ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 1148 ร่างแยกของราชินีหนอนผีเสื้อ
“ระดับแก่นแท้ขั้นกลาง”
เจียหลานได้ยินพลันสูดลมหายใจดังเฮือกด้วยตกตะลึงยิ่งนัก
หลิ่วหมิงเข้าไปในทางปีศาจร้ายจนถึงตอนนี้เป็นเวลาทั้งหมดไม่ถึงห้าสิบปี ข้ามระดับชั้นต่อเนื่องถึงสองขั้นได้ นี่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์หรือชีพจรจิตวิญญาณแล้ว
หากเขาบรรลุระดับแก่นแท้ขั้นปลายในเวลาอันใกล้อีก คงกลายเป็นเหตุการณ์อันหายากที่เกิดขึ้นน้อยนิดไม่กี่ครั้งตลอดช่วงเวลายาวนานนับอนันต์ของนิกายยอดบริสุทธิ์
“สงครามกวาดล้างเหล่าแมลงใกล้จะจบลงแล้ว แต่บริเวณนี้ยังอันตรายอยู่ ศิษย์น้องตามข้ากลับนิกายก่อนดีหรือไม่?” สายตาของหลิ่วหมิงมองไปทิศที่ตั้งนิกายยอดบริสุทธิ์แล้วเอ่ยเช่นนี้
“ก็ดี แต่ข้าคงต้องส่งข่าวบอกอาจารย์ก่อนสักคำ ไม่ให้ท่านผู้เฒ่าต้องกังวล” เจียหลานระงับความตกตะลึงในใจได้ในที่สุด นางเอ่ยตอบอย่างว่าง่ายก่อนจะพลิกมือเรียกยันต์สีขาวแผ่นหนึ่งออกมายกขึ้นจรดริมฝีปากสีแดงพลางกระซิบถ้อยคำแผ่วเบา จากนั้นสะบัดมือครั้งหนึ่ง ยันต์สื่อสารพลันกลายเป็นแสงสีขาวเส้นหนึ่งพุ่งจากไปไกลอย่างรวดเร็ว
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้จึงแย้มรอยยิ้ม มือใหญ่สะบัดครั้งหนึ่ง ปราณสีดำสายหนึ่งพลันห้อมล้อมทั้งสองเอาไว้ มันหมุนกลางอากาศรอบหนึ่งแล้วเหาะจากไปไกลอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นสองชั่วยาม บนยอดเขาเลื่อนลอยแห่งนิกายยอดบริสุทธิ์ แสงสีดำเส้นหนึ่งก็เหาะเร็วรี่มาแต่ไกล มันกะพริบสองสามครั้ง แสงรัศมีก็ดับลงเผยร่างของหลิ่วหมิงกับเจียหลานออกมา
บนยอดเขาเลื่อนลอยว่างเปล่า ไม่เห็นเงาผู้ใด
“ครั้งนี้ข้าได้รับคำสั่งจากท่านประมุขเทียนเกอให้ลอบเข้าไปยังยอดเขาแสงอัสดง แม้ภารกิจสำเร็จแล้ว แต่ก็ยังต้องไปรายงานเขาด้วยตนเองสักหน่อย” หลิ่วหมิงหันมาบอกกล่าวน้ำเสียงอ่อนโยน
“ข้าเข้าใจ ท่านจัดการธุระสำคัญก่อนเถิด” ดวงตาของเจียหลานฉายแววอาลัยอาวรณ์ แต่สุดท้ายก็พยักหน้า
ระหว่างทางกลับเทือกเขา หลิ่วหมิงเล่าภารกิจครั้งนี้ของเขาให้เจียหลานฟังคร่าวๆ แล้ว ในเมื่อยามนี้การสู้รบกวาดล้างจบลงแล้วย่อมไม่จำเป็นต้องเก็บเป็นความลับต่อ
หลิ่วหมิงพยักหน้าให้เจียหลานจากนั้นจึงหมุนตัวกลายเป็นแสงสีดำเส้นหนึ่งเหาะเร็วรี่ไปทางยอดเขาหลักของนิกายยอดบริสุทธิ์
เจียหลานมองเงาร่างของหลิ่วหมิงหายลับไปไกลอย่างรวดเร็ว ดวงตาฉายแววหม่นหมองเล็กน้อย จากนั้นจึงถอนหายใจ เยื้องย่างว่องไว หมุนตัวมุ่งไปยังวิหารหลักของยอดเขาเลื่อนลอย
……
ไม่นานนักหลิ่วหมิงก็มาถึงลานกว้างหน้าวิหารหลักของนิกายยอดบริสุทธิ์ เพิ่งร่อนลงมาในหูก็ได้ยินเสียงของเทียนเกอเจินเหรินดังขึ้น
เขาเปลี่ยนสีหน้าไปทันที รีบยกเท้าก้าวเดินเข้าไปในวิหารหลัก
หลังจากเวลาชั่วจิบชา เขาก็มาถึงห้องขนาดสิบกว่าจั้งแห่งหนึ่งในตำหนักข้าง เทียนเกอเจินเหรินนั่งสง่าอยู่บนตำแหน่งประธาน ใบหน้าเอิบอิ่มด้วยความยินดีปรีดา
“หลิ่วหมิง เจ้าไม่ทำให้ทุกคนผิดหวังจริงๆ ไม่เพียงทำภารกิจที่นิกายมอบหมายลุล่วงอย่างราบรื่น ยังล่อแมลงระดับดาราพยากรณ์ตัวหนึ่งออกไปอีก?” เทียนเกอเจินเหรินจิบชาจิตวิญญาณคำหนึ่งแล้วยิ้มน้อยๆ
“ท่านประมุขชมเกินไปแล้ว ศิษย์เพียงทุ่มเทกำลังที่มีอยู่น้อยนิดเพื่อนิกายเท่านั้น” หลิ่วหมิงเอ่ยอย่างถ่อมตน ไม่เอ่ยถึงเรื่องที่ล่อเผ่าหนอนผีเสื้อระดับดาราพยากรณ์ออกไปสังหาร
อย่างไรก็ตามการที่ระดับแก่นแท้ขั้นกลางสังหารผู้ที่อยู่ในระดับดาราพยากรณ์ได้ เล่าอย่างไรก็น่าตกตะลึงเกินไปสักหน่อย
“ในเมื่อทำเรื่องนี้สำเร็จ นิกายย่อมไม่เอาเปรียบเจ้า” ทันใดนั้นเสียงทุ้มเข้มเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
คลื่นสั่นสะเทือนก่อตัวขึ้นกลางอากาศด้านในตำหนักข้าง รอยแยกมิติสีดำเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน ชายหนุ่มชุดเทาผู้หนึ่งก้าวเดินเอื่อยเฉื่อยออกมาจากด้านใน
“คารวะผู้อาวุโสสูงสุดเสวียนอวี๋” เทียนเกอเจินเหรินค้อมกายคำนับ
“ศิษย์คารวะผู้อาวุโสสูงสุด” หลิ่วหมิงก็คารวะอย่างนอบน้อมดุจเดียวกัน
ผู้อาวุโสเสวียนอวี๋โบกมือด้วยสีหน้าเรียบเฉย ส่งสัญญาให้ทั้งสองคนไม่ต้องพิธีรีตองแล้วเดินมานั่งบนตำแหน่งประธาน
หลังจากรอผู้อาวุโสเสวียนอวี๋นั่งลง เทียนเกอเจินเกรินก็นั่งลงตรงตำแหน่งด้านข้าง หลิ่วหมิงยืนนิ่งสงบอยู่ด้านล่าง
“หลิ่วหมิง ครั้งนี้เจ้าผนึกทางเชื่อมมิติของเผ่าหนอนผีเสื้อ สร้างความดีความชอบไม่น้อยในศึกกวาดล้างครั้งนี้ ข้าได้ยินเทียนเกอเล่าว่าภารกิจครั้งนี้คือบททดสอบการเป็นศิษย์ลับที่เขามอบให้เจ้า ในเมื่อเจ้าทำเรื่องนี้ลุล่วง นับตั้งแต่ตอนนี้เจ้าก็เป็นหนึ่งในศิษย์ลับของนิกายเราแล้ว” ผู้อาวุโสเสวียนอวี๋เอ่ยขึ้นด้วยท่าทีสงบ
“ขอบคุณปรมาจารย์เสวียนอวี๋!” หลิ่วหมิงดีใจยิ่งนัก รีบค้อมกายคำนับ
“ความดีความชอบของเจ้า ให้รางวัลแค่เป็นศิษย์ลับคงไม่พอ ข้าตั้งใจเตรียมของชิ้นหนึ่งไว้ให้เจ้าเป็นพิเศษ” ผู้อาวุโสเสวียนอวี๋หยิบกล่องหยกใสแวววาวกล่องหนึ่งออกมาจากแขนเสื้ออย่างไม่รีบร้อน แล้วโยนออกมาเหมือนไม่ใส่ใจ
กล่องหยกหมุนคว้างกลางอากาศรอบหนึ่งแล้วร่วงลงในมือหลิ่วหมิงอย่างแม่นยำ
หลิ่วหมิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงเปิดกล่องหยก แล้วเห็นปีกสีเขียวสดทั้งชิ้นขนาดเท่าฝ่ามือคู่หนึ่งนอนนิ่งอยู่ด้านใน รูปร่างภายนอกเหมือนปีกจักจั่น ใสแวววาว แผ่แสงสีเขียวเรืองๆ
บนปีกจักจั่นสลักลวดลายจิตวิญญาณโบราณที่เขาอ่านไม่ออกไว้จำนวนหนึ่ง อีกทั้งมีกระแสลมสายแล้วสายเล่าลอยเคลื่อนไปมาสองฝั่งของปีกจักจั่น แลดูวิเศษยิ่งนัก
“ของสิ่งนี้มีชื่อว่าปีกจักจั่นแก้ว เป็นอาวุธเวทเหาะเหินชิ้นหนึ่งที่ข้าเคยใช้เมื่อยังเยาว์วัย เจ้าเก็บมันไว้ใช้ป้องกันตัวเถิด” ผู้อาวุโสเสวียนอวี๋เอ่ยเรียบๆ
“ปีกจักจั่นแก้ว!” เทียนเกอเจินเหรินที่อยู่ด้านข้างได้ยินก็ตกตะลึงทันที
“ศิษย์หลานหลิ่ว เจ้ามีบุญแล้ว ปีกจักจั่นแก้วนี้เป็นอาวุธเหาะเหินที่หายากยิ่งนักชิ้นหนึ่ง ตัวมันสร้างมาจากผลึกแก้วจักจั่นที่มีพลังธาตุลมชั้นยอดขนาดยักษ์ชิ้นหนึ่ง เสริมด้วยวัตถุดิบอันล้ำค่านานาชิด ใช้กรรมวิธีพิเศษสร้างขึ้นมา เมื่อใช้งานปีกจักจั่นแก้วจะเผาไหม้ตนเองขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ความเร็วของมันแทบจะไม่มีผู้ใดใต้ระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ตามทัน นอกจากอาวุธที่ตัดผ่านมิติได้จำพวกเคลื่อนย้ายชั่วพริบตาหรือข้ามมิติ ก็ยากนักที่จะหาอาวุธเหาะเหินที่เร็วกว่าปีกจักจั่นแก้วนี้ แม้แต่ในหมู่ผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ ของสิ่งนี้ก็เป็นสมบัติสำหรับรักษาชีวิตที่หายากยิ่ง” เทียนเกอเจินเหรินหันไปมองหลิ่วหมิงแล้วส่ายหน้าทอดถอนใจ
“ขอบคุณปรมาจารย์เสวียนอวี๋” หลิ่วหมิงฟังจบจึงรีบค้อมกายคารวะขอบคุณ
กลเม็ดรักษาชีวิตของเขามีอยู่ไม่มากนัก ของสิ่งนี้ถือว่ามีประโยชน์ยิ่งนัก
“ของชิ้นนี้ควบคุมค่อนข้างง่าย เพียงทำพันธะกับตนสักครั้งก็สำแดงฤทธิ์สูงสุดของมันได้แล้ว แต่ปีกจักจั่นแก้วตัวมันนับว่าเป็นอาวุธที่ใช้แล้วเสียไปชนิดหนึ่ง ทุกครั้งที่ใช้มันจะเผาผลาญพลังงานจากผลึกแก้วจักจั่นในตัวมัน เมื่อเกินจำนวนครั้งที่ใช้ได้ ของสิ่งนี้ก็จะสูญสลายไปอย่างสมบูรณ์ เจ้าต้องไตร่ตรองก่อนใช้ให้ดี” ชายหนุ่มชุดเทาเอ่ยเสริมขึ้นอย่างแช่มช้า
“ขอรับ ขอบคุณปรมาจารย์เสวียนอวี๋ที่ย้ำเตือน ศิษย์จดจำไว้แล้ว” หลิ่วหมิงตอบด้วยน้ำเสียงนอบน้อม แล้วปิดกล่องหยกลงเบาๆ เก็บมันเข้าไปอย่างทะนุถนอมทันที
สำหรับเขาใช้ได้สองสามครั้งก็เหลือเฟือแล้ว อย่างไรยามปกติเขาย่อมไม่ไปหาเรื่องศัตรูผู้แข็งแกร่งที่ไม่สมควรหาเรื่องเหล่านั้นอย่างไร้สาเหตุ
“เผ่าหนอนผีเสื้อรุกรานแผ่นดินจงเทียนครั้งนี้ แม้จะเป็นหายนะครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง แต่ก็มิใช่ว่าจะไม่มีเรื่องดี หากได้ฝึกปรือจิตใจและสติปัญญาระหว่างหายนะใหญ่ครั้งนี้ย่อมมีประโยชน์อย่างยิ่งกับเส้นทางการฝึกฝนของผู้ฝึกฝนเยาว์วัยเหล่านี้เช่นพวกเจ้า” ผู้อาวุโสเสวียนอวี๋เอ่ยขึ้นอย่างแฝงความนัย
“ขอรับ ศิษย์จะใช้ความสามารถเต็มที่ในยามหายนะใหญ่ครั้งนี้แน่นอน” หลิ่วหมิงสีหน้าตะลึงอยู่ชั่ววูบ แต่จากนั้นความคิดพลันแล่นเร็วไวเอ่ยตอบออกมา
“ดี เจ้าเข้าใจก็ดี ตอนนี้พลังเวทในร่างเจ้าเต็มเปี่ยม ฝึกปรือถึงจุดสูงสุดของระดับแก่นแท้ขั้นกลางแล้ว ก้าวต่อไปคงคิดเข้าสู่ระดับแก่นแท้ขั้นปลายสินะ ในนิกายยอดบริสุทธิ์ของเราแม้ศิษย์ระดับแก่นแท้จะมีมากมาย แต่ผู้ที่ฝึกฝนได้รวดเร็วเช่นเจ้ากลับน้อยยิ่งกว่าน้อย ทว่าเลื่อนระดับเร็วเกินไป พลังก็อาจไม่มั่นคง…หากเจ้าฝึกฝนแล้วมีข้อสงสัยประการใด ตอนนี้พอจะถามข้าโดยตรงได้เล็กน้อย” ในที่สุดใบหน้าของผู้อาวุธเสวียนอวี๋ก็เผยรอยยิ้ม เอ่ยออกมาเหมือนไม่ใคร่ใส่ใจอีกหลายประโยค
หลิ่วหมิงได้ยินก็ดีใจเหลือจะกล่าวในทันใด
อินจิ่วหลิงอาจารย์ของตนพลังระดับแก่นแท้ขั้นสมบูรณ์แบบเท่านั้น ย่อมอยู่คนละชั้นกับผู้มากความสามารถระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์
แม้หลัวโหวมีความรู้กว้างขวาง แต่นอกจากยามเขาเผชิญหน้าห้วงแห่งความเป็นความตาย อีกฝ่ายก็ไม่ยอมชี้แนะอันใดหลิ่วหมิง
ด้วยเหตุนี้โอกาสดีครั้งนี้ เขาย่อมต้องคว้าไว้ให้มั่น เขาถามข้อสงสัยเกี่ยวกับการฝึกฝนในยามปกติออกมาหลายคำถาม ผู้อาวุโสเสวียนอวี๋ก็คลายข้อสงสัยให้เขาทีละเรื่อง
หลังจากฟังแล้ว ฉับพลันเขาก็รู้สึกเหมือนพงหญ้ารกที่บดบังหนทางอยู่แหวกเปิด มองเห็นเส้นทางการฝึกฝนนับจากนี้ชัดเจนกว่าเดิมขึ้นหลายส่วน
เทียนเกอเจินเหรินที่อยู่ด้านข้าง ระหว่างที่ฟังคำตอบของผู้อาวุโสเสวียนอวี๋ก็เหมือนบรรลุอะไรบางอย่างขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้เช่นเดียวกัน
“ใช่แล้ว ศิษย์ยังมีเรื่องต้องรายงานปรมาจารย์เสวียนอวี๋กับท่านประมุขเทียนเกอ…” ระหว่างที่หลิ่วหมิงกำลังยินดีปรีดา ทันใดนั้นเขาก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เขาเล่าเรื่องเกี่ยวกับราชินีหนอนผีเสื้อที่เขาล่วงรู้มาจากการค้นวิญญาณแมลงระดับดาพรายากรณ์เปลือกสีเลือดออกมา
เทียนเกอเจินเหรินฟังจบก็ตกตะลึงยิ่งนัก แต่ผู้อาวุโสเสวียนอวี๋กลับมีสีหน้านิ่งสงบแล้วเอ่ยขึ้นเหมือนคิดไว้ก่อนแล้ว
“เรื่องนี้ ข้ารู้มาจากการค้นวิญญาณแมลงระดับสูงตัวอื่นอยู่บ้าง เรื่องของราชินีหนอนผีเสื้อตัวนี้ ผู้ฝึกฝนระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์จากทั้งแผ่นดินเริ่มร่วมมือกันหารือมาตรการรับมือแล้ว เจ้ามิต้องกังวลใจ”
“ขอรับ!”
หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้พลันโล่งอก ผู้มากความสามารถระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ของแผ่นดินจงเทียนรวมกันแล้วอย่างน้อยก็มียี่สิบถึงสามสิบคน ผู้ฝึกฝนที่มากความสามารถเหล่านี้หากร่วมมือกัน ต่อให้ราชินีหนอนผีเสื้อร้ายกาจอีกเท่าใด ก็น่าจะไม่นับเป็นสิ่งใด
“เรื่องราชินีหนอนผีเสื้อ เจ้าจงอย่าได้แพร่งพรายออกไป เลี่ยงไม่ให้ศิษย์ธรรมดาเกิดความหวาดกลัว ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะรู้ว่าสิ่งใดควรมิควร” ผู้อาวุโสเสวียนอวี๋มองหลิ่วหมิงแล้วเอ่ยเตือนอีกครั้ง
“ขอรับ ศิษย์เข้าใจ” หลิ่วหมิงรีบเอ่ยตอบ
หลังจากนั้นหลิ่วหมิงก็สนทนากับบุคคลสำคัญแห่งนิกายยอดบริสุทธิ์ทั้งสองอีกเล็กน้อยแล้วขอตัวออกมาอย่างรู้จักกาลเทศะ
เรื่องการเลื่อนชั้นเป็นศิษย์ลับ เทียนเกอเจินเหรินอธิบายว่าจะส่งคนไปติดต่อกับยอดเขาลั่วโยวให้เรียบร้อย
เมื่อหลิ่วหมิงออกไปพ้นตำหนักข้าง เทียนเกอเจินเหรินก็สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที
“ผู้อาวุโสสูงสุดเสวียนอวี๋ เรื่องราชินีหนอนผีเสื้อตัวนั้น ผู้อาวุโสทั้งหลายมีวิธีรับมือแล้วจริงหรือ?”
“จะง่ายดายเช่นนั้นได้อย่างไร เมื่อครู่ข้าพูดเช่นนี้ก็เพื่อปลอบศิษย์ในนิกาย จากที่ข้าคาดการณ์ร่างจริงของราชินีหนอนผีเสื้อเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะก้าวพ้นระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ไปแล้ว เป็นตัวตนระดับอมตะในตำนาน ก่อนหน้านี้ข้า มู่คงกับเฟิงชิงสามคนทุ่มเทเรี่ยวแรงอักโขกว่าจะสังหารแมลงระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ตัวนั้นที่เป็นเพียงร่างแยกร่างหนึ่งของมันลงได้ พิจารณาจากตรงจุดนี้ หากร่างจริงของมันมาเยือนคงมิใช่สิ่งที่พวกเราจะต่อกรได้แน่นอน” ผู้อาวุโสเสวียนอวี๋หัวเราะฝืดเฝื่อนแล้วส่ายศีรษะ
“ระดับอมตะ”
เทียนเกอเจินเหรินได้ยินย่อมตกตะลึง!
“แต่เจ้าไม่ต้องกังวลใจเกินไปนัก จากการข่าวที่พวกเรารวบรวมมาได้ตอนนี้ ราชินีหนอนผีเสื้อเหมือนจะยังไม่หายดีจากอาการบาดเจ็บก่อนหน้า บวกกับตัวมันเองมีพลังจิตวิญญาณมหาศาลเกินไป ร่างจริงน่าจะไม่อาจทะลุผ่านทางเชื่อมมิติมาเยือนแผ่นดินจงเทียนได้ตามใจ อย่างมากที่สุดก็ทำได้เพียงส่งร่างแยกจำนวนหนึ่งมาเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมมอบโอกาสครั้งใหญ่ให้แก่พวกเรา เรื่องราชินีหนอนผีเสื้อ ศิษย์พี่มู่เริ่มติดต่อกับนิกายอื่นเพื่อหารือร่วมกันแล้ว” ผู้อาวุโสเสวียนอวี๋เอ่ยพร้อมประกายตาวาวโรจน์
“หากนิกายใหญ่ทั้งหมดร่วมมือกัน พวกเราก็คงไม่จำเป็นต้องกลัวร่างแยกของราชินีหนอนผีเสื้อเหล่านั้นจริงๆ” หลังเทียนเกอเจินเหรินฟังจบ คิ้วจึงคลายออกเล็กน้อย