ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 1152 คุนอวี้
หลิ่วหมิงอ้าปากกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง
ทว่าในตอนนั้นเองเสียงฝีเท้ากระทบพื้นก็ดังขึ้น ดึงความสนใจของคนส่วนใหญ่ในวิหารไป
หลิ่วหมิงกลืนคำพูดที่มาถึงริมฝีปากแล้วลงไป จากนั้นมองไปตามเสียงจึงพบว่าทางเข้าห้องโถงมีคนสามคนเดินเข้ามาใหม่
พิจารณาจากเสื้อผ้าของคนที่เดินนำอยู่ด้านหน้าสุดซึ่งเหมือนกันกับอาภรณ์ของหลิ่วหมิง เขาคงเป็นศิษย์ลับคนหนึ่งเช่นกัน ดูแล้วเขาอายุราวสามสิบกว่าปี รูปร่างสูงยิ่งนัก เทียบกับหลิ่วหมิงแล้วยังสูงกว่าถึงหนึ่งช่วงศีรษะ ทว่าร่างกายของเขากลับแลดูผอมบางอยู่บ้าง ผิวเหลืองคล้ำประหนึ่งป่วยเป็นโรคร้ายบางอย่าง
หลังจากหลิ่วหมิวกวาดจิตสัมผัสผ่านบนร่างคนผู้นี้ รูม่านตาพลันหดเล็กลงเล็กน้อย
แรงกดดันจิตวิญญาณของคนผู้นี้อยู่ราวระดับแก่นแท้ขั้นปลาย แม้แลดูร่างกายผอมแห้ง แต่ลึกลงไปในร่างกลับมีลมปราณแปลกประหลาดชนิดหนึ่งแผ่ออกมาเลือนรางราวกับว่าพลังปราณบริสุทธิ์ทั้งหมดรวมตัวกันอยู่ลึกเข้าไปในแกนกระดูก
ความรู้สึกเช่นนี้คล้ายคลึงกับร่างกายของเขาหลังจากฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำอยู่บ้าง
ด้านหลังของบุรุษผิวสีเหลืองมีคนตามมาอยู่สองคน เป็นบุรุษวัยฉกรรจ์ผิวสีทองแดงคนหนึ่งกับหญิงสาวอาภรณ์สีเขียวผู้หนึ่ง บนศีรษะของหญิงสาวคาดสายสร้อยประดับผมสีฟ้า กลางหว่างคิ้วมีปานแดงจุดหนึ่งทำให้รูปลักษณ์แลดูแปลกตา
ทั้งสองคนก็คือคู่รักฝึกฝนระดับแก่นแท้ผู้โด่งดังจากยอดเขาสวรรค์ลี้ลับของนิกายยอดบริสุทธิ์ ซ่างกวนเยี่ยนอวี่กับหลิงอีอีนั่นเอง
ทั้งสองดูค่อนข้างคุ้นเคยกับบุรุษหน้าเหลืองคล้ำแต่ก็มีสีหน้ายำเกรงเขาอยู่บ้าง ทั้งคู่ทิ้งระยะเดินตามอยู่ด้านหลังเล็กน้อย
หลิ่วหมิงไม่ได้อยู่ที่นิกายมานานจึงไม่รู้จักทั้งสามคน แต่ตัดสินจากเสื้อผ้าที่สวมอยู่บนร่าง บุรุษด้านหน้าเหมือนจะเป็นศิษย์ลับเช่นเดียวกัน เขาได้ยินใครบางคนเรียกอีกฝ่ายว่าศิษย์พี่คุน
เขาเพิ่งได้เข้าเป็นศิษย์ลับ นับจนครบถ้วนแล้วก่อนหน้านี้รู้จักศิษย์ลับคนอื่นเพียงสองคน คนหนึ่งคือจินเทียนชื่อที่ยามนี้กลายเป็นผู้อาวุโสระดับดาราพยากรณ์ไปแล้ว ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือฉิวหลงจื่อ ศิษย์ลับแซ่คุนผู้นี้ เขาไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน
บุรุษหน้าเหลืองคล้ำสีหน้าเฉยเมย มองเมินผ่านศิษย์ผู้อื่นรอบด้านราวกับไม่เห็น เมื่อเดินไปถึงเบื้องหน้าเทียนเกอเจินเหรินพร้อมกับสองคนด้านหลัง ทั้งสามคนก็ค้อมกายคำนับพร้อมกัน “คารวะเจ้าสำนัก”
“ดี คนมากันพร้อมแล้ว” เทียนเกอเจินเหรินพยักหน้าให้พวกบุรุษหน้าเหลืองคล้ำแล้วลุกขึ้นยืน
ผู้คนในห้องโถงเห็นเช่นนี้จึงหุบปากในทันที แล้วมองไปหาเทียนเกอเจินเหริน
“เวลากระชั้น ข้าจะย่นย่อไม่ให้มากความ วันนี้ที่เรียกพวกเจ้ามารวมกัน ความจริงเป็นเพราะมีภารกิจเร่งด่วนประการหนึ่ง เช้าตรู่วันนี้ตระกูลเยี่ยแห่งเทือกเขาหม่อนเขียวซึ่งเป็นตระกูลบริวารตระกูลหนึ่งของนิกายเราส่งคนมาขอความช่วยเหลือ รอบเทือกเขาหม่อนเขียวมีแมลงจำนวนมากรวมตัวกันอยู่ เกรงว่าเป้าหมายคงจะเป็นชีพจรจิตวิญญาณที่นั่น หลังจากข้ากับผู้อาวุโสทั้งหลายหารือกันจึงตัดสินใจว่าจะส่งพวกเจ้าเดินทางไปยังเขาหม่อนเขียวช่วยตระกูลเยี่ยกวาดล้างแมลงเหล่านี้ ชีพจรจิตวิญญาณกับภูเขาเหมืองแร่ของที่นั่นสำคัญต่อสำนักของเราอย่างยิ่ง หากเสียไปจะเป็นความสูญเสียที่มิอาจประเมินได้ ด้วยเหตุนี้จะเสียไปไม่ได้เด็ดขาด” เทียนเกอเจินเหรินกวาดสายตาผ่านร่างของทุกคนที่นั่น ขณะที่ปากเอ่ยบอกแช่มช้า
“น้อมรับคำสั่งท่านประมุข!”
เมื่อได้ยินคำนี้ ทุกคนที่อยู่ที่นั่นไม่มีผู้ใดเผยสีหน้าประหลาดใจ ต่างคนขานรับอย่างพร้อมเพรียง
“จากข่าวที่ตระกูลเยี่ยสืบมาได้ในตอนนี้ ในหมู่แมลงเหล่านี้ยังไม่มีเผ่าหนอนผีเสื้อชั้นสูงระดับดาราพยากรณ์ แต่พวกเจ้าจงอย่าได้ประมาทเกินไปนัก” เทียนเกอเจินเหรินเอ่ยสีหน้าเคร่งขรึม
“ทราบแล้ว!” คนทั้งหมดพยักหน้าขานตอบ
เทียนเกอเจินเหรินพยักหน้าจากนั้นจึงมองหลิ่วหมิงกับบุรุษหน้าเหลืองคล้ำแล้วเอ่ยปากอีกว่า
“ภารกิจครั้งนี้ให้พวกเจ้าสองคนเป็นหัวหน้า หากพบเรื่องอันใดจงจำไว้ว่าต้องหารือกัน ต้องกำจัดเผ่าหนอนผีเสื้อกลุ่มนี้ให้สิ้นซาก!”
บุรุษหน้าเหลืองคล้ำฟังจบก็มองหลิ่วหมิงที่อยู่ไม่ไกลแวบหนึ่ง ดวงตาฉายแววประหลาดใจจางๆ
หลิ่วหมิงยืนเงียบไม่พูดไม่จาอยู่ด้านข้างมาตลอด บุรุษหน้าเหลืองคล้ำถึงกับไม่รู้สึกตัวเลยว่าในห้องโถงมีศิษย์ลับแปลกหน้าคนหนึ่งอยู่ด้วย
ทั้งสองคนสบตากันเพียงชั่วครู่ ก็ประสานมือขานรับเทียนเกอเจินเหรินพร้อมกัน
บุรุษวัยฉกรรจร์ผิวสีทองแดงผู้นั้นด้านหลังบุรุษหน้าเหลืองคล้ำกลับมองสำรวจหลิ่วหมิงตั้งแต่หัวจรดเท้า ดวงตาทอประกายประหลาด ไม่ทราบกำลังคิดสิ่งใดอยู่
หลังจากนั้นเทียนเกอเจินเหรินจึงกำชับจุดสำคัญหลายประการของการเดินทางครั้งนี้ต่ออย่างสั้นๆ จากนั้นเมื่อเขาออกคำสั่ง ศิษย์สิบกว่าคนซึ่งมีเจียหลานอยู่ในนั้นด้วยก็ออกเดินทางทันที
“ส่งศิษย์ไปเพียงเท่านั้นจะไม่เหมาะหรือไม่? เขาหม่อนเขียวอยู่ห่างจากหุบเขาวิญญาณร่ำไห้เพียงไม่กี่หมื่นลี้ แม้ทางเชื่อมมิติที่หุบเขาวิญญาณร่ำไห้จะถูกสำนักเฮ่าหรานผนึกไปชั่วคราวแล้ว แต่ได้ยินมาว่าแมลงระดับสูงส่วนหนึ่งยังหนีรอดไปได้ คาดว่าแมลงที่เขาหม่อนเขียวก็คงหนีมาจากหุบเขาวิญญาณร่ำไห้ หากมีระดับดาราพยากรณ์อยู่ในนั้น ศิษย์เหล่านี้ไยมิใช่อันตรายแล้ว? แม้คุนอวี้จะพลังไม่อ่อนแอ แต่ในสงครามใหญ่ก่อนหน้านี้ไม่นานเขาบาดเจ็บยังไม่หายดี” ผู้อาวุโสระดับดาราพยากรณ์ด้านข้างเผยสีหน้ากังวลใจ
“ไยข้าจะไม่คิดเรื่องนี้ แต่ยามนี้แม้แต่เจ้าก็ต้องรีบเร่งไปแนวหน้า ในนิกายมีคนไม่พอแล้วจริงๆ จึงได้แต่ส่งคนเหล่านี้เดินทางไป แต่ไม่ต้องกังวลใจ มีหลิ่วหมิงอยู่ ต่อให้พบแมลงระดับดาราพยากรณ์ก็น่าจะไม่เป็นอะไร” เทียนเกอเจินเหรินถอนหายใจแผ่วเบาแล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ
“อ้อ? ศิษย์ลับที่หน้าตาไม่สะดุดตาผู้นั้นเมื่อครู่ก็คือหลิ่วหมิงที่สร้างความชอบครั้งใหญ่ในศึกที่ยอดเขาแสงอัสดงหรือ?” ผู้อาวุโสระดับดาราพยากรณ์ที่เอ่ยปาก ดวงตาฉายแววประหลาดใจวูบหนึ่ง จากนั้นจึงพยักหน้าอย่างเชื่องช้า
ณ ลานกว้างนอกวิหารหลังใหญ่ของยอดเขาหลัก พวกหลิ่วหมิงสิบกว่าคนกำลังเตรียมตัวเพื่อออกเดินทาง
หลิ่วหมิงกับคุนอวี้บุรุษหน้าเหลืองคล้ำเมื่อครู่บอกชื่อแซ่ของกันและกันก็นับว่ารู้จักกันแล้ว จากนั้นทั้งสองคนจึงเริ่มจัดแจงงานในภารกิจครั้งนี้
แม้ทั้งสองคนจะเป็นหัวหน้ากลุ่ม แต่งานส่วนใหญ่ คุนอวี้ล้วนเป็นผู้จัดการอยู่คนเดียว ทั้งเขาดูเหมือนจะกระตือรือร้นกับเรื่องเช่นนี้อย่างยิ่ง
หลิ่วหมิงคร้านจะสนใจสิ่งเหล่านี้จึงยืนอยู่ด้านข้างเพียงลำพังเงียบๆ
ในตอนนี้เองเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นด้านหลัง หลิ่วหมิงหันหน้าไปมองก็พบว่าหนึ่งบุรุษ หนึ่งสตรีคู่นั้นที่ติดตามอยู่ข้างกายคุนอวี้ก่อนหน้านี้เดินมาหยุดยืนอยู่ไม่ห่างจากเขานัก
“ท่านก็คือหลิ่วหมิงผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือในหมู่ศิษย์สายในระยะนี้หรือ? ข้าซ่างกวนเยี่ยนอวี่จากยอดเขาสวรรค์ลี้ลับ” ซ่างกวนเยี่ยนอวี่มองหลิ่วหมิงอยู่หลายครั้ง แววตาชั่วร้ายปรากฏขึ้นวูบหนึ่งก่อนจะเลือนหายไป
“ที่แท้ศิษย์พี่จากยอดเขาสวรรค์ลี้ลับนี่เอง ทั้งสองท่านมีธุระประการใดหรือ?” หลิ่วหมิงแววตาวาววับวูบหนึ่ง เขาเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายอยู่ในสายตาแต่เอ่ยตอบอย่างไม่แสดงท่าที
“ได้ยินว่าหลายวันก่อนท่านผนึกทางเชื่องมิติของกองทัพเผ่าหนอนผีเสื้อในศึกที่ยอดเขาแสงอัสดง สร้างความดีความชอบครั้งใหญ่ให้แก่นิกายจึงได้เลื่อนเป็นศิษย์ลับสินะ?” ซ่างกวนเยี่ยนอวี่หรี่ตา น้ำเสียงฟังดูแปลกพิกล
“ถูกต้อง แล้วอย่างไร?” หลิ่วหมิงขมวดคิ้วตอบ
น้ำเสียงของคนผู้นี้ตรงหน้าเห็นชัดว่าไม่เป็นมิตร เขาเองย่อมพูดอย่างไม่เกรงใจเช่นกัน
“ศิษย์พี่หลิ่วเข้าใจผิดแล้ว พวกเราสามีภรรยาเพิ่งพบหน้าท่านครั้งแรก ได้ยินชื่อเสียงมาเนิ่นนานจึงเข้ามาทักทายก่อนก็เท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาอื่นใด” ขณะที่ซ่างกวนเยี่ยนอวี่คิดจะเอ่ยปากพูดอะไรนั่นเอง หลิงอีอีพลันก้าวเข้ามาขวางหน้าซ่างกวนเยี่ยนอวี่ไว้แล้วเอ่ยเสียงเบากับหลิ่วหมิง
ดวงตาของซ่างกวนเยี่ยนอวี่ทอประกายเย็นเยียบวูบหนึ่ง เขามองหลิงอีอีแล้วแค่นเสียงไม่พอใจ จากนั้นหมุนตัวจากไปอย่างไม่สนใจผู้ใด
หลิงอีอียิ้มขออภัยให้หลิ่วหมิงแล้วจึงก้าวเร็วไวตามซ่างกวนเยี่ยนอวี่ไปหาคุนอวี้
หลิ่วหมิงมองแผ่นหลังของทั้งสองคนแล้วรู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่บ้าง ตนกลับมาถึงนิกายยอดบริสุทธิ์ได้เพียงไม่กี่วัน ก็เหมือนจะไม่ได้ล่วงเกินสองคนนี้นะ หรือจะเป็นเพราะเรื่องหลัวเทียนเฉิง?
เขานึกย้อนช่วงเวลาหลังจากกลับนิกายก็หาต้นสายปลายเหตุออกมามิได้ จึงโยนเรื่องนี้ทิ้งไป
เรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ เขาคร้านจะเปลืองสมองขบคิด
ซ่างกวนเยียนอวี่กับหลิงอีอีมาหยุดยืนอยู่ตรงที่ว่างไม่ไกลจากคุนอวี้
“เยี่ยนอวี่ เจ้าผลีผลามเกินไปแล้ว” หลิงอีอีมองซ่างกวนเยี่ยนอวี่แล้วถอนหายใจออกมา
“เหอะ! ก็ข้าเก็บโทสะนี้ไว้ไม่ไหว เดิมทีภารกิจลอบเข้าถิ่นศัตรูครั้งนั้น อาจารย์ลุงช่วยข้าจนได้โอกาสมาแล้ว แล้วยังคุยกับท่านประมุขเทียนเกอเรียบร้อย ใครจะคิดว่าจู่ๆ หลิ่วหมิงผู้นี้ก็แทรกเข้ามา หากไม่ได้เป็นเช่นนั้น เวลานี้ผู้ที่กลายเป็นศิษย์ลับย่อมเป็นข้าซ่างกวนเยี่ยนอวี่” ซ่างกวนเยี่ยนอวี่เอ่ยอย่างเคืองแค้น
“เรื่องมาจนถึงวันนี้ เจ้าไปหาเรื่องเขาอีกมีประโยชน์อันใด หลังจากนี้ยังมีโอกาสอีก ลองมองอีกแง่หนึ่ง ในเมื่อคนผู้นี้ทำภารกิจลอบเข้าถิ่นศัตรูครั้งนั้นได้ลุล่วง พลังย่อมมิอาจดูแคลนได้ ไม่จำเป็นต้องล่วงเกินศิษย์ลับคนหนึ่งด้วยความโมโหชั่ววูบ” หลิงอีอีส่ายศีรษะเอ่ยปลอบ
ซ่างกวนเยี่ยนอวี่ฟังแล้วก็ยังคงสีหน้าบึ้งตึง
“เอาล่ะ สิ่งที่ข้าควรพูด ข้าก็พูดไปแล้ว หลังจากไปถึงเขาหม่อนเขียว ให้ทำทุกสิ่งตามคำสั่งของข้า งานมิสมควรชักช้า พวกเราออกเดินทางกันตอนนี้เลยเถิด!” ในเวลาเดียวกัน ฝั่งของคุนอวี้ก็จัดสรรงานให้สมาชิกเรียบร้อยอย่างรวดเร็ว เมื่อเขาออกคำสั่งจบก็สะบัดแขนเสื้อเรียกเรือเหาะทรงกระสวยสีเหลืองทั้งลำออกมาแล้วกระโดดนำขึ้นไปก่อน
หลิ่วหมิงกับศิษย์สายในคนอื่นเห็นเช่นนี้จึงทยอยเหาะขึ้นเรือตาม
“พวกเราก็รีบไปกันเถิด ศิษย์พี่คุนกำลังรอพวกเราอยู่” หลิงอีอีมองเรือเหาะที่อยู่ไม่ไกลแล้วเอ่ยเสียงเบากับซ่างกวนเยี่ยนอวี่
ซ่างกวนเยี่ยนอวี่ฟังจบก็มองหลิ่วหมิงที่ยืนอยู่ท้ายเรือเหาะแวบหนึ่ง แล้วจึงพยักหน้าแขนข้างหนึ่งโอบเอวหลิงอีอี หายตัวมาปรากฏกายบนเรือเหาะ
หลังจากคุนอวี้เห็นทุกคนขึ้นเรือเหาะครบแล้ว มือข้างหนึ่งพลันทำท่าเคล็ดวิชา ผิวของเรือเหาะสีเหลืองเปล่งแสงสว่างวูบหนึ่ง ทันใดนั้นเกราะแสงสีเหลืองหนาชั้นหนึ่งพลันปรากฏล้อมผู้คนทั้งหมดไว้ด้านใน ก่อนจะกลายเป็นแสงสีเหลืองดวงหนึ่งแล่นไปไกลพันลี้
ระยะทางจากเทือกเขาหมื่นวิญญาณไปถึงเขาหม่อนเขียวค่อนข้างไกล อีกทั้งระหว่างทางยังไม่มีค่ายกลเคลื่อนย้าย ต้องเหาะทั้งวันทั้งคืนไม่หยุดพักเป็นเวลาหลายวันกว่าจะไปถึง
โชคดีที่เรือเหาะสีเหลืองลำนี้ขนาดไม่เล็ก บนเรือมีหอสามชั้นอยู่หลังหนึ่ง มีห้องเดี่ยวไม่น้อยให้พักผ่อนได้
หลิ่วหมิงฟังแผนภารกิจจากคุนอวี้จบแล้วจึงเดินไปยังห้องของตนเอง
เดินมาได้ครึ่งทาง สายตาของเขาก็หยุดอยู่บนประตูห้องบานหนึ่งที่ชั้นสอง ในใจคิดบางอย่างขึ้นมา จึงเดินไปหน้าประตูแล้วเคาะเบาๆ
หลังจากนั้นครู่หนึ่งบานประตูก็เปิดออกแผ่วเบา คนในห้องสวมอาภรณ์สีฟ้าใส นางคือเจียหลานนั่นเอง
นางมองหลิ่วหมิงแล้วไม่พูดไม่จา แต่เบี่ยงกายหลีกทางให้เดิน
หลิ่วหมิงลูบจมูกแล้วยกเท้าเดินเข้าไป
ห้องแห่งนี้ไม่ใหญ่โต แต่ก็มีขนาดสิบกว่าจั้ง ด้านในมีเตียงหนึ่งหลัง โต๊ะหนึ่งตัว เก้าอี้หนึ่งตัว นอกเหนือจากนี้ก็ไม่มีสิ่งใดอีก
บนโต๊ะมีกาน้ำชาดินเผาสีแดงสำหรับชงชาวางอยู่ ไอน้ำร้อนผ่าวพวยพุ่งส่งกลิ่นชาหอมอบอวล
ดูเหมือนว่าเมื่อครู่เจียหลานจะกำลังชงชาอยู่