ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 826
ตอนที่ 826 นัดประลอง
“ขอรับ…ขอรับ ผู้เยาว์มีตาไม่มีแวว ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสระดับแก่นแท้มาเยือน เพียงพอนผลึกม่วงตัวนั้นสามวันให้หลัง…สหายของข้าจึงจะส่งมา ถึงเวลาผู้อาวุโสมารับไปได้เลย ต้องการแค่…หกแสนหินจิตวิญญาณเท่านั้น แต่ระดับผลึกผู้นั้น…” ชายฉกรรจ์ร่างกำยำแทบจะล้มหมอบอยู่บนพื้น เอ่ยเสียงสั่นเล็กน้อย ถึงอย่างนั้นราคาก็ยังถูกเขาโก่งขึ้นไปอีกไม่น้อย
“หินจิตวิญญาณไม่ใช่ปัญหาอันใด ส่วนเจ้าหนูระดับผลึกคนนั้น เจ้าให้เขามาหาข้าก็แล้วกัน แต่หากข้อมูลที่บอกข้าไม่จริง ต่อให้เจ้าหนีไปสุดหล้าฟ้าเขียวก็อย่าคิดมีชีวิตรอด” ผู้ฝึกฝนชุดขาวเอ่ยอย่างวางโตจบก็สะบัดแขนเสื้อ หมุนตัวออกจากร้านไป
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำตอนนี้ถึงลุกขึ้นยืนอย่างโซซัดโซเซ ปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก
เขาทำกิจการอยู่ในตลาดเล็กๆ แห่งนี้มานานสิบกว่าปีแล้ว ผู้ฝึกฝนระดับสูงก็เคยพบมาไม่น้อย แต่ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ที่ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวเช่นนี้ได้เพิ่งเคยพบเป็นครั้งแรกจริงๆ
ทว่าอย่างไรเขาก็นับว่าเป็นคนที่เห็นโลกมามาก หลังกลอกลูกตารอบหนึ่งก็ฟื้นกลับมาท่าทางเหมือนไม่มีอะไร
มีผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้คนนี้เป็นที่พึ่ง เขาย่อมไม่ต้องสนใจคำพูดที่ตกลงกับหลิ่วหมิงไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
หลายวันให้หลังหลิ่วหมิงมาโรงร้อยล่าอีกครั้งตามที่นัดไว้
ผลปรากฏว่าเขาเหยียบเข้าประตูร้านปุบก็เห็นชายฉกรรจ์ร่างกำยำผู้นั้นเดินเข้ามาหา เร่งรีบประสานมือแจ้ง
“ผู้อาวุโสท่านมาช้าแล้ว…ราวครึ่งชั่วยามก่อนหน้านี้ ผู้อาวุโสชุดขาวที่พลังไม่เป็นรองท่านคนหนึ่งอยู่ดีๆ ก็มาที่ร้าน เจาะจงจะเอาเพียงพอนผลึกม่วง ข้าบอกเขาว่ามีเพียงตัวเดียวและถูกผู้อาวุโสจองไว้ก่อนแล้ว ใครจะรู้ผู้อาวุโสชุดขาวคนนี้ไม่พูดพร่ำก็จับข้าไว้ ค้นร้านเอาเพียงพอนผลึกม่วงไป
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำพูดถึงตรงนี้ใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีหน้าจนปัญญา
หลิ่วหมิงได้ยินก็ตกตะลึงเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นสีหน้าก็เคร่งครึม กระแสความเย็นสายหนึ่งซัดออกมาจากบนร่าง
ชายฉกรรจ์ฝั่งตรงข้ามสะท้าน รีบร้อนล้วงยันต์ที่ส่องแสงสีม่วงขมุกขมัวแผ่นหนึ่งออกมาจากบนร่าง เปลี่ยนคำพูดเอ่ยขึ้นว่า
“แต่ผู้อาวุโส ผู้เยาว์เล่นตุกติกนิดหน่อยบนตัวเพียงพอนผลึกม่วงตัวนั้น นี่คือยันต์ผลึกม่วง เป็นสิ่งที่สหายผู้นั้นของข้าทำขึ้นเองกับมือ เดิมทีเตรียมไว้เพราะกลัวเพียงพอนผลึกม่วงจะหนี ข้างในมีโลหิตบริสุทธิ์ของเพียงพอนผลึกม่วงตัวนั้นหยดหนึ่ง ในระยะหมื่นลี้ใช้ยันต์นี้สัมผัสค้นหาที่อยู่ของเพียงพอนผลึกม่วงตัวนั้นได้ คนผู้นั้นเพิ่งจากไปครึ่งชั่วยาม ด้วยความสามารถของผู้อาวุโสอาจไล่ตามคนผู้นี้ได้ทัน”
“เหอะ เจ้าเตรียมลูกไม้รอไว้ไม่น้อย! ถ้ายันต์นี้ได้ผลก็แล้วไป แต่ถ้าข้าหาคนผู้นั้นไม่เจอ เจ้าก็สวดภาวนาให้ตัวเองไว้เถอะ”
หลิ่วหมิงมองชายฉกรรจ์นิ่งๆ ทีหนึ่ง มือข้างหนึ่งยกขึ้นกวัก ดึงยันต์สีม่วงเข้ามาอยู่ในมือ หลังทิ้งประโยคหนึ่งเช่นนี้ไว้ก็หมุนตัวเดินไปด้านนอก
“ท่านผู้อาวุโส ผู้น้อยไหนเลยจะกล้าปิดบังแม้สักนิด…” ด้านหลังถ้อยคำรีบร้อนแก้ตัวของชายฉกรรจ์ดังมาอีกครั้ง
หลิ่วหมิงแค่นเสียงหยันในใจทีหนึ่งก็ก้าวออกจากประตูใหญ่ลอยขึ้นฟ้าไปทันที
ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจู้จี้กับชายฉกรรจ์ร่างกำยำผู้นี้ ภารกิจเร่งด่วนคือการตามหาเพียงพอนผลึกม่วงให้พบก่อน
ร่างกายเขาลอยอยู่กลางอากาศ ผนึกพลังเวทบนฝ่ามือแล้วจิ้มลงบนยันต์สีม่วงเบาๆ พลังเวทสายหนึ่งก็แทรกเข้าไปด้านใน
ทันใดนั้นยันต์ทั้งแผ่นในมือก็ส่องแสงสีม่วงสว่างจ้า หมุนตัวรอบหนึ่งก็พลันกลายเป็นหัวลูกศรหัวหนึ่งชี้ไปยังเทือกเขาแห่งหนึ่งทางตะวันออก
หลิ่วหมิงย่อมเข้าใจว่านี่หมายความว่าอะไร เมฆดำผุดขึ้นใต้เท้าลอยไปยังทิศทางหนึ่งทันที
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำในร้านรู้สึกเลือนรางว่าหลิ่วหมิงออกไปแล้ว ใบหน้าอึมครึมเปลี่ยนไปมาพักหนึ่งก็เก็บข้าวของในทันที ปิดประตูหน้าร้านออกไปจากตลาดเงียบๆ
เวลาชั่วจิบชาหนึ่งถ้วยหลิ่วหมิเลี้ยวไปเลี้ยวมาตามการชี้ทางของยันต์ในมือจนมาถึงถนนอีกแห่งใจกลางตลาด
สุดปลายถนนมีร้านที่ค่อนข้างเก่าร้านหนึ่งอยู่ หลิ่วหมิงโฉบทีเดียวเข้าไปยังหน้าร้านที่ขายเฉพาะอุปกรณ์วางค่ายกล มองไปก็เห็นผู้ฝึกฝนที่พลังไม่เป็นรองเขาที่ชายฉกรรจ์ร่างกำยำผู้นั้นบอก
คนผู้นี้ทั้งร่างสวมอาภรณ์ขาว กำลังดูอาวุธเวทสำหรับวางค่ายกลชุดหนึ่งในร้านอย่างสนอกสนใจ
หลิ่วหมิงกวาดจิตสัมผัส ในใจเคร่งเครียดเล็กน้อย อีกฝ่ายพลังระดับแก่นแท้ขั้นต้น แต่ปราณไม่มั่นคงอยู่บ้างคล้ายกับว่าเพิ่งเลื่อนเข้าระดับแก่นแท้ไม่นานนัก
“เถ้าแก่ พวกนี้ข้าต้องการทั้งหมด ช่วยข้าเก็บไว้ก่อน ประเดี๋ยวจะมีคนเดินทางมาจ่ายเงินรับของ ตอนนี้มีสหายคนหนึ่งมาหาข้า”
เวลานี้เองผู้ฝึกฝนชุดขาวคล้ายสัมผัสได้ถึงการมาเยือนของหลิ่วหมิงจึงเหล่ตามองเขาทีหนึ่ง สีหน้าเปลี่ยนไปแล้ววางอาวุธเวทในมือลง เอ่ยขึ้นอย่างไม่รีบไม่ช้า
หลิ่วหมิงหรี่สองตาลง เขาไม่ประหลาดใจนัก เอ่ยขึ้นอย่างไม่เกรงใจ
“ดูท่าสหายจะทราบว่าข้ามาหาท่านด้วยเรื่องใด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็มอบเพียงพอนผลึกม่วงมาเถอะ”
“ข้ามองผิดหรือ? ระดับผลึกกระจอกๆ คนหนึ่งถึงกับกล้าเหิมเกริมเช่นนี้ แต่ข้าก็ไม่ใช่พวกข่มเหงคนอ่อนแอ เพียงพอนผลึกม่วงมีประโยชน์กับข้ามาก รอผ่านไปสักหลายวันใช้เสร็จแล้ว เจ้าค่อยมาหาข้าใหม่แล้วกัน” หลังผู้ฝึกฝนชุดขาวอึ้งไปเล็กน้อยก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง
“ใช้เสร็จค่อยให้ข้า ท่านคิดว่าข้าเป็นเด็กสามขวบหรือ?” หลิ่วหมิงได้ฟังในใจพลันเกิดโทสะ แต่ภายนอกยังคงเอ่ยตอบนิ่งๆ
“อ้อ? ดูท่าทางเจ้าคล้ายจะไม่ยอม” ผู้ฝึกฝนชุดขาวหุบยิ้มบนหน้าทันใด ก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่งในทันที
เสียง “เปรี้ยง” ดังขึ้นทีหนึ่ง ทันใดนั้นปราณน่าหวาดกลัวของระดับแก่นแท้ก็ซัดออกมาจากบนร่างของผู้ฝึกฝนชุดขาว
ชั้นวางของที่วางสินค้าอยู่สองข้างในร้านถูกคลื่นพลังซัดจนพากันส่องแสงจิตวิญญาณสว่างจ้า เกิดม่านแสงหลากสีสันลอยออกมา ทว่าครู่ต่อมาเสียงถูกกระแทกแตกดังโครมๆ ก็ทยอยดังขึ้น
แม้ผู้ดูแลกับลูกน้องสองคนในร้านไม่ใช่เป้าหมายโดยตรงของปราณนี้ แต่ก็พากันตกอกตกใจลนลานถอยออกไปด้านหลัง
หลิ่วหมิงฝั่งตรงข้ามเผชิญหน้ากับปราณน่าหวาดกลัวนี้กลับเพียงเลิกคิ้ว ปราณดำจางๆ บนร่างพุ่งออกมาต้านทานไว้เหมือนไม่เป็นปัญหาอันใดทั้งสิ้น
ผู้ฝึกฝนชุดขาวเห็นเช่นนี้ก็เปลี่ยนสีหน้าไปเล็กน้อย หลงมองสำรวจหลิ่วหมิงใหม่อีกทีสองทีถึงแค่นเสียงเหอะเอ่ยขึ้นว่า
“ข้าว่าแล้วเหตุใดท่านใจกล้าเช่นนี้ ที่แท้ก็เป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้คนหนึ่งเหมือนกัน วิชาเก็บงำปราณของสหายยอดเยี่ยมนัก กระทั่งข้ายังไม่ระวังถูกหลอกไปด้วย”
“ไม่ว่าข้าจะเป็นระดับแก่นแท้หรือไม่ สหายฉกเพียงพอนผลึกม่วงที่ข้าจองไว้ไปกลางทาง อย่างไรก็ต้องอธิบายกับข้า” หลิ่วหมิงกลับสีหน้าไร้อารมณ์
“คำอธิบาย! ดียิ่ง เอาเช่นนี้เถอะ วันพรุ่งนี้เวลานี้ เจ้ากับข้าประลองกันที่ยอดเขาแรดขาวห่างไปห้าสิบลี้สักรอบเป็นอย่างไร หากเจ้าชนะ ข้าจะยกเพียงพอนผลึกม่วงตัวนี้ให้กับมือ” ผู้ฝึกฝนชุดขาวกลอกลูกตานิดหน่อยก็ยิ้มเย็นชาเอ่ยขึ้นเช่นนี้
“ยอดเขาแรดขาว!” หลิ่วหมิงสายตาทอประกายวูบหนึ่ง
“วางใจเถิด ข้าก็ไม่ใช่คนไร้ที่มา ไม่ทำลายชื่อเสียงตนแอบหนีไปเด็ดขาด นอกจากนี้ในเมื่อเจ้าตามรอยข้ามาถึงที่นี่ได้ ย่อมต้องมีหนทางค้นหาร่องรอยของข้าอีกครั้ง ผู้ดูแล นี่นับว่าชดใช้ค่าเสียหายในร้านของเจ้า” ผู้ฝึกฝนชุดขาวเอ่ยเสริมประโยคหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจแล้วโยนผลึกหินระดับสูงชิ้นหนึ่งให้ผู้ดูแลร้าน จากนั้นเดินอาดๆ ออกจากประตูใหญ่ไป
หลิ่วหมิงมองคนผู้นี้จากไปอย่างเย็นชาแต่ไม่ได้มีเจตนาจะลงมือขัดขวาง หลังไตร่ตรองพักหนึ่งเขาก็ส่งสายตาขออภัยให้ผู้ดูแลกับลูกน้องสองคนในร้านจากนั้นพุ่งหายออกไปจากร้านแห่งนี้เช่นเดียวกัน
เขากลับมาถึงโรงเตี๊ยมก็นำยันต์สีม่วงอ่อนแผ่นนั้นออกมาอีกครั้ง หลังพบว่ามันยังคงมีปฏิกิริยาเหมือนเดิมก็นั่งสมาธิพักผ่อนอยู่ในห้องทันที
เช้าวันที่สอง บนยอดเขามหึมาลูกหนึ่งห่างไปหลายสิบลี้ หลิ่วหมิงอยู่กลางท้องฟ้าสูงหลายพันจั้ง มองท้องฟ้าอีกด้านหนึ่งของยอดเขา
ผู้ฝึกฝนชุดขาวผู้นี้มาตามนัด แต่สิ่งที่หลิ่วหมิงคิดไม่ถึงก็คือเจ้าหมอนี้กลับไม่ได้มาตามนัดเพียงลำพัง ข้างกายกลับมีผู้เฒ่ารูปร่างอ้วนท้วนอายุราวสี่สิบกว่าปีสวมชุดทองคล้ายคหบดีผู้มั่งคั่งคนหนึ่งอยู่ด้วย
แม้ผู้เฒ่าคนนั้นระดับแก่นแท้ขั้นต้นเช่นกัน แต่บนร่างปราณหนาแน่นแผ่ออกมาเลือนราง เห็นชัดว่าแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกฝนชุดขาวมากนัก
“ผู้แซ่หลิ่วจะต่อสู้แย่งชิงความเป็นเจ้าของเพียงพอนผลึกม่วงกับท่าน ท่านกลับเชิญสหายมาอีกคนหนึ่ง นี่หมายความว่างอย่างไร?” แววตาเย็นเยียบแล่นผ่านในดวงตาของหลิ่วหมิง เขาอ้าปากเอ่ยถามอย่างไม่เกรงใจสักนิด
“พี่ชายท่านนี้อย่าเข้าใจผิดไป ข้ามาเป็นเพื่อนประมุขนิกายน้อยถึงที่นี่เพียงเพื่อชมการต่อสู้เท่านั้น จะไม่สอดมือยุ่งกับการประลองระหว่างประมุขนิกายน้อยกับท่าน” ผู้เฒ่าอ้วนหัวเราะเบาๆ ร่างกายโฉบทีหนึ่งถอยไปเหนือยอดเขาอีกลูกหนึ่ง นั่งขัดสมาธิสนใจแต่ตนเอง
“ประมุขนิกายน้อยหรือ?” หลิ่วหมิงได้ยินผู้เฒ่าเรียกขานผู้ฝึกฝนชุดขาวเช่นนี้ก็อดไม่ได้ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ในเมื่อคนมาถึงแล้ว ถ้าเช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเปลืองน้ำลายแล้ว ให้ศึกนี้ตัดสินความเป็นเจ้าของเพียงพอนผลึกม่วงเถอะ” ผู้ฝึกฝนชุดขาวแค่นเสียงหยันทีหนึ่งก็ยกมือขึ้น แสงรัศมีสีขาวเส้นหนึ่งพุ่งเร็วรี่ออกมา
กลางแสงรัศมีสีขาวก็คืออาวุธจิตวิญญาณเข็มบินที่แผ่แสงแวววาวสีขาวน้ำนมจางๆ ออกมาเล่มหนึ่ง มองเห็นเลือนรางว่าบนตัวมันสลักลวดลายค่ายกลชั้นจำกัดไม่น้อยกว่าสามสิบชั้น เป็นอาวุธเวทระดับสุดยอดชิ้นหนึ่ง
หลิ่วหมิงสีหน้าเคร่งขรึมพร้อมกับกระตุ้นพลังเวทในร่าง พลังเวทบริสุทธิ์สายหนึ่งทะลักออกมาจากทะเลจิตวิญญาณกลายเป็นกระแสอบอุ่นสายหนึ่งกรอกเข้าไปในแขนทันที หลังจากนั้นนิ้วข้างหนึ่งก็ยกขึ้น
เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นทีหนึ่ง
ปราณกระบี่เกลียวสีทองสายหนึ่งดีดพุ่งออกจากปลายนิ้ว หลังหายวับไปก็โจมตีถูกเข็มบินกลางรัศมีแสงสีขาวพอดี
เสียงดังสนั่นดังขึ้นทีหนึ่ง กลางท้องฟ้าเหนือยอดเขาลูกบอลแสงสีทองขาวสองสีลูกหนึ่งปรากฏออกมาและระเบิดในพริบตา ปล่อยคลื่นปราณสาดบ้าคลั่งออกมาวงแล้ววงเล่า
“ไม่ใช่ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ทั่วไปจริงๆ น่าสนใจอยู่บ้าง”
ผู้ฝึกฝนชุดเขาวเห็นเช่นนี้ในดวงตาก็ฉายแววประหลาดใจเล็กน้อย บนหน้าปรากฏสีหน้าตื่นเต้นนิดๆ
แขนเสื้อของเขาสะบัดทีหนึ่งไอหมอกสีขาวก็ซัดคลื่นปราณรุนแรงแผ่ออกมา พร้อมกันนั้นแขนก็ยกขึ้นอีกครั้ง
เสียง “ฟึบๆ” ดังขึ้นหลายหน แสงรัศมีสีขาวสิบกว่าเส้นยิงออกมาต่อเนื่องในพริบตา ประหนึ่งเส้นด้ายเส้นแล้วเส้นเล่าวาดผ่านอากาศพุ่งรวดเร็วมาตรงที่หลิ่วหมิงอยู่
อาวุธจิตวิญญาณเข็มบินระดับสุดยอดมากเช่นนี้กลับถูกคนผู้นี้ใช้ประหนึ่งอาวุธจิตวิญญาณใช้แล้วทิ้ง รูปแบบการต่อสู้เช่นนี้แม้เป็นหลิ่วหมิงเองก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก ในใจตกตะลึง
ทว่าตัวเขาหลิ่วหมิงมีประสบการณ์เผชิญหน้าศัตรูมากเพียงใด สีหน้าประหลาดใจปรากฏเพียงชั่วแวบก็เลือนหาย มือข้างหนึ่งยกขึ้น โล่น้อยสีเหลืองแผ่นหนึ่งปรากฎขึ้นขวางเบื้องหน้าร่าง หลังจากมันหมุนติ้วรอบหนึ่งก็ฉายแสงเรืองรองสีเหลือง โต้ลมขยายขนาดจนใหญ่หลายจั้ง
หลังแสงรัศมีส่องสว่างอีกครั้ง ผิวหน้าของโล่ยักษ์ก็ปรากฏเงาภูเขาขนาดย่อมสีเหลืองลูกหนึ่งให้เห็นอยู่เลือนราง
ครู่ต่อมาบนเงาภูเขาลูกย่อมก็ส่งเสียงดังเปรี๊ยะๆ ออกมาไม่หยุด โล่ดินหนาทั้งแผ่นเริ่มสั่นไหวเล็กน้อยตาม