ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 809
หลัวเทียนเฉิงเห็นพวกหลิ่วหมิงสามคนไม่ทันได้พูด เพียงใช้สายตากวาดมองสภาพรอบด้านก็ตกตะลึงไปทันที
“ฮ่าๆ ก็บอกแล้วว่าวิชาคุกโลหิตที่เจ้าใช้มันไม่ได้เรื่องยังดื้อไม่ยอมรับ คราวนี้ดี ครู่เดียวปล่อยให้หนีออกมาได้สี่คน” สตรีอาภรณ์เหลืองครึ่งคนครึ่งหนอนไหมเหล่มองสัตว์ประหลาดสีเลือดทีหนึ่งแล้วหัวเราะหยันเอ่ยขึ้น
สัตว์ประหลาดสีเลือดไม่พูดไม่จา มันอ้าปากใหญ่โตพ่นโลหิตก้อนหนึ่งออกมาใส่ตรีศูลในมือ
ตัวตรีศูลที่เดิมทีสีดำสนิทฉับพลันปรากฏลวดลายจิตวิญญาณสีเลือดเส้นหนึ่งกะพริบไม่หยุดแล้ววาดเป็นภาพสัญลักษณ์ประหลาดรูปหนอนสีเลือด
หลังจากนั้นสัตว์ประหลาดสีเลือดก็ชูตรีศูลขึ้น
เปรี้ยง!
บนปลายแหลมทั้งสามของตรีศูลปรากฏก้อนแสงสีเลือดสีแดงเข้มสามดวงลอยออกมา พวกมันกะพริบวูบหนึ่งก็ระเบิดออกในทันใด แสงสีเลือดสาดกระจายทั่วท้องฟ้า
ชั่วพริบตาทั่วทั้งท้องฟ้าก็เปล่งแสงสีเลือดสว่างจ้า พร้อมกันนั้นแผ่นดินเนื้อก็สั่นไหวขึ้นอีกครั้ง หนวดเนื้อหนาเส้นแล้วเส้นเล่าดีดออกมาอีกหน พวกมันโถมเข้าใส่รังไหมสีเลือดก้อนแล้วก้อนเล่าจากนั้น โอบรัดอยู่บนนั้นประหนึ่งรากไม้
รังไหมสีเลือดหลายก้อนถูกหนวดเนื้อทำให้แข็งแกร่งขึ้นและขยายใหญ่ขึ้นเป็นเท่าตัว นอกจากนี้ผิวหน้ายังส่องแสงสีแดงสว่างจ้า หนวดเนื้อสีเลือดที่หนากว่าเดิมเส้นแล้วเส้นเล่ารวมตัวกันด้านบนรังไหมสีเลือดจากนั้นปัดป่ายไม่หยุด ดูแล้วโหดเหี้ยมน่าหวาดกลัวเสียยิ่งกว่าก่อนหน้านี้
“เจ้าคือ…เผ่าตรีศูลโลหิต!”
หลังบุรุษผมม่วงเห็นวิชาที่สัตว์ประหลาดสีเลือดใช้ มองพินิจอย่างละเอียดหลายรอบ ทันใดนั้นเขาก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ หลุดปากออกมาคำหนึ่ง พร้อมกันนั้นสีหน้าก็ซีดเผือดลงประมาณหนึ่งในพริบตา
“ฮ่าๆ! คิดไม่ถึงว่าในสถานที่เล็กๆ เช่นแผ่นดินจงเทียนยังมีคนรู้จักเผ่าตรีศูลโลหิตอยู่ด้วย หายากจริง!” สัตว์ประหลาดสีเลือดเห็นคนเอ่ยที่มาของตนเองออกมาก็ส่งเสียงหัวเราะประหลาดชั่วร้ายออกมาทันที ราวกับได้ใจ
“ตรีศูลโลหิตคือสัตว์ร้ายชนิดใด ดูท่าสหายไม่เพียงรู้ที่มาของมัน ยังหวาดกลัวยิ่งอีกด้วย” หลังหลิ่วหมิงขมวดคิ้วก็เอ่ยถามขึ้นทันที
“เหอะ ไยแค่หวั่นเกรง หากสัตว์ประหลาดตรงหน้าคือตรีศูลโลหิตจริง ครานี้พวกเราเกรงว่าคงโชคร้ายมากกว่าโชคดีแล้ว” บุรุษผมม่วงได้ยิน แม้สีหน้าย่ำแย่อย่างยิ่งแต่ก็ยังคงตอบกลับมาหนึ่งประโยคอย่างเร็วไว
“มาถึงขั้นนี้แล้ว ท่านไยต้องลีลาอันใดอีก รีบพูดให้กระจ่างเถอะ” หลัวเทียนเฉิงกลับแค่นเสียงเหอะ เอ่ยอย่างไม่เกรงใจ
“ข้าเคยได้รับอนุญาตจากประมุขหอให้อ่านเอกสารลับในหอจำนวนหนึ่ง ดังนั้นจึงรู้ข้อมูลที่ผู้ฝึกฝนของโลกนี้ไม่รู้อยู่บ้าง เผ่าตรีศูลโลหิตนี้ความจริงไม่ใช่เผ่าพันธุ์ในโลกมนุษย์แต่เป็นเผ่าพันธุ์แข็งแกร่งที่มาจากโลกชื่อเซวี่ยไห่ หลังโตเต็มวัยอย่างต่ำก็พลังระดับแก่นแท้ขึ้นไป นอกจากนี้คนของเผ่านี้นิสัยดุร้ายชอบต่อสู้ ในเผ่าจึงมีผู้แข็งแกร่งมากมาย ถึงขนาดมีผู้ที่พลังน่าหวาดกลัวระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ไม่น้อย เผ่าพันธุ์ทั้งหมดในโลกมนุษย์ของพวกเราไม่อาจเทียบได้!” บุรุษผมม่วงสีหน้าเคร่งขรึม เขาไม่มีเจตนาจะปิดบัง เล่าเรื่องที่ตนรู้ให้ผู้คนรอบด้านฟังอย่างรวดเร็ว
ผลปรากฏว่าเมื่อฟังคำพูดของคนผู้นี้จบ หลัวเทียนเฉิงก็สูดลมหายใจเย็นยะเยือกเฮือกหนึ่งแล้วเงยหน้ามองไปยังสัตว์ประหลาดสีเลือดอัปลักษณ์ตัวนั้นอีกหน ด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
หลิ่วหมิงได้ฟัง ใจก็พรั่นพรึงยิ่งเช่นกัน
สีหน้าของบุรุษผมม่วงชั่วพริบตาย่ำแย่ขึ้นหลายส่วน
ชายหนุ่มรถเงินอีกด้านหนึ่งกลับทำเหมือนไม่ได้ยินคำพูดของบุรุษผมม่วง เขากลับจ้องเขม็งไปยังสตรีงดงามครึ่งคนครึ่งหนอนไหมผู้นั้น ทันใดนั้นก็เอ่ยถามเสียงดังไปทางท้องฟ้า
“ขอเรียนถาม ผู้อาวุโสคือ ‘ชวีเหยา’ ในตำนานโบราณหรือไม่?”
“คิกๆ ถึงกับยังมีคนรุ่นหลังในโลกมนุษย์รู้จักความเป็นมาของข้าด้วย นี่หายากจริงเชียว! ดูท่าครั้งนั้นที่เผ่าชวีเหยาของพวกเรารุกรานโลกแห่งนี้คงทิ้งวีรกรรมการรบไว้ไม่น้อย” สตรีครึ่งคนครึ่งหนอนไหมได้ยิน แรกสุดอึ้งไปแต่ทันใดนั้นก็ยิ้มแย้มเอ่ยขึ้นแล้วเหล่มองตรีศูลโลหิตที่อยู่ข้างกายอย่างท้าทายเล็กน้อย
“ชวีเหยา”
“ไม่มีทาง”
ครั้งนี้ไม่ต้องให้ผู้อื่นถามอันใดแล้ว เมื่อได้ยินชื่อชวีเหยา สามคนที่เหลือล้วนหน้าถอดสีอีกหน สายตากวาดพรึ่บจับอยู่บนร่างสัตว์ประหลาดครึ่งสตรีครึ่งหนอนไหมอีกหน
นอกจากตกตะลึง ในสมองหลิ่วหมิงยังคิดไปถึงข้อมูลเกี่ยวกับชวีเหยาอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้ถึงค้นพบว่าสตรีครึ่งคนครึ่งหนอนไหมบนท้องฟ้า หน้าตาเหมือนชวีเหยาสัตว์ร้ายโบราณในตำนานที่น่าจะสูญพันธุ์ไปจากโลกมนุษย์นานแล้วจริงๆ
ตามที่ตำราโบราณบันทึกไว้ วันแห่งความโหดเหี้ยมวันหนึ่งในยุคโบราณ สัตว์ร้ายชวีเหยานับร้อยขี่อุกกาบาตร่วงลงมาจากท้องฟ้า จุดที่ร่วงลงมาไม่เพียงทำให้สถานที่ต่างๆ บนแผ่นดินจงเทียนปริแยก แม่น้ำแห้งเหือด ยังทำให้สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนกลายเป็นเถ้าธุลี หากไม่ใช่ผู้มีพลังแข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ทั้งหมดของแผ่นดินจงเทียนร่วมมือกันสังหารจนสิ้น ผลลัพธ์ที่จะตามมาเรียกได้ว่าไม่อาจจินตนาการได้
เทียบกับเผ่าตรีศูลโลหิตเผ่าพันธุ์จากต่างโลกที่ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเผ่าพันธุ์นี้ ชื่อเสียงโหดร้ายของชวีเหยาย่อมทำให้พวกหลิ่วหมิงกับหลัวเทียนเฉิงตะลึงงันอย่างยิ่ง
หากชวีเหยาตัวนี้ตรงหน้ามีอิทธิฤทธิ์น่าหวาดหวั่นอย่างในตำนานจริง ไหนเลยพวกเขาซึ่งมีระดับผลึกกระจอกๆ ไม่กี่คนจะต้านทานอีกฝ่ายได้
“ไม่ต้องกลัว ไม่ว่าตรีศูลโลหิต ชวีเหยาหรือสัตว์ประหลาดอีกตัวนั่น พลังล้วนถูกกดไว้อย่างมาก ไม่ได้น่ากลัวปานนั้นเหมือนในจินตนาการของพวกเรา เอ๋…ดูจากสภาพประหลาดของร่างกายพวกเขา เหมือนร่างจริงจะไม่ได้มา เป็นแค่ร่างแยกหรือร่างแปลงที่แบ่งวิญญาณมาเท่านั้น ข้าว่าแล้วว่าสัตว์ร้ายเช่นนี้จะปรากฏตัวที่นี่ง่ายๆ ได้อย่างไร” หลังชายหนุ่มรถเงินจำชวีเหยาได้ก็ล้วงเอาลูกแก้วสีฟ้าลูกหนึ่งออกมาอย่างรวดเร็ว เขาวาดมันผ่านอากาศส่องไปยังสัตว์ประหลาดหลังจากนั้นยิงเคล็ดวิชาจำนวนหนึ่งใส่อย่างเร็วไว ทันใดนั้นบนใบหน้าก็ปรากฏสีหน้ายินดีอย่างยิ่งเอ่ยขึ้นมา
“ท่านคงไม่ได้ดูผิดกระมัง” บุรุษผมม่วงยินดียิ่งเอ่ยถามขึ้นทันที
หลิ่วหมิงกับหลัวเทียนเฉิงได้ยินก็มองไปหาชายหนุ่มรถเงินอย่างตื่นเต้นเช่นเดียวกัน
“ลูกแก้วลี้ลับลูกนี้ของข้า ผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักข้ามอบให้ แสดงผลของเป้าหมายไม่มีทางพลาดเด็ดขาด ลูกแก้วนี้บอกว่าสัตว์ประหลาดเหล่านี้พลังราวระดับแก่นแท้ขั้นต้นหรือขั้นกลางเท่านั้น” ชายหนุ่มรถเงินได้ฟังก็เอ่ยตอบอย่างไม่ลังเลสักนิด
เมื่อคำนี้เอ่ยออกจากปาก ไม่ว่าหลิ่วหมิงหรือหลัวเทียนเฉิงล้วนโล่งอกอย่างมาก
ทั้งสี่คนเดินมาถึงที่นี่ได้ย่อมมีพลังและความมุ่งมั่นเหนือกว่าคนรุ่นเดียวกันมาก ขอเพียงไม่ได้เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ประเภทที่ทำให้พวกเขาสิ้นหวังอย่างสิ้นเชิง พวกเขาย่อมสู้สุดกำลัง
“คิกๆ น่าสนใจทีเดียว มดปลวกจากโลกมนุษย์เหล่านี้ถึงกับมองข้อมูลเบื้องลึกของพวกเราออกจริงๆ” ชวีเหยาครึ่งสตรีครึ่งหนอนไหมที่อยู่สูงขึ้นไปท้องฟ้าเห็นเช่นนี้ ร่างครึ่งท่อนบนก็ส่ายไหว ยิ้มงดงามออกมาอีกหน
บนหน้าของสัตว์ประหลาดตะขาบยักษ์ตัวนั้นกับตรีศูลโลหิตเผยสีหน้าคาดไม่ถึงออกมาเช่นเดียวกัน
“ดูท่าคนรุ่นหลังเผ่ามนุษย์ไม่กี่คนนี้จะไม่ธรรมดา ถึงกับมองเบื้องลึกเบื้องหลังตอนนี้ของพวกเราออก ไม่ต้องพูดไร้สาระแล้ว พูดมากไร้ประโยชน์ เวลาของพวกเราไม่มาก เจ้ากับสหายชวีเหยาจงทุ่มกำลังจัดการคนรุ่นหลังสี่คนนี้ตรงหน้าก่อน ตอนนี้ข้าจะใช้กำลังทั้งหมดปราบคนที่เหลือเอาไว้แล้วใช้คุกโลหิตกลืนกินให้หมด จะได้ฟื้นเลือดบริสุทธิ์ที่เสียไปหลายปีนี้สักที” ตรีศูลโลหิตได้ยินก็แค่นเสียงหยันเอ่ยขึ้น
“สหายตรีศูลโลหิตคิดมากไปแล้ว แม้พวกเราตอนนี้เป็นร่างแปลงชั่วคราวที่แยกออกมาจากร่างจริง พลังไม่ถึงหนึ่งในหลายสิบส่วนของร่างเดิม แต่จัดการคนรุ่นหลังระดับผลึกกระจอกๆ ไม่กี่คนไม่ต้องเปลืองแรงเป่าฝุ่น แต่จะว่าไปแล้วสหายตรีศูลโลหิตอย่างไรก็แยกสี่คนนี้ออกมาดีกว่า อีกประเดี๋ยวตอนข้าลงมือจะได้ไม่ต้องยั้งมือ” สตรีครึ่งคนครึ่งหนอนไหมได้ยินก็เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ คำพูดไม่เห็นพวกหลิ่วหมิงอยู่ในสายตาสักนิด
สัตว์ประหลาดตะขาบยักษ์อีกตัวกลับไม่พูดจาอย่างใด มันเพียงใช้สายตาประหนึ่งเลือกอาหารมองประเมินพวกหลิ่วหมิงสี่คนอย่างเย็นชาเท่านั้น
“มิติสีเลือดแห่งนี้เดิมทีก็อยู่ในร่างที่ถูกผนึกของข้า อยากลงมือแยกพวกเขาย่อมไม่มีปัญหา” หลังตรีศูลโลหิตหัวเราะประหลาดก็ตอบเต็มปากเต็มคำ
จากนั้นมันก็แกว่งตรีศูลที่ส่องแสงสีดำขลับในมือกลางอากาศอีกหน ปากเอ่ยท่องมนตร์งึมงำประโยคหนึ่ง ทันใดนั้นแสงสีเลือดสายแล้วสายเล่าก็แผ่พุ่งออกมาจากบนตรีศูล
แสงสีเลือดเหล่านี้ไม่ได้พุ่งมาหาพวกหลิ่วหมิงสี่คน แต่ทยอยจมลงไปในแผ่นดินเลือดเนื้อด้านล่างอย่างยุ่งเหยิงไร้ระเบียบ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ร่างกายพลันดีดพุ่งถอยหลัง สองตากวาดมองรอบด้านอย่างเร็วไวพลางเรียกโล่ดินหนามาไว้ในมือเงียบๆ
บุรุษผมม่วง ชายหนุ่มรถเงินรวมถึงหลัวเทียนเฉิงก็กำอาวุธจิตวิญญาณในมือแน่นเช่นกัน พวกเขาพากันเผยสีหน้าระวัง ต่างคนต่างถอยหลังไปหลายก้าว
แม้พวกเขาจะได้ยินสัตว์ประหลาดกลางท้องฟ้าสนทนากันและยอมรับว่าตนเป็นเพียงร่างแปลงชั่วคราวจริงๆ แต่ระดับพลังก็เหนือกว่าพวกเขาไปไกล ทั้งสี่คนยังจะกล้าประมาทอีกได้อย่างไร
เสียง “ปัง” ดังขึ้นหลายหน รังไหมใต้ร่างหลิ่วหมิงก็ระเบิดออกมาพร้อมกัน แสงสีเลือดแสบตาชั่วพริบตาพุ่งขึ้นฟ้ามาแถบแล้วแถบเล่า
หลิ่วหมิงตกใจ กำลังคิดจะขยับหลบ หนวดเนื้อเบื้องล่างกลับชิงก่อนก้าวหนึ่งพุ่งขึ้นมาสูงบนฟ้าหวดเข้าใส่อากาศ
อากาศรอบตัวเขาอัดแน่น ร่างกายชะงักไปชั่ววูบอย่างห้ามไม่ได้ ทันใดนั้นก็ถูกแสงสีเลือดด้านหลังดึงเข้าไปด้านใน
หลังจากนั้นหลิ่วหมิงรู้สึกเพียงตาลายวูบหนึ่งแล้วหายไปจากมิติสีเลือดอย่างไร้ร่องรอยในทันที
ส่วนพวกหลัวเทียนเฉิงสามคนกับชวีเหยาและสัตว์ประหลาดตะขาบยักษ์ก็ถูกแสงสีเลือดสายอื่นโจมตีในสภาพเดียวกัน พวกเขาพร่าเลือนวูบหนึ่งก็หายไปเช่นเดียวกัน
พริบตาเดียวทั้งมิติสีเลือดก็เหลือเพียงตรีศูลโลหิตอยู่คนเดียว
ทว่าหลังมันหัวเราะหยันครั้งหนึ่ง ร่างกายที่อยู่สูงขึ้นไปบนฟ้าก็พร่าเลือนวูบหนึ่งแล้วหายไปท่ามกลางหมอกโลหิตอีกครั้ง
เมื่อหลิ่วหมิงมองเห็นภาพตรงหน้าชัดอีกครั้ง เขาก็พบว่าตนตกอยู่ในมิติเลือดเนื้อปิดสนิทขนาดร้อยกว่าหมู่ท่ามกลางหมอกโลหิตขมุกขมัวแห่งหนึ่ง
ห่างไปหลายสิบจั้งเบื้องหน้าร่างเขา สัตว์ประหลาดหน้าตาเหมือนตะขาบที่อัปลักษณ์อย่างยิ่งตัวนั้นกำลังมองประเมินเขาอย่างเย็นชา บนใบหน้ามนุษย์สีหน้าโหดเหี้ยมอย่างยิ่ง
ไม่ไกลจากข้างตัวหลิ่วหมิง ชายหนุ่มรถเงินที่สวมชุดเกราะจักรกลสีทองอ่อนก็ยืนอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าฉงนด้วยเช่นกัน
ส่วนชายหนุ่มผมม่วง หลัวเทียนเฉิงรวมถึงตรีศูลโลหิตกับชวีเหยาล้วนไม่เห็นร่องรอย
“คนรุ่นหลังทั้งสอง พวกเจ้าจะจัดการตัวเองหรือจะให้ข้าลงมือดูแลพวกเจ้าดีๆ พักหนึ่ง หากข้าลงมือจะค่อยๆ กัดกินแขนขาพวกเจ้าทีละนิด หลังจากนั้นถึงแย่งชิงโชคชะตาในมือพวกเจ้ามา เช่นนี้รอข้ากลับไปถึงเผ่าหนอนผีเสื้อ พวกเจ้าก็นับว่ามีส่วนในคุณงามความชอบด้วย” หนอนยักษ์อัปลักษณ์ขยับร้อยขาพร้อมเพรียง ร่างกายยาวเฟื้อยบิดเลื้อย เสียงบุรุษขึงขังดังออกมากะทันหัน ท่าทีไม่เห็นทั้งสองคนตรงหน้าอยู่ในสายตาเลยสักนิด