ปราณแกร่งมาจากที่นั่น เพราะเหตุนี้หลังจากข้าร่อนเร่มาถึงแผ่นดินจงเทียนจึงได้เข้าเป็นศิษย์ของนิกายยอดบริสุทธิ์” หลิ่วหมิงมองอินหลิว จากนั้นเหมือนนึกอะไรขึ้นได้จึงเอ่ยออกมาอย่างไม่ลังเลสักนิด
“กำแพงเก็บเงา…” อินหลิวพึมพำกับตนเองคำหนึ่งจากนั้นก็เงียบไปชั่วครู่ มือยกขึ้นมาโยนป้ายทั้งสองชิ้นคืนให้หลิ่วหมิง
“ไม่ผิด สิ่งที่กระจกแสดงล้วนเป็นความจริง ในอดีตข้าเคยเป็นลิ่วยินที่เจ้าเอ่ยถึงจริงๆ” อารมณ์หลากหลายปรากฏสลับกันไปมาบนใบหน้าของอินหลิวพักหนึ่งก่อนที่เขาจะถอนหายใจยาวเอ่ยออกมา
“ศิษย์รุ่นหลังหลิ่วหมิงคารวะปรมาจารย์ลิ่วยิน”
หลิ่วหมิงยกมือขึ้นรับป้ายทั้งสองชิ้น เมื่อได้ยินคำพูดนี้ก็รีบค้อมกายคำนับอย่างเคารพ
การคำนับครั้งนี้มาจากใจจริงของเขา
คิดไม่ถึงว่าการเดินทางมายมโลกครั้งนี้จะได้พบบุคคลในตำนานที่มีอิทธิพลกับเส้นทางการฝึกฝนของตนอย่างลึกซึ้งผู้นี้
นึกย้อนดูแล้ว “เคล็ดวิชากระดูกดำ” “เคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ” รวมถึง “เคล็ดวิชากระบี่ปราณแกร่ง” ที่อยู่เคียงข้างตนมาแทบจะชั่วชีวิตแห่งการฝึกฝนล้วนได้มาจากมือเขาไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสองวิชาหลังมีส่วนช่วยการฝึกฝนของเขามากยิ่งนัก หากไม่ใช่เพราะแรกเริ่มได้วาสนาประการนี้มา เขาก็คงไม่มีทางฝึกฝนมาจนถึงขอบขั้นในตอนนี้ได้เป็นแน่แท้
แม้แต่แมงป่องกระดูกหนึ่งในอสูรเลี้ยงของตนก็ได้พบในแดนปีศาจปรโลกที่อีกฝ่ายสร้างเอาไว้
เพราะบุคคลผู้นี้ เขาจึงมีวาสนาบังเอิญได้เข้าเป็นศิษย์ของนิกายยอดบริสุทธิ์หนึ่งในสี่ยอดนิกายใหญ่แห่งเผ่ามนุษย์บนแผ่นดินจงเทียน แล้วได้พานพบสิ่งต่างๆ มากมายหลังจากนั้น
กล่าวได้ว่าหากไม่มี “ปรมาจารย์ลิ่นยิน” ผู้นี้ เส้นทางการฝึกฝนของเขาก็คงเปลี่ยนโฉมหน้าไปอย่างสิ้นเชิง
“สหายหลิ่วไม่ต้องมากพิธี ลิ่วยินเป็นตัวตนในอดีต ตอนนี้แม้ข้ามีความทรงจำส่วนใหญ่ของลิ่วยินอยู่ แต่ก็กลับชาติเกิดใหม่เป็นเผ่ายมโลกอย่างแท้จริงแล้ว ยามนี้ข้าคืออินหลิวศิษย์ลำดับเก้าของราชายมโลกแห่งแดนตัณหามืด ไม่ใช่ลิ่วยินในยามนั้นนานแล้ว” อินหลิวเบี่ยงกายหลบการคำนับของหลิ่วหมิงแล้วโบกมือเอ่ยขึ้นมา
หลิ่วหมิงฟังจบจึงยืดกายขึ้นยืนตรง
จากภาพในกระจกก่อนหน้านี้ เขาก็เดาจุดนี้ได้
ชาวเผ่ายมโลกส่วนใหญ่คือจิตวิญญาณของสิ่งมีชีวิตดินแดนอื่นที่มาเกิดหลังจากสิ้นชีวิต นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด
“จริงสิ เจ้ายังไม่ได้บอกเลยว่าศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ เหตุใดจึงมายังยมโลกแห่งนี้ได้?” ยามนี้อินหลิวกลับย้อมถามอย่างสงสัยใคร่รู้
“ผู้อาวุโส เรื่องราวเป็นเช่นนี้…” หลิ่วหมิงเล่าเรื่องราวคร่าวๆ ที่ตัวเขาเข้ามาฝึกปรือฝีมือในทางปีศาจร้ายจนถูกผีแม่ทัพระดับดาราพยากรณ์ไล่ล่า ถูกบีบจนหมดหนทางต้องหลบเข้ามาในพายุมิติเอาชีวิตรอด หลังจากนั้นจึงบังเอิญมาถึงยมโลก
“ทางปีศาจร้าย…ตอนนี้นิกายปีศาจกับนิกายยอดบริสุทธิ์เป็นเช่นไร?” อินหลิวพึมพำเหมือนใจหาย ก่อนจะถามออกมาอย่างลังเลเล็กน้อย
หลิ่วหมิงดวงตาเปล่งประกายนิดๆ ในใจลอบถอนหายใจ แม้ปากอินหลิวบอกว่าตนไม่ใช่ปรมาจารย์ลิ่วยินแล้ว แต่ในใจก็ยังห่วงอดีตอยู่
“ข้าน้อยจากนิกายปีศาจมาหลายปีแล้ว ดังนั้นจึงไม่ทราบสถานการณ์ปัจจุบันของที่นั่น แต่ยามข้ายังอยู่ที่นิกายปีศาจ ภายในนิกายมีผู้ฝึกฝนระดับผลึกคุ้มครอง สถานะในแคว้นต้าเสวียนก็นับว่าสูงส่ง ถูกจัดลำดับเป็นหนึ่งในหกนิกายใหญ่ ส่วนนิกายยอดบริสุทธิ์ยังคงเป็นหนึ่งในสี่ยอดนิกายใหญ่ของเผ่ามนุษย์ ภายในนิกายมียอดฝีมือเกิดออกมามากมาย เจริญรุ่งโรจน์เช่นกัน” หลิ่วหมิงเอ่ยอย่างมั่นใจ
“ดียิ่งนัก เช่นนี้ข้าก็วางใจแล้ว จริงสิ ตระกูลหลงแห่งหุบเขาน้ำพุเงิน…ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?” อินหลิวพยักหน้า ใบหน้าปรากฏสีหน้าโล่งใจจางๆ ทันใดนั้นก็นึกถึงสิ่งใดได้อีกครั้งจึงเอ่ยถามอีกหน
“ในหมู่ศิษย์รุ่นหลังของตระกูลหลง มีผู้ฝึกฝนกระบี่หญิงอัจฉริยะผู้หนึ่งนามว่าหลงเหยียนเฟย นางเป็นศิษย์พี่ของข้าน้อยเอง ยามนี้นางฝึกฝนจนถึงระดับแก่นเสมือนแล้ว เป็นศิษย์สายในของยอดเขากระบี่สวรรค์ พูดถึงเรื่องนี้ผู้เยาว์มีเรื่องหนึ่งต้องสารภาพกับผู้อาวุโส ในอดีตศิษย์เคยได้จิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ดวงหนึ่งที่ผู้อาวุโสทิ้งไว้มาจากกำแพงเก็บเงาและรับปากว่าจะส่งต่อให้แก่ทายาทตระกูลหลง ทว่าต่อมาข้าน้อยพบศัตรูอันแข็งแกร่งที่เขตทะเลชังไห่ ถูกบีบให้ระเบิดจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่เพื่อปกป้องตนเอง จึงไม่ได้ทำสิ่งที่ผู้อาวุโสสั่งให้สำเร็จ โปรดอภัยด้วย” หลิ่วหมิงตอบอย่างเสียใจแล้วค้อมกายคำนับอีกครั้ง
“ระเบิดแล้วก็ระเบิดไปเถิด! ยามนั้นที่ข้าทิ้งจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ดวงนั้นไว้ก็เป็นเพียงแค่ความคิดชั่ววูบเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่ประการใด ยามนี้รู้ว่าตระกูลหลงยังอยู่ดีก็วางใจแล้ว” อินหลิวเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย
“ขอบคุณผู้อาวุโสยิ่งนักที่ใจกว้างให้อภัย” หลิ่วหมิงฟังจบจึงผ่อนลมหายใจออกเบาๆ
เขารู้ว่าตนไม่ใช่คนดีอันใด แต่เขาให้ความสำคัญกับคำสัตย์เสมอ แม้ยามนั้นผู้ที่กลืนจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ไปจะเป็นวิญญาณมารที่อยู่ในกรงขัง แต่เรื่องนี้ก็เป็นหนามทิ่มตำใจเขามาตลอด วันนี้ได้รับการอภัยจากอินหลิวจึงรู้สึกสบายใจขึ้นในทันใด
“เรื่องจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ หากเจ้าไม่พูด ข้าก็คงไม่รู้ แต่เจ้ากล่าวความจริงอย่างไม่ปกปิด ข้ากลับคิดไม่ถึง” อินหลิวมองสำรวจหลิ่วหมิงจากหัวจรดเท้าหลายครั้งแล้วทันใดนั้นก็ยิ้ม
“แม้ผู้เยาว์จะมีข้อเสียมากมาย แต่ย่อมพยายามรักษาสัจจะสุดความสามารถ” หลิ่วหมิงได้ยินจึงยิ้มมุมปากตอบ
“ไม่ว่าจะพูดอย่างไร กำแพงเก็บเงาที่ข้าทิ้งไว้ในนิกายปีศาจเมื่อตอนนั้นก็นับว่าได้พบพานผู้มีวาสนาแล้ว ไม่เสียแรงที่ข้าในตอนนั้นทุ่มเท” อินหลิวหัวเราะฮ่าๆ
“ขอบพระคุณบุญคุณที่ผู้อาวุโสช่วยให้สมความปรารถนาในยามนั้น” หลิ่วมิงยิ้มเช่นกัน
“จะว่าไปแล้ว เจ้าผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์คนหนึ่งกล้าบุกมายังสถานที่อันตรายยิ่งยวดแห่งนี้ น่าจะมีสาเหตุที่ต้องมาให้ได้กระมัง” อินหลิวคิดอะไรขึ้นได้จึงเอ่ยถามสีหน้าเคร่งขรึม
หลิ่วหมิงได้ยินก็ขมวดคิ้ว หลังจากครุ่นคิดพักหนึ่งจึงตอบว่า “ไม่ปิดบังผู้อาวุโสลิ่วยิน ครั้งนี้ผู้เยาว์เข้ามาในสุสานยมโลกเพื่ออนธการธาตุเก้าแปรผันสักเม็ด”
“อนธการธาตุเก้าแปรผัน! ของสิ่งนั้นคือสิ่งที่หลงเหลือจากราชายมโลกระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ที่ละสังขาร ล้ำค่าอย่างที่สุด อีกทั้งจุดที่ราชายมโลกสิ้นใจ ชั้นจำกัดที่ป้องกันก็แน่นหนายิ่งนัก ต่อให้เป็นผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ก็ไม่มั่นใจว่าจะเอามาได้” ดวงตาของอินหลิวฉายแววประหลาดใจจางๆ
“ผู้เยาว์ก็จนหนทางเช่นกัน เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงข้าน้อยจะออกจากยมโลกกลับไปยังแผ่นดินจงเทียนได้หรือไม่ ไม่ว่ายากลำบากเพียงไรก็ต้องลงดูสักตั้ง” หลิ่วหมิงตอบอย่างจนปัญญา แต่แววตามุ่งมั่นยิ่งนัก
“ที่แท้เป็นเช่นนี้…ความจริงตั้งแต่ที่ข้ากับเจ้าพบกันที่งานชุมนุมต้งหาว ข้าก็มองออกแล้วว่าเจ้าไม่ใช่เผ่ายมโลก แต่เป็นผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์” อินหลิวพยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งอย่างมีเลศนัย
“เอ๊ะ ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสคิดจะ…” หลิ่วหมิงได้ยินก็ตกตะลึง