ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 1177 พลังของราชินีหนอนผีเสื้อ
เสวียนอู๋ฉางเห็นหลิ่วหมิงเพิ่มความเร็วเท่าทวีในพริบตาจึงกวาดจิตสัมผัสอันมโหฬารไปด้านหน้า ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจความลับของเรื่องนี้ทันที
เขาคำรามเบาๆ อย่างโกรธจัด สองแขนเหวี่ยงลงมา เร่งพายุคลั่งสีเลือดอันโหดเหี้ยมให้ไล่ตามหลิ่วหมิงอย่างเร็วจี๋ด้วยพลังดุจเขาไท่ซานกดทับเหนือศีรษะ
พายุสีเลือดเคลื่อนผ่านที่ใด ปราณจิตวิญญาณแห่งฟ้าดินในระยะพันจั้งล้วนปั่นป่วน ไม่ว่าผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์หรือเหล่าแมลงหากเข้าใกล้แม้เพียงนิด โลหิตในร่างต่างทะลักออกมาจนหมดสิ้น อย่างเบาก็เจ็บสาหัส อย่างมากก็กลายเป็นศพแห้งกรังร่วงลงไปจากท้องฟ้าในทันใด!
พร้อมกับที่พายุคลุ้งคาวเลือดพัดโหมผ่านท้องฟ้า ปรมาจารย์โลหิตก็ย่นระยะห่างเข้ามาใกล้หลิ่วหมิงอย่างว่องไว
หลิ่วหมิงตกตะลึงอีกครั้ง เขาไม่มีเวลาใส่ใจพลังงานที่ปีกจักจั่นแก้วผลาญอีกต่อไป สองมือใช้เคล็ดวิชา แก่นแท้สีขาวดำที่ลอยอยู่เหนือทะเลจิตวิญญาณหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง พลังเวทอันบริสุทธิ์อย่างที่สุดทะลักออกมาจากด้านในประหนึ่งน้ำพุ แล้วไหลเข้าไปในปีกจิ๋วสีเขียวหยกที่ลอยอยู่เหนือทะเลจิตวิญญาณ
ปีกจิ๋วกระพืออย่างรวดเร็ว เปลวเพลิงสีเขียวบนปีกทั้งสองข้างม้วนตัวเป็นเกลียวออกไปสองฝั่งกลายเป็นเปลวเพลิงที่ลุกโหมรุนแรงดวงหนึ่ง
แสงเปลวเพลิงส่องสะท้อนปีกจิ๋วเป็นประกายแวววับงดงามยิ่งนัก
ในเวลาเดียวกันปีกแก้วสีใสบนแผ่นหลังของหลิ่วหมิงก็เปล่งแสงจิตวิญญาณเจิดจ้าตาม ลวดลายจิตวิญญาณสีขาวแวววาวเส้นแล้วส้นเล่าปรากฏขึ้น!
“ฟึบ!”
ร่างของหลิ่วหมิงพร่าเลือนวูบเดียวก็พุ่งออกไปไกลหลายร้อยจั้ง ความเร็วพอฟัดพอเหวี่ยงกับพายุคลั่งสีเลือดที่ปรมาจารย์โลหิตเสวียนอู๋ฉางสร้างขึ้น
เสวียนอู๋ฉางเห็นเช่นนี้ยิ่งโกรธจัด เขาบังคับพายุโลหิตไล่ตามต่ออย่างบ้าคลั่ง
ความคิดของหลิ่วหมิงแล่นเร็วจี๋ประเมินสถานการณ์แล้วตัดสินใจว่าจะไม่ผละหนีทิ้งสนามรบ
หากจะเผ่นหนีอย่างไร้จุดหมาย มิสู้รั้งอยู่ที่นี่ยังจะมีโอกาสรอดสักเสี้ยวหนึ่ง
ขอเพียงสถานการณ์การต่อสู้ด้านบนดีขึ้นสักเล็กน้อย ไม่แน่อาจจะมีผู้ฝึกฝนระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ของฝั่งตนออกหน้ามารั้งปรมาจารย์โลหิตผู้นี้ไว้ เมื่อถึงเวลานั้นเขาจึงจะมีโอกาสหนีรอดอย่างแท้จริง
เพื่อดึงความสนใจจากด้านบน เขาล่อปรมาจารย์โลหิตเข้าไปยังกลุ่มการต่อสู้ที่ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์น้อยนิด แต่เหล่าแมลงค่อนข้างแน่นขนัดอยู่หลายครั้ง
ส่วนปรมาจารย์โลหิตเมื่อเห็นว่าผู้ฝึกฝนระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ผู้ยิ่งใหญ่เช่นตนกลับจับตัวผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้กระจอกๆ คนเดียวไม่ได้ เขาก็อดไม่ได้อับอายจนโกรธจัด จึงพอดีระบายโทสะทั้งหมดเข้าใส่เหล่าแมลงที่เห็นตามรายทาง
กลับกลายเป็นว่าหลิ่วหมิงหนีไปพลางก็ยืมมือปรมาจารย์โลหิตกำจัดเหล่าแมลงไปได้อย่างน้อยนับหมื่นเช่นนี้ ในหมู่แมลงเหล่านั้นมีระดับแก่นแท้อยู่ไม่น้อยกว่ายี่สิบสามสิบตัว ระดับผลึกยิ่งมากมายนับไม่ถ้วน
หากปล่อยให้ราชินีหนอนผีเสื้อล่วงรู้ว่าปรมาจารย์ระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ฝ่ายอธรรมคนหนึ่งที่นางวางแผนปล่อยออกมาเพื่อจัดการเผ่ามนุษย์กลับสังหารเหล่าแมลงมากยิ่งกว่าผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์เสียอีก เกรงว่านางคงโมโหจนกระอักเลือดเป็นแน่
ทว่าอาวุธเวทปีกจักจั่นแก้วที่เดิมทีใช้ได้เพียงไม่กี่ครั้ง เมื่อหลิ่วหมิงใช้อย่างบ้าคลั่งเช่นนี้ มันจึงสูญเสียพลังมากยิ่งนัก
ปีกจิ๋วคู่นั้นที่ถูกเปลวเพลิงสีเขียวแผดเผาอยู่เหนือทะเลจิตวิญญาณของเขา จากเดิมที่ขนาดเท่ากำปั้นเด็กทารกยามนี้กลับเหลือเพียงขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ ท่าทางเหมือนกำลังจะเผาไหม้หมดสิ้นอยู่เต็มทน
สิ่งที่วิกฤติที่สุดก็คือแม้เขากินโอสถฟื้นฟูระดับสูงไม่ขาด แต่พลังเวทในร่างยามนี้เหลือไม่ถึงหนึ่งในสิบ
สำหรับปรมาจารย์โลหิตที่กำลังบังคับพายุคลั่งสีเลือดให้ไล่ตามมาเสียงดังหวีดหวิว พลังเวทที่เสียไปในชั่วระยะเวลาเท่านี้ย่อมไม่นับเป็นอันใดทั้งสิ้น เขาคงอาศัยพลังจิตอันแข็งแกร่งรับรู้สถานการณ์ของหลิ่วหมิงแล้ว ดวงตาสีเลือดทั้งคู่จึงฉายแววคลุ้มคลั่ง
“ยังคิดหนีอีกหรือเจ้าหนู? ข้าจะดูซิว่าเจ้าจะหนีไปได้ถึงเมื่อไร!” ปรมาจารย์โลหิตตวาดเสียงดัง พายุสีเลือดรอบร่างพัดโหมรุนแรงขึ้นอีกหลายส่วน
ระยะห่างระหว่างทั้งสองคนเริ่มหดลงอย่างรวดเร็วชนิดที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ในห้วงเวลาวิกฤตขณะที่ปีกจักจั่นแก้วของหลิ่วหมิงใกล้ผลาญพลังหมดสิ้นนั่นเอง!
ท้องนภาด้านบนพลันเกิดเสียงดังกัมปนาทสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ในเวลาเดียวกันกับที่คลื่นแรงกดดันจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งจนพรรณนาไม่ถูกสายหนึ่งโถมลงมาเบื้องล่าง
ระหว่างที่หลิ่วหมิงกับปรมาจารย์โลหิตสองคนไล่ล่ากันอยู่ ราชินีหนอนผีเสื้อบนท้องฟ้าไม่รู้ใช้วิธีการใดเบียดร่างกายขาวโพลนประหนึ่งหยกเกินกว่าครึ่งหนึ่งออกมาจากทางเชื่อมมิติได้แล้ว ขาขาวผ่องที่หน้าตาเหมือนแขนมนุษย์หกข้างโผล่ออกมาจากสองฟากของลำตัว
พร้อมกับที่ใบหน้ามนุษย์มหึมาปรากฏให้เห็นชัดในทางเชื่อมมิติ
ใบหน้านี้เห็นชัดว่าเป็นของสตรี ดวงตาใสกระจ่างฟันขาวเดิมทีสมควรเป็นสตรีโฉมงาม แต่เพราะใบหน้านี้มีขนาดถึงหนึ่งหมู่กว่าใหญ่โตเกินไปอย่างแท้จริง แล้วยังงอกอยู่บนร่างหนอนตัวหนึ่ง จึงทำให้แลดูประหลาดน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก
“พวกเจ้าเผ่ามนุษย์กระจิดกระจ้อยเหล่านี้ จงตายเสียให้หมด!” เสียงใสรื่นหูของหญิงสาวตวาดแว่วหวานออกมาจากใบหน้ามนุษย์ขนาดยักษ์ ต่อจากนั้นแขนดั่งหยกขาวหกข้างก็พลันเปล่งแสงสีขาวแสบตาแล้ววาดแผ่วเบา
เกิดเสียง “ฟึบ” ดังสนั่น รอบร่างราชินีหนอนผีเสื้อฉับพลันเปล่งแสงสีขาวผืนใหญ่ พายุหมุนสีขาวหกลูกที่บดบังผืนนภาได้มิดพัดออกไปสี่ด้านแปดทิศท่ามกลางคลื่นพลังมิติอันน่าหวาดกลัว
ผู้ฝึกฝนระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์รอบด้านเห็นเช่นนี้ต่างพากันหน้าถอดสีถอยหลบโดยเร็ว!
ด้านในพายุหมุนสีขาวหลายลูกนั้นเห็นคมดาบสายลมสีขาวเล่มแล้วเล่มเล่ากรีดเสียงแหลมก่อตัวขึ้นอยู่เลือนราง ก่อนจะซัดออกไปทั่วทุกสารทิศอย่างว่องไว
คมดาบสายลมสีขาวตัดผ่านที่ใดล้วนทิ้งเส้นสีดำทะมึนขนาดไม่เท่ากันเส้นแล้วเส้นเล่าเอาไว้
พวกมันล้วนเป็นรอยแยกมิติ!
ฉับพลันทันใดท้องนภาก็ราวกับถูกคมดาบสายลมสีขาวกับรอยแยกมิติสีดำเติมจนเต็ม มากมายถี่ยิบแทบไม่มีที่ให้ซ่อน สับสนอลหม่านไปทุกหนแห่ง
เสียงกรีดร้องดังระงมทันที!
เหล่าแมลงกับผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ไม่น้อยที่บังเอิญอยู่ตรงรอยแยกมิติ ไม่ทันตั้งตัวสักนิดก็ถูกรอยแยกเรียวเล็กเหล่านี้ตัดเฉือนเป็นชิ้นๆ
รอยแยกที่ขนาดใหญ่สักหน่อยแผ่แรงสูบอันน่าหวาดกลัวออกมาจากด้านใน หอบเอาผู้ฝึกฝนกับเหล่าแมลงที่อยู่ใกล้เข้าไปทั้งอย่างนั้น แล้วฉีกทึ้งเป็นชิ้นๆ ดุจเดียวกัน
เรื่องราวที่พลิกผันทำให้ปรมาจารย์โลหิตเสวียนอู๋ฉางรับมือไม่ทันเล็กน้อย ทว่าเมื่อเห็นหลิ่วหมิงอยู่ด้านหน้าไม่ไกล เขาย่อมไม่ยินดีรามือไปเช่นนี้ เขากัดฟันกรอด สร้างเกราะสีเลือดขึ้นมารอบตัว จากนั้นก็ขยับร่างไล่ล่าต่อ
หลิ่วหมิงผู้กำลังหลบหนีอาศัยความเร็วอันน่าทึ่งของปีกจักจั่นแก้วและปฏิกิริยาตอบสนองอันยอดเยี่ยมของตนหลบหลีกรอยแยกมิติที่เกิดขึ้นไปได้ไม่น้อย ทว่าทันใดนั้นก็เกิดเสียงดัง “ฟู่” ปีกจักจั่นแก้วด้านหลังร่างพลันกลายเป็นละอองแสงแตกสลายหายไป
ต่อจากนั้นคมดาบสายลมสีขาวสองเส้นก็พุ่งไล่หลังกันมา สายแรกวาดผ่านเบื้องหน้าเขา จุดที่ถูกโจมตีเกิดแสงสีขาววิบวับ ระลอกคลื่นน่าหวาดกลัวแผ่ออกมา จากนั้นรอยแยกมิติยาวราวสิบกว่าจั้งเส้นหนึ่งก็ปรากฏกลางอากาศ คลื่นพลังงานมิติอันแข็งแกร่งอย่างที่สุดแผ่ออกมาจากด้านในเลือนราง ราวกับอุโมงค์ขนาดยักษ์แห่งหนึ่งที่เชื่อมตรงไปยังสถานที่อันไกลโพ้น
เขาหน้าถอดสี ขณะที่กำลังคิดจะทำสิ่งใดสักสิ่ง ด้านหลังก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้น เขาไม่ทันเห็นว่าเกิดสิ่งใดขึ้น แรงดูดมหาศาลที่มิอาจต้านทานสายหนึ่งก็พัดออกมาจากในรอยแยกมิติ
หลิ่วหมิงรู้สึกว่าทั้งร่างถูกสายลมล่องหนสายหนึ่งโอบรัดแล้วดึงเข้าไป กระบี่น้อยสีทองใต้เท้าสั่นไหวไม่หยุดจวนจะหลุดจากการควบคุมของตนอยู่รำไร
ในสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้ เขาทำได้เพียงใช้เคล็ดกระบี่ กระบี่น้อยสีทองบินกลับมากลายเป็นแสงสีทองผืนหนึ่งปกป้องร่างของเขาไว้อย่างแน่นหนา
แทบจะในเวลาเดียวกันหลิ่วหมิงก็ไม่อาจควบคุมร่างกายของตนได้อีก เขาถูกพลังล่องหนอันแข็งแกร่งหอบไป หัวหมุนมึนงงร่วงเข้าไปในรอยแยกมิติด้านหน้าในทันใด
ชั่วพริบตาที่เขาพลัดเข้าไปในรอยแยก เขากลับได้ยินเสียงแก่ชราเสียงหนึ่งดังขึ้นไกลออกไปด้านนอก
“ราชินีหนอนผีเสื้อ เจ้าใช้พลังแห่งกฎของโลกใบหนึ่งพันธนาการร่างจริงของข้าไว้อย่างไม่เสียดาย ครั้งนี้จะลำบากไปไยเล่า?”
เสียงนี้ส่งผลให้จิตใจสงบลงอย่างฉับพลันจนหลิ่วหมิวรู้สึกเหมือนยามบรรลุวิชา พริบตาเดียวสติกลับมาแจ่มชัดขึ้นไม่น้อย เขาหันไปมองจึงเห็นบนขอบฟ้าไกลมีเงาร่างที่ห่มแสงเรืองรองเจ็ดสีร่างหนึ่งกำลังลอยล่องมาถึง
ท่ามกลางแสงเรืองรองคือภิกษุชราที่สองตาปิดสนิท เส้นผมขาวโพลนผู้หนึ่ง
ทันใดนั้นภิกษุพลันลืมตาขึ้น ในดวงตามีประกายแสงหลากสีไหลวนเลือนราง เขายกแขนข้างซ้าย ลูกประคำไม้จันทน์ที่เปล่งแสงเรืองรองเจ็ดสีวงหนึ่งก็ลอยหลุดจากมือ หมุนติ้วอยู่กลางท้องฟ้า
ต่อจากนั้นเสียงสวดมนตร์ภาษาสันสกฤตพลันดังกังวาน ดอกบัวสีขาวนวลนับไม่ถ้วนประหนึ่งถูกนางสวรรค์โปรยปราย พวกมันลอยละล่องออกมาเสมือนเชื่องช้าแต่ความจริงไวว่อง
ทันทีที่คมดาบสายลมสีขาวกับรอยแยกมิติเต็มผืนฟ้าสัมผัสถูกดอกบัวเหล่านี้ พวกมันก็ทยอยเปล่งแสงสีขาววูบหนึ่งแล้วมลายหายไป
หลิ่วหมิงมองเหตุการณ์นี้อย่างนิ่งอึ้ง เหมือนตนจะเคยเห็นภิกษุลึกลับผู้นี้มาก่อน แต่ชั่วขณะกลับนึกไม่ออก
อึดใจถัดมาเขาก็ร่วงลงไปในรอยแยกมิติอย่างสมบูรณ์ เสียงด้านนอกค่อยๆ เลือนราง ได้ยินเพียงเสียงตวาดโกรธเกรี้ยวของราชินีหนอนผีเสื้อดังขึ้นรางๆ แล้วเหมือนมีใครบางคนตะโกนเรียกอย่างยินดีปรีดาว่าท่านเทพอะไรสักอย่าง
ต่อจากนั้นรอยแยกมิติก็สั่นไหวอย่างรุนแรง แสงสีขาวสว่างวูบเดียว มันก็ปิดสนิทลงอย่างรวดเร็ว
แสงสว่างเดียวเบื้องหน้าหลิ่วหมิงหายไปในชั่วพริบตา พร้อมกันนั้นพลังมหาศาลรอบด้านก็บีบเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่กายเนื้อที่แข็งแกร่งจนน่าหวาดกลัวของเขายามมีลูกกลอนกระบี่คุ้มกันอยู่ก็ยังรู้สึกมิอาจทานทน สุดท้ายจึงร้องตะโกนดังลั่น กระอักเลือดออกมาจนหมดสติไป
ทว่าไม่นานหลังจากนั้นพลังมหาศาลในรอยแยกกลับมลายหายไปสิ้น ร่างกายของหลิ่วหมิงเริ่มลอยเคลื่อนลึกเข้าไปในความมืดจนหายลับไปในที่สุด
……
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด หลิ่วหมิงจึงฟื้นตื่นขึ้นมา
เจ็บยิ่งนัก!
นี่เป็นความรู้สึกเพียงหนึ่งเดียวของเขาในยามนี้ ร่างกายเหมือนถูกพลังมหาศาลฉีกทึ้งนับครั้งไม่ถ้วน ผิวหนังฉีกเป็นรอยแผลเส้นแล้วเส้นเล่า ความเจ็บปวดแสนสาหัสจู่โจมสมองของเขา ทั้งที่เขาเป็นผู้มีน้ำอดน้ำทนยิ่งนักก็ยังอดไม่ได้แค่นเสียงออกมาอย่างห้ามตนเองไม่อยู่
ผ่านไปครู่หนึ่งในที่สุดเขาก็ปรับตัวกับความเจ็บปวดนี้ได้
ภายในทะเลจิตวิญญาณว่างเปล่าแทบจะไม่มีพลังเวทอยู่แม้แต่น้อย ตอนนี้คิดจะขยับนิ้วมือก็ยังยาก
แต่ยังดีที่ร่างกายของเขาทนทานยิ่งนัก การสร้างกายเนื้อใหม่เมื่อครั้งเข้าสู่ระดับแก่นแท้ช่วยผสานโลหิตปีศาจสวรรค์เข้าไปในร่างกายของเขา เขาจึงมีพลังฟื้นฟูที่น่าทึ่งอย่างยิ่ง
พักเช่นนี้อยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดร่างกายก็รวบรวมกำลังได้เล็กน้อย
หลิ่วหมิงจึงใช้สองแขนฝืนลุกขึ้นนั่งแล้วหันไปมองรอบตัว
เวลานี้เขาอยู่ในหุบเขาน้อยอันเขียวขจีและเงียบสงัดแห่งหนึ่ง แสงตะวันอันอ่อนโยนส่องทแยงลงมา จมูกได้กลิ่นดินโคลนสะอาดและกลิ่นต้นไม้ใบหญ้าอันสดชื่น
นอกเหนือจากนี้ก็เหมือนจะยังได้กลิ่นลมทะเลเค็มชื้นอยู่นิดหน่อย
หลิ่วหมิงส่ายศีรษะรวบรวมสติ ในที่สุดสมองก็ค่อยๆ ปรากฏความทรงจำบางส่วนก่อนหมดสติ