ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 1160 แดนลึกลับหมื่นสรรพสิ่ง
ครู่หนึ่งหลังจากนั้น เหนือยอดเขาหลักของเทือกเขาหมื่นวิญญาณซึ่งรายล้อมด้วยเมฆหมอกก็มีลำแสงสีดำเส้นหนึ่งเหาะเร็วรี่มาจากไกลๆ มันพุ่งวูบเดียวร่อนลงบนลานกว้างของยอดเขาหลัก
หลังจากแสงสว่างดับลงก็เผยร่างของหลิ่วหมิงที่สวมเครื่องแบบของศิษย์ลับออกมา
ด้านนอกวิหารหลังใหญ่บนยอดเขาหลักเวลานี้มีผู้คนน้อยนิดเพียงไม่กี่คน นอกจากศิษย์ที่เฝ้าประตูสองคนก็ไม่เห็นผู้คนสักเท่าไร
“ข้าต้องการคารวะท่านประมุขเทียนเกอ” หลิ่วหมิงแสดงป้ายประจำตัวแล้วเอ่ยแจ้งเจตนา
ศิษย์ที่เฝ้าประตูทั้งสองคนเห็นหลิ่วหมิงมาหลายครั้งแล้ว หลังจากคำนับครั้งหนึ่ง คนหนึ่งในนั้นจึงเอ่ยขึ้นทันที
“ตอบศิษย์พี่หลิ่ว เมื่อวันก่อนท่านประมุขเทียนเกอมีเรื่องด่วนจึงออกไปจากนิกาย เวลานี้ผู้อาวุโสจินเลี่ยหยางเป็นผู้รักษาการณ์ที่วิหารหลักแทนเขา ไม่ทราบศิษย์พี่หลิ่วต้องการพบหรือไม่?”
หลิ่วหมิงครุ่นคิดเล็กน้อยก็พยักหน้า
“ศิษย์พี่หลิ่วโปรดรอนอกวิหารสักครู่” ศิษย์ที่เฝ้าประตูเอ่ยแล้วหมุนตัวเข้าไปแจ้ง ศิษย์ที่เฝ้าประตูอีกคนหนึ่งทำสีหน้านอบน้อม
ครู่หนึ่งหลังจากนั้นศิษย์ที่เข้าไปแจ้งเมื่อครู่จึงออกมาเอ่ยเชิญ หลิ่วหมิงยกเท้าก้าวเข้าไปในวิหารหลังใหญ่ทันที
ด้านในห้องโถง จินเลี่ยหยางกำลังนั่งอยู่บนตำแหน่งประธาน เบื้องหน้ามีบุรุษผมสีม่วงที่สวมชุดศิษย์ลับคนหนึ่งกำลังแจ้งบางอย่างกับเขาอย่างนอบน้อม
เมื่อเห็นหลิ่วหมิงปรากฏตัวที่ประตูห้องโถง จินเลี่ยหยางก็ลุกขึ้นจากที่นั่งทันทีแล้วเดินเข้ามาหาหลิ่วหมิงพร้อมสีหน้าดีอกดีใจ
บุรุษผมม่วงเห็นเช่นนี้จึงมองหลิ่วหมิงที่อยู่ตรงประตูแวบหนึ่ง เขาเหมือนยังอยากเปิดปากพูดอะไรบางอย่าง แต่เสียงราบเรียบของจินเลี่ยหยางดังขึ้นข้างหูเขาเสียก่อน
“เรื่องนี้ข้ารับทราบแล้ว ประเดี๋ยวข้าจะติดต่อกับผู้อาวุโสหลี่ของนิกายเทียนกงหารือเรื่องนี้ด้วยตนเอเจ้าออกไปก่อนเถอะ”
“ขอรับ” บุรุษผมม่วงประสานมือให้เขาอย่างนอบน้อม จากนั้นเดินออกจากห้องโถงทันที
เมื่อเดินไปถึงประตู เขาก็เผยสีหน้าสงสัยใคร่รู้เล็กน้อยเหลือบมองหลิ่วหมิงแวบหนึ่ง
แม้หลิ่วหมิงไม่รู้จักอีกฝ่าย แต่ก็ผงกศีรษะเล็กน้อยทักทายเขา
“ศิษย์น้องหลิ่ว หลายวันก่อนท่านประมุขบอกว่าเจ้าใกล้จะเตรียมเก็บตัวแล้ว เดิมคิดว่าต้องใช้เวลาเตรียมตัวอีกสักหน่อยจึงให้ข้าคอยสังเกต ดูจากที่ตอนนี้เจ้าพลังปราณเต็มเปี่ยม คงมาหาท่านประมุขเทียนเกอเพื่อคุยเรื่องการเลื่อนสู่ระดับแก่นแท้ขั้นปลายสินะ?” หลังจากบุรุษผมม่วงเดินออกไป ยังไม่ทันที่หลิ่วหมิงจะเอ่ยปาก จินเลี่ยหยางก็เผยสีหน้ายินดีก้าวเข้ามาข้างหน้าหลายก้าว
“ศิษย์พี่ช่างดวงตากระจ่างดุจคบไฟ วันนี้หลิ่วหมิงมาที่นี่ก็เพื่อเตรียมยื่นขอสถานที่ซึ่งมีปราณจิตวิญญาณเต็มเปี่ยมสักแห่งเพื่อเริ่มเก็บตัว” หลิ่วหมิงก็ไม่เกรงใจ เขายิ้มเล็กน้อยเอ่ยขึ้นมา
“ยามนี้ศิษย์น้องเป็นศิษย์ลับของนิกายยอดบริสุทธิ์ของเรา การเลื่อนระดับพลังเกี่ยวพันถึงกำลังของนิกายเรา ข้าย่อมเป็นธุระจัดการหาสถานที่อันยอดเยี่ยมสักแห่งให้แก่เจ้า!” จินเลี่ยหยางเหมือนจะเตรียมการไว้ก่อนแล้ว เมื่อได้ฟังจึงหัวเราะเบาๆ
“ถ้าเช่นนั้นรบกวนศิษย์พี่จินแล้ว” ดวงตาของหลิ่วหมิงฉายแววยินดีขณะประสานมือคำนับ
“เรื่องนี้ไม่สมควรชักช้า ศิษย์น้องตามข้ามาเดี๋ยวนี้เลยเถิด!” จินเลี่ยหยางหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังแล้วเดินออกจากประตูไปทันที
เกือบครึ่งชั่วยามให้หลัง
บนยอดเขาประหลาดที่ด้านบนกว้างด้านล่างแคบลูกหนึ่งตรงสุดขอบเทือกเขาหมื่นวิญญาณ ทุกมุมของภูเขาเต็มไปด้วยพืชพรรณประหลาดเขียวขจีและบุปผาหายากงอกงามสวยสดละลานตา บนหน้าผาฝั่งหนึ่งของภูเขามีน้ำตกสีฟ้าประหนึ่งผืนผ้าไหมสายหนึ่งเทลงมา แสงตะวันแรงกล้าสาดส่องสะท้อนเป็นประกายระยิบระยับจับตา
เวลานี้จินเลี่ยหยางนำทางหลิ่วหมิงมายืนเคียงกันอยู่บนยอดเขา
ทันใดนั้นจินเลี่ยหยางก็พลิกมือข้างหนึ่ง เพียงพริบตากลางฝ่ามือก็ปรากฏป้ายคำสั่งสีทองกะทัดรัดแผ่นหนึ่ง จากนั้นเขาจึงประกบมันเข้าไปที่จุดหนึ่งของหน้าผาหินบนยอดเขา ประกายแสงสีทองสว่างขึ้นวูบหนึ่ง จากนั้นมันจึงจมหายเข้าไปในกำแพงหินในพริบตา
ครืน เสียงดังสนั่นดังขึ้นหลายครั้ง
หลังจากนั้นหน้าผาหินก็สั่นอยู่พักหนึ่งแล้วเผยโพรงถ้ำที่สูงสิบกว่าจั้งแห่งหนึ่งออกมา
จินเลี่ยหยางก้าวเท้าเดินเข้าไปอย่างชำนาญทาง หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้จึงตามเข้าไปด้วย
ภายในถ้ำคือห้องโถงทรงกลมขนาดหลายสิบจั้งแห่งหนึ่งที่แสงไม่สว่างนัก แต่เพียงพอให้มองเห็นเสาหยกหนาเท่าสองคนโอบหลายต้นที่เชื่อมพื้นกับเพดานได้อย่างง่ายดาย ผิวของเสาหยกเรืองแสงนวลตาออกมาเป็นระลอก
ในห้องโถงตกแต่งอย่างเรียบง่ายยิ่งนัก มีทางเดินมืดสลัวทอดยาวลึกลงไปใต้ดินเส้นหนึ่ง
“เอ๋ เลี่ยหยางเจ้าเลื่อนขึ้นระดับดาราพยากรณ์ไปแล้วไม่ใช่หรือ มาที่นี่ทำอันใด? เดี๋ยวก่อน เจ้าหนุ่มด้านหลังเจ้าคนนั้นอายุยังน้อยก็ระดับแก่นแท้ขั้นกลางเสียแล้ว ดูท่ามาเยือนครั้งนี้คงเพื่อคนผู้นี้กระมัง?” อากาศเบื้องหน้าทอแสงขึ้นวูบหนึ่ง ทันใดนั้นผู้เฒ่าเส้นผมหนวดเคราขาวโพลนผู้มีใบหน้าอ่อนน้อมหางคิ้วตกผู้หนึ่งพลันปรากฏตัวขึ้น
คนผู้นี้เรียกนามจริงของจินเลี่ยหยาง อีกทั้งเมื่อกวาดจิตสัมผัสผ่านกลับไม่รู้สึกถึงลมปราณที่แผ่ออกมาจากตัวอีกฝ่ายแม้แต่น้อย เขาน่าจะเป็นยอดฝีมือระดับดาราพยากรณ์ผู้หนึ่ง
“ฮ่าๆ ผู้อาวุโสเฟ่ยตาแหลมนัก คนผู้นี้นามว่าหลิ่วหมิง ยามนี้เข้ามาอยู่ในวังเจดีย์แล้ว เชื่อว่าเป้าหมายที่มาเยือนที่นี่ไม่ต้องให้ข้าพูด ผู้อาวุโสเฟ่ยก็คงเข้าใจกระมัง”
จินเลี่ยหยางหัวเราะแล้วดันหลิ่วหมิงมาด้านหน้า
“หลิ่วหมิง…เขาก็คือศิษย์ลับผู้นั้นที่สังหารเผ่าหนอนผีเสื้อระดับดาราพยากรณ์ก่อนหน้านี้หรือ? หากเป็นเช่นนั้นย่อมมีคุณสมบัติมาที่นี่” ผู้เฒ่าหางคิ้วตกอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นจึงมองสำรวจหลิ่วหมิงอย่างละเอียด
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้แซ่จินก็ไม่รบกวนแล้ว หลิ่วหมิง ผู้อาวุโสเฟ่ยเวยคือผู้ดูแลแดนลึกลับหมื่นสรรพสิ่งแห่งนี้ หากก่อนเก็บตัวยังต้องการสิ่งอื่นใดก็บอกกล่าวกับเขาโดยตรง เขาจะช่วยเจ้าชี้แนะทุสิ่ง” หลังจากจินเลี่ยหยางเอ่ยจบก็มองหลิ่วหมิงอย่างแฝงความนัย จากนั้นกลายเป็นแสงสีทองสายหนึ่งลอยละล่องออกไป
ยามหลิ่วหมิงได้ยินคำว่า “แดนลึกลับหมื่นสรรพสิ่ง” ในใจก็นึกบางสิ่งขึ้นมาได้ เขาคำนับผู้เฒ่าหางคิ้วตกเบื้องหน้าทันที
“หลิ่วหมิง คารวะผู้อาวุโสเฟ่ย”
“ไม่ต้องพิธีรีตอง ในเมื่อเจ้ามาถึงที่นี่ คิดว่าคงมั่นใจในการทะลวงสู่ขั้นปลายอยู่บ้างสินะ ตามข้ามาเถิด” ผู้อาวุโสเฟ่ยกวักมือเรียกหลิ่วหมิงแล้วจึงหมุนตัวเดินเข้าไปในทางเดินเบื้องหน้า
หลังจากเดินเลี้ยวลดคดเคี้ยว หลิ่วหมิงก็ตามผู้เฒ่าหางคิ้วตกมาจนถึงในห้องศิลาแห่งหนึ่ง
ภายในห้องศิลามีเพียงค่ายกลเคลื่อนย้ายสีฟ้ารูปสี่เหลี่ยมขนาดหนึ่งจั้งกว่าค่ายกลหนึ่ง แต่บนกำแพงสี่ด้านกลับฝังผลึกหินที่เป็นประกายแวววาวไว้มากมาย
“ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสจินบอกกับเจ้าแล้วหรือไม่ว่าแดนลึกลับหมื่นสรรพสิ่งเป็นสถานที่บรรลุร่างพลังเวทฟ้าดินของศิษย์ลับนิกายเรา ยามปกติไม่เปิดให้ใช้ แต่เจ้ามีความดีความชอบที่สังหารเผ่าหนอนผีเสื้อระดับดาราพยากรณ์หลายตัว ผนวกกับผู้อาวุโสจินออกหน้าให้ การจะใช้สถานที่แห่งนี้จึงไม่มีผู้ใดกล้าคัดค้าน” ผู้อาวุโสเฟ่ยเหมือนจะถูกใจหลิ่วหมิงเอาการ จึงเล่าความเป็นมาเป็นไปของการมาที่นี่ให้หลิ่วหมิงฟังจนหมดเปลือก
“ขอบคุณผู้อาวุโสเฟ่ยยิ่งนัก ไม่รู้ว่ามีข้อห้ามประการใดยามอยู่ด้านในหรือไม่?” หลิ่วหมิงฉุกคิดขึ้นมาจึงรีบเอ่ยถามอย่างนอบน้อม
แดนลึกลับหมื่นสรรพสิ่งแห่งนี้ ยามอยู่ในนิกายเขาเคยได้ยินมาบ้าง เล่าลือกันว่าหลายหมื่นปีก่อนผู้อาวุโสระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์หลายคนในนิกายร่วมมือกันใช้สมบัติพิทักษ์นิกายเปิดมิติเพื่อนำปราณจิตวิญญาณฟ้าดินที่มิใช่ของโลกมนุษย์มาจากโลกบนอันเลือนรางล่องลอยผ่านเข้ามาทางรอยแยก แล้วสร้างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งการฝึกฝนเช่นที่แห่งนี้ขึ้นมา
นี่เป็นคำเล่าลือที่แพร่หลายที่สุดของนิกายสายใน นอกเหนือจากนี้เขาก็ไม่รู้สิ่งใดแล้ว
“ความเข้มข้นของปราณจิตวิญญาณฟ้าดินด้านในจะช่วยเสริมวิชาลับบางอย่าง ทำให้ผนึกร่างพลังเวทฟ้าดินออกมาได้ไม่น้อย แต่ยามนี้เจ้าเป็นเพียงระดับแก่นแท้ขั้นกลางยังไม่ต้องล่วงรู้มากนัก อาศัยหยิบยืมปราณจิตวิญญาณแห่งฟ้าดินอันเข้มข้นเป็นพิเศษด้านในทะลวงคอขวดก็เพียงพอ” ผู้อาวุโสเฟ่ยอธิบายตามสบายสองสามคำเหมือนไม่ยินดีจะบอกกล่าวมากเกินไป
หลิ่วหมิงฟังแล้วย่อมขานรับ
“เอาล่ะ นี่คือศิลาหมื่นสรรพสิ่ง หากเจ้าต้องการออกมาก็บีบมันให้แหลกก็พอ” ผู้อาวุโสเฟ่ยเอ่ยบอกแล้วส่งผลึกหินสีขนาดเท่ากำปั้นเด็กทารกก้อนหนึ่งมาให้หลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงรับผลึกหินไปแล้วพยักหน้า จากนั้นร่างกายขยับวูบเดียวร่อนลงใจกลางค่านกลสีฟ้า
ผู้อาวุโสเฟ่ยพลิกฝ่ามือทั้งสองข้าง กลางฝ่ามือปรากฏลูกบอลแสงสีฟ้าสองดวงในทันใด พวกมันส่องสว่างวูบหนึ่งก็กระทบลงบนกำแพงหินสองฝั่ง
หลิ่วหมิงรู้สึกว่าแสงสีฟ้าเจิดจ้าสว่างขึ้นเบื้องหน้าแวบหนึ่ง เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาก็อยู่บนเกาะน้อยที่มีทะเลล้อมรอบด้านแห่งหนึ่งแล้ว
เกาะน้อยมีพื้นที่ไม่มาก ขนาดราวไม่กี่ร้อยหมู่ สามฝั่งที่ติดทะเลล้วนเป็นยอดเขาที่ทอดยาวเป็นแนว ก่อตัวเป็นปราการทรงจันทร์เสี้ยว ส่วนอีกด้านหนึ่งคือป่าทึบผืนใหญ่
ทอดสายตามองไกลออกไปเห็นขอบเกาะมีชั้นจำกัดอ่อนจางที่แทบจะมองเห็นไม่ชัดด้วยตาเปล่าชั้นหนึ่งผนึกปราณจิตวิญญาณบนเกาะไม่ให้รั่วไหล ทำให้ความเข้มข้นของพลังจิตวิญญาณบนเกาะเหนือกว่าเขาเจดีย์อยู่ไกลโพ้น
นิกายยอดบริสุทธิ์มีสมบัติที่ซุกซ่อนไว้มากมายยิ่งนักจริงๆ แม้แต่แดนลึกลับที่มหัศจรรย์เช่นนี้ก็มี นี่ทำให้หลิ่วหมิงอดไม่ได้ดีใจเกินกว่าที่หวัง
เขากวาดสายตามองรอบหนึ่งก็พบว่าปลายยอดของยอดเขาแต่ละลูกล้วนมีถ้ำขนาดไม่เล็กอยู่แห่งหนึ่ง
เขาเพ่งสมาธิแล้วกลายเป็นแสงสีดำเส้นหนึ่งร่อนลงนอกถ้ำแห่งหนึ่งในพริบตา
ภายในถ้ำมีขนาดเพียงสิบกว่าจั้ง รอบด้านไม่มีชั้นจำกัดอันใด ตำแหน่งที่ตั้งอยู่ตรงจุดศูนย์รวมปราณจิตวิญญาณอย่างเหมาะเจาะ ทำให้หลิ่วหมิงพึงพอใจอย่างยิ่ง
เนื่องจากอยู่ในแดนลึกลับ จึงไม่ต้องกังวลใจนักว่าจะมีคนบังเอิญล่วงล้ำเข้ามาในที่แห่งนี้ ดังนั้นเมื่อหลิ่วหมิงวางชั้นจำกัดง่ายๆ จำนวนหนึ่งเสร็จก็ลูบแหวนย่อส่วนเบาๆ ลำแสงสิบกว่าสายร่วงออกมาในพริบตา
โอสถเหล่านี้คือโอสถสำหรับช่วงทะลวงคอขวดที่หลิ่วหมิงลำบากตรากตรำรวบรวมมาระหว่างหลายปีนี้
หลังจากนั่งขัดสมาธิ มือขวาก็คว้ากำอากาศ โอสถสีทองขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือกลายเป็นลำแสงเส้นหนึ่งในมือ ทันทีที่มุมปากขยับนิดๆ ก็จมหายเข้าไปในปาก ทันใดนั้นด้านในถ้ำก็อบอวลด้วยกลิ่นหอมของโอสถอันเข้มข้นอย่างยิ่ง
หลังจากนั่งทำสมาธิโคจรเคล็ดวิชากระดูกดำ เขาก็เริ่มพินิจสภาพของร่างกายอย่างละเอียด
หลังจากนั้นหนึ่งวันหลิ่วหมิงผู้กระตือรือร้นเต็มเปี่ยมก็ตรวจสอบจนแน่ใจว่าร่างกายของตนอยู่ในสภาพดีที่สุด เขาหลับตาทั้งสองข้าง สองมือเริ่มทำท่าเคล็ดวิชา สัมผัสการเปลี่ยนแปลงของร่างกายกับโลกภายนอกอย่างช้าๆ ตัวเขาประดุจดั่งหลับใหลอยู่
“ผู้อาวุโสหลัวโหว ผู้น้อยมีธุระต้องการพบ เชิญออกมาพบหน้าด้วย” หลิ่วหมิงฉับพลันปรากฏตัวขึ้นในมิติลึกลับ ก่อนจะกวาดมองไปรอบด้าน
มิติของกรงขังกว้างขวางอย่างยิ่งมานานแล้ว เสียงที่ดังอยู่ด้านในจึงลอยออกไปไกลยิ่งนัก
สิ้นเสียงพูดของหลิ่วหมิง เงาร่างผอมบางร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า หลัวโหวยืนอยู่ด้านหน้าแล้ว
“อืม ดูจากสภาพคงเตรียมทะลวงระดับแก่นแท้ขั้นปลายแล้วสินะ เจ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ” หลัวโหวมองสำรวจหลิ่วหมิงอยู่พักหนึ่งก็เอ่ยขึ้นเรียบๆ
“ถูกต้องแล้ว ที่มาพบผู้อาวุโสหลัวโหวก็เพราะหวังว่าจะใช้พลังของกรงขัง…” หลิ่วหมิงแย้มยิ้มเล็กน้อยเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ
“ไม่มีปัญหา ถึงเวลาข้าจะมองหาจังหวะใช้พลังเล็กน้อยของกรงขังช่วยเจ้าอีกแรง” หลัวโหวตอบอย่างฉับไวผิดจากที่คาดไว้
“ถ้าเช่นนั้นก็ขอบคุณผู้อาวุโสหลัวโหว” หลิ่วหมิงประสานมือเอ่ยขอบคุณด้วยสีหน้านอบน้อม จากนั้นจึงหลับตาทั้งสองข้าง แล้วหายตัวไปจากมิติแห่งกรงขัง
ในถ้ำของแดนลึกลับหมื่นสรรพสิ่งหลิ่วหมิงผู้นั่งขัดสมาธิอยู่อดไม่ได้ยกมุมปากแย้มรอยยิ้มจางๆ…