ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 837
ตอนที่ 837 อายุขัย
หลิ่วหมิงไม่พูดพร่ำมือข้างหนึ่งตบฝักกระบี่ข้างเอว ผิวของฝักกระบี่ฉับพลันมีแสงเรืองรองสีเงินอ่อนสายหนึ่งม้วนออกมา ดูดกลืนหญ้าจิตวิญญาณและสมุนไพรจิตวิญญาณทั้งหมดเหล่านี้เข้าไป
ต่อจากนั้นเขาก็ทำท่ามือของเคล็ดกระบี่แล้วชี้ที่หว่างคิ้ว แสงสีทองสายหนึ่งฉายออกมากลายเป็นกระบี่บินว่างเปล่าขนาดสองฉื่อแปดชุ่น หลังมันพร่าเลือนวูบหนึ่งก็กลายเป็นแสงสีทองสายหนึ่งอีกครั้งบินเข้าไปในฝักกระบี่
“ผนึก!”
เขาเอ่ยเบาๆ สองมือยิงเคล็ดวิชาสายแล้วสายเล่าออกมาประหนึ่งวงล้อร่วงลงบนฝักกระบี่
ตอนนี้เขากำลังเพิ่มตราผนึกลงบนฝักกระบี่ เมื่อกระบี่ว่างเปล่าอยู่ด้านในจะค่อยๆ ได้รับการบำรุง ยามเผชิญศัตรูพริบตาที่ออกจากฝักก็จะได้ฝักกระบี่เสริมส่ง พลังวิชาขี่กระบี่ของเขาย่อมเพิ่มมากขึ้นไม่น้อย
“ปิด!”
หลิ่วหมิงเอ่ยเบาๆ อีกคำหนึ่ง ผิวของฝักกระบี่สีเงินอ่อนก็ส่องแสงสีเงิน กะพริบวูบวาบหายไปตรงเอว
นี่เป็นจุดที่พิเศษอีกจุดหนึ่งของฝักกระบี่ว่างเปล่า อาศัยธาตุว่างเปล่าซ่อนเร้นร่องรอยได้ดั่งใจปรารถนา
เมื่อเป็นเช่นนี้ยามหลิ่วหมิงเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งย่อมไม่ถูกศัตรูล่วงรู้ไพ่ตายของตนก่อน ความแตกต่างระหว่างสองอย่างนี้ไม่ต้องบอกก็รู้
หลังทำทุกสิ่งนี้เสร็จ ในที่สุดหลิ่วหมิงก็ทนไม่ไหวอยู่บ้างแล้ว เขาเดินไปห้องนอนทิ้งตัวลงนอนกรนทันที
สามวันให้หลัง หลิ่วหมิงถึงตื่นขึ้นมาอย่างกระปรี้กระเปร่าอีกครั้ง
ความเหนื่อยล้ากายใจครึ่งปีติดต่อกันนี้ในที่สุดก็หายไปจนหมด
หลิ่วหมิงเข้าไปในห้องศิลาด้านข้างที่เซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์อยู่เป็นอย่างแรก หลังคุยกับทั้งสองตัวครู่หนึ่ง เขาจึงรู้ว่าในเวลาครึ่งปีนี้อสูรเลี้ยงทั้งสองตัวกินโอสถจิตวิญญาณจนพลังเพิ่มขึ้นไม่น้อย ปราณแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้มาก คาดว่าคงใกล้จะถึงจุดสูงสุดของระดับผลึกแล้ว
เซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์เคยได้โชควาสนามาหนหนึ่ง วันนี้ในร่างจึงมีเลือดของปีศาจสวรรค์กับปีศาจยักษ์โบราณอยู่มากบ้างน้อยบ้าง ลำพังความเร็วในการฝึกฝนจึงเหนือกว่าหลิ่วหมิงอยู่เล็กน้อย
หลิ่วหมิงย่อมยินดีกับเรื่องนี้ยิ่งนัก
อย่างไรเสียถ้าเซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์ไปถึงระดับแก่นเสมือนได้จริง พวกมันย่อมเป็นกำลังเสริมให้ตนในยามต่อสู้ได้มากขึ้นไปอีกขั้น
จากนั้นเขาก็เดินมาถึงโถงถ้ำ ปลดค่ายกลชั้นจำกัดของถ้ำที่พักออก
พริบตาที่ชั้นจำกัดเพิ่งสลายไป ทันใดนั้นก้อนแสงหลากสีสันสิบเจ็ดสิบแปดดวงก็บินเข้ามาจากประตูใหญ่ของถ้ำพุ่งวูบมาถึงเบื้องหน้าเขา
หลิ่วหมิงอึ้งไปเล็กน้อย แต่เมื่อเพ่งสายตามองก็ยิ้มออกมาอย่างจนปัญญา
พวกนี้เป็นยันต์ถ่ายทอดเสียงที่นิกายส่งมาในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ก็เท่านั้น
จะว่าไปแล้วนับแต่หลิ่วหมิงกลับมาจากแดนลึกลับประตูสวรรค์เขาก็กลายเป็นบุคคลผู้โด่งดังในหมู่ศิษย์สายในของนิกายยอดบริสุทธิ์ คนที่มุ่งหน้ามาเยี่ยมเยือนสานสัมพันธ์มากกว่าก่อนหน้านี้หลายสิบเท่า
นี่ก็เป็นสาเหตุที่เขาจำต้องเปิดชั้นจำกัดของถ้ำที่พักก่อนจะเก็บตัว
เขาส่ายศีรษะยกแขนเสื้อขึ้นทีหนึ่ง ทันใดนั้นยันต์ถ่ายทอดเสียงทั้งหมดก็ร่วงลงในมือเขา
หนึ่งเค่อหลังจากนั้นหลิ่วหมิงยืนอยู่ที่เดิม ฟังเสียงที่ส่งมาเหล่านี้ทีละแผ่นๆ อย่างนิ่งสงบ
ไม่ผิดจากที่คาดยันต์ถ่ายทอดเสียงเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นของศิษย์สายในที่มาเยี่ยมเยียนทิ้งไว้ จดหมายส่วนใหญ่แสดงความต้องการจะผูกมิตรอย่างเกรงอกเกรงใจ ถึงขนาดมีจดหมายเชื้อเชิญไปร่วมฝึกฝนไม่น้อย
หลิ่วหมิงเห็นเนื้อหาเหล่านี้ย่อมลอบกลอกตา ไม่อยากจะไปสนใจเพิ่ม
ทว่าในเสียงที่ส่งมาเหล่านี้ไม่มีของเจียหลาน นี่กลับทำให้ในใจหลิ่วหมิงเกิดความรู้สึกประหลาดที่บอกไม่ถูก
หลิ่วหมิงสั่นศีรษะ หลังปัดความคิดเหล่านี้ไป ความคิดก็นึกไปถึงเรื่องเกี่ยวกับห้องว่างเปล่าลึกลับขึ้นมาอีก
คำนวณดูแล้วตอนนี้ห่างจากครั้งก่อนที่ฟองอากาศลึกลับน้อยปรากฏใกล้ครบสามสิบสองปีแล้ว
ยามนี้พลังของเขาบรรลุถึงระดับผลึกขั้นปลาย ในเวลาสั้นๆ อยากเลื่อนระดับอีกเห็นชัดว่าเป็นไปไม่ได้
ทว่ามีอีกเรื่องหนึ่งที่เวลานี้จัดการสักหน่อยได้
ก่อนหน้านี้นิกายมอบแต้มคุณูปการสามล้านแต้มให้เป็นรางวัลสำหรับความดีความชอบในงานประตูสวรรค์ของเขา แล้วเขายังได้วัตถุดิบปรุงโอสถและโอสถที่หายากไม่น้อยมาจากแดนลึกลับรวมถึงจากสองคนนั้นของนิกายหยกทอง หากมอบให้นิกายก็น่าจะแลกแต้มคุณูปการมาได้ไม่น้อย เมื่อรวมกับแต้มคุณูปการจำนวนหนึ่งที่เขามีอยู่เดิม รวมกันให้ได้สี่ล้านแต้มคุณูปการก็น่าจะไม่ใช่เรื่องยาก
ดังนั้นเขาจึงใช้เวลาสองสามวันจัดแหวนย่อส่วนดีๆ รอบหนึ่งอีกครั้ง เมื่อแยกวัตถุดิบปรุงโอสถและโอสถที่ตนคิดว่าไม่ได้ใช้แต่ยังนับว่าล้ำค่าจำนวนหนึ่งออกมาจนหมด เขาก็เดินทางไปวิหารไท่เจินหนึ่งเที่ยว สุดท้ายก็รวบรวมแต้มคุณูปการได้สี่ล้านแต้ม
หลังจากนั้นเขาจึงไปหอคุมกฎในนิกาย ในที่สุดก็คืนแต้มคุณูปการที่ติดค้างอยู่จากการฝึกฝนวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬกับเคล็ดกระบี่ปราณแกร่งได้หมด นับว่ากำจัดความกังวลใจไปได้เรื่องหนึ่ง
หลังจากนั้นหลิ่วหมิงใช้เวลาอีกสิบกว่าวันเดินทางไปตลาดในนอกนิกายหลายหน รวบรวมวัตถุดิบการปรุงสูตรโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์ที่ได้มาจากเฟิงชิงโม่ราวสิบชุด เตรียมจะศึกษาสูตรโอสถนี้ดีๆ ในช่วงนี้ที่เข้าไปในห้องว่างเปล่าลึกลับ
จะว่าไปแล้วโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์นี้ นอกจากกระดองเต่าลู่อู๋วัตถุดิบหลักที่ค่อนข้างหายาก วัตถุดิบเสริมอื่นก็ไม่ได้หายาก
พูดไปแล้วก็บังเอิญ กระดองเต่าลู่อู๋นี้ในกำไลเก็บของของเฟิงชิงโม่ผู้นั้นบังเอิญมีอยู่ครึ่งชิ้นน้อยพอดี คิดว่าหลังคนผู้นี้ได้สูตรมาคงยังไม่ทันได้ลองหาคนปรุง ชิ้นน้อยขนาดนี้เต็มที่ก็พอปรุงได้สิบครั้งเท่านั้น เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะทำโอสถที่สำเร็จขั้นสุดท้ายออกมาไม่ได้ด้วยซ้ำ
ทว่าสำหรับหลิ่วหมิงที่กำลังจะเข้าไปในห้องว่างเปล่าลึกลับ นั่นเพียงพอแล้ว
หลังเขาทำทุกสิ่งนี้เสร็จสิ้นก็เปิดชั้นจำกัดทั้งหมดของถ้ำที่พัก เขาเรียกเฟยเอ๋อร์กับเซียเอ๋อร์มาข้างกายแล้วเริ่มเก็บตัว รอฟองอากาศลึกลับเกิดขึ้นอีกครั้งอย่างนิ่งสงบ
เวลาสองเดือนผ่านไปในพริบตา
วันนี้หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิหลับตาสองข้างแน่นอยู่กลางห้องลับ เฟยเอ๋อร์กับเซียเอ๋อร์ก็แยกกันอยู่ซ้ายขวาของเขา นั่งขัดขาทำสมาธิโคจรปราณเหมือนเดิม
ทันใดนั้นเขาก็เลิกคิ้วขึ้น ปล่อยจิตสัมผัสมองสำรวจภายใน พบว่าทะเลจิตวิญญาณของตนโหมซัดเล็กน้อยอยู่พักหนึ่ง ฟองอากาศน้อยใสฟองหนึ่งก็ลอยออกมาช้าๆ
“ในที่สุดก็มาแล้ว…”
หลิ่วหมิงถอนหายใจในใจพลางเอ่ยพึมพำกับตนเอง
เฟยเอ๋อร์กับเซียเอ๋อร์ที่นั่งขัดสมาธิอยู่ด้านข้างเห็นเช่นนี้ก็รีบลุกขึ้นยืนอย่างรู้กัน ต่างคนต่างดึงแขนเสื้อของหลิ่วหมิงไว้คนละข้าง
เสียง “ฟู่” แผ่วเบาดังขึ้น
ฟองอากาศใสในทะเลจิตวิญญาณสั่นแผ่วเบาแล้วส่งแรงดูดรุนแรงสายหนึ่งออกมาในทันใด
หลิ่วหมิงขยับความคิด รีบกระตุ้นผลึกหนึ่งร้อยห้าสิบสามเม็ดที่ลอยอยู่ในทะเลจิตวิญญาณ แผ่พลังเวทข้างในออกมาให้ฟองอากาศใสน้อยนี้ดูดซับ
ทว่าครู่ต่อมาสีหน้าของหลิ่วหมิงก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
ครั้งนี้ฟองอากาศน้อยคล้ายจะเกิดความผิดปกติบางอย่าง ราวกับว่ามันมีหลุมดำไร้ก้นหลุมหนึ่งดูดซับพลังเวทอย่างดุดันต่างจากปกติ เหนือกว่าหลายครั้งก่อนหน้ามาก
หลิ่วหมิงตกตะลึงอย่างยิ่ง แต่ยามนี้ไม่อาจสนใจเรื่องนี้มากได้ เขาได้แต่พยายามกระตุ้นพลังเวทในร่างส่งให้ฟองอากาศน้อยนี้ดูดซับอย่างสุดความสามารถ พร้อมกันนั้นในใจก็ภาวนาให้พลังเวทบริสุทธิ์ที่เหนือกว่าผู้ฝึกฝนระดับเดียวกันของตนจะจัดการให้ผ่านด่านนี้ตรงหน้าไปได้
ครึ่งค่อนชั่วยามผ่านไปในพริบตา!
เวลานี้พลังเวทในร่างหลิ่วหมิงเหลือไม่ถึงครึ่งหนึ่งแล้ว แต่ความเร็วในการกลืนกินของฟองอากาศใสน้อยกลับไม่ลดลงสักนิด
ใบหน้าของหลิ่วหมิงเริ่มซีด
เฟยเอ๋อร์กับเซียเอ๋อร์ที่ยืนอยู่สองด้านของเขาก็ค้นพบเช่นกันว่าสภาพเวลานี้ของหลิ่วหมิงคล้ายจะไม่ปกติ พวกมันสบตากันทีหนึ่งแล้วเผยสีหน้ากังวลเล็กน้อยออกมา แต่ไม่กล้าบุ่มบ่ามทำสิ่งใด ได้แต่จ้องตากันรอคอยอย่างร้อนใจ
ขณะที่เวลาผ่านไปทีละน้อย พลังเวทในร่างหลิ่วหมิงก็ค่อยๆ ลดลง สีหน้ายิ่งย่ำแย่ขึ้นทุกที
สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ แม้เขาจะรู้ว่าแย่แล้วแต่ไม่มีวิธีขัดขวางแม้แต่น้อย
เดิมคิดว่าเข้าสู่ระดับผลึกขั้นปลาย พลังเวทของตนจะเพียงพอให้ฟองอากาศใสดูดซับ แต่วันนี้ดูแล้วเขาคงจะมองโลกในแง่ดีเกินไป
ตอนนี้เฟยเอ๋อร์ด้านข้างคิดจะเปิดปากอยู่หลายครั้ง แต่ทุกครั้งล้วนถูกเซียเอ๋อร์อีกด้านหนึ่งใช้สายตาห้ามไว้
แม้เซียเอ๋อร์จะเป็นห่วงร้อนรนเช่นเดียวกัน แต่ในใจยังเชื่อมั่นว่านายท่านผู้นี้ของตนจะฝืนทนจนผ่านด่านนี้ไปได้
หากพวกมันสอดมือยุ่งวุ่นวายจนทำให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันอื่นขึ้น นั่นถึงจะเป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้!
หลังเวลาผ่านไปอีกหนึ่งชั่วมื้ออาหาร หลิ่วหมิงก็รู้สึกว่าทะเลจิตวิญญาณหนักขึ้น พลังเวทสายสุดท้ายถูกกลืนเข้าไปหมดสิ้น
ในใจเขาตกตะลึง พริบตานั้นภาพตนเองถูกดูดจนตัวแห้งก็ผุดขึ้นมาในสมอง
ทว่าตอนที่พลังเวทของเขาถูกดูดไปจนหมดนั่นเอง ในที่สุดการกลืนกินของฟองอากาศใสก็ช้าลง
หลังจากนั้นเขาก็รู้สึกว่าร่างกายเย็นเยียบ เลือดและปราณในร่างถูกแรงล่องหนสายหนึ่งชักนำกรอกเข้าไปในฟองกาศอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกันภายในร่างเขาก็มีกระแสความร้อนสายหนึ่งกำลังถูกฟองอากาศใสดูดกลืนเข้าไปไม่หยุดเช่นกัน
ในใจหลิ่วหมิงยิ้มขมขื่น ความรู้สึกนี้ไม่เพียงคุ้นเคยแต่เขายังจดจำได้เหมือนใหม่ มันคือสิ่งที่บ่งบอกว่าอายุขัยของเขากำลังไหลหายไปอย่างรวดเร็ว
เลือดและปราณสายแล้วสายเล่ากับอายุขัยไหลเข้าไปในฟองอากาศ หากมีคนอยู่ที่นี่ก็จะเห็นว่าแม้สีหน้าของหลิ่วหมิงปกติ แต่ลมหายใจขอเขากลับแผ่วเบาลงทุกที นอกจากนี้เส้นผมสีดำขลับบนศีรษะก็ค่อยๆ กลายเป็นสีเทาขาวด้วย
“แย่แล้ว นายท่านเหมือนจะทนไม่ไหวแล้ว!” เฟยเอ๋อร์เห็นสภาพนี้ในที่สุดก็ทนไม่ไหวร้องเสียงดัง
“รอดูอีกเดี๋ยว…” เซียเอ๋อร์สีหน้าเปลี่ยนไปมาหลายหน แต่ยังคงอดทนกัดฟันเอ่ยขึ้น
แทบจะในเวลาเดียวกัน หลิ่วหมิงก็รู้สึกว่าเกิดเสียง “ฟู่” แผ่วเบาดังขึ้นภายในร่างตน ความเร็วการไหลหายไปของอายุขัยพริบตาช้าลงมาก
นี่ทำให้หลิ่วหมิงผู้เดิมทีคิดว่าตนยากจะหนีพ้นคราวเคราะห์ครั้งนี้แล้วแรกสุดตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นในดวงตาก็ฉายแววยินดีอย่างยิ่งทันที
เป็นเช่นนี้ผ่านไปอีกเป็นเวลาครึ่งก้านธูปเต็ม ในที่สุดการกลืนกินของฟองอากาศใสถึงหยุดลง
หัวใจที่เต้นรัวอยู่ในร่างหลิ่วหมิงเมื่อครู่ท้ายที่สุดจึงสงบลง
ครั้งนี้แม้เขาจะเสียเลือดและปราณไปมากอย่างที่สุด แต่ดีร้ายก็ยังไม่ถูกดูดจนแห้งตาย
พริบตานั้นที่จิตใจของเขาผ่อนคลาย เบื้องหน้าฉับพลันก็ดับมืด หมดสติไปทั้งอย่างนั้น
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร หลิ่วหมิงถึงได้สติขึ้นมาช้าๆ เบื้องหน้าเป็นโลกสีเทาแห่งหนึ่ง
ที่แท้ตอนที่เขาหมดสติเขาก็เข้ามาในห้องว่างเปล่าลึกลับแล้วอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
“นายท่าน ท่านตื่นแล้ว!” ข้างหูได้ยินเสียงของเฟยเอ๋อร์กับเซียเอ๋อร์ดังขึ้นแทบจะพร้อมกัน
เขาพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง ศีรษะยังคงรู้สึกวิงเวียนวูบหนึ่ง เมื่อจิตสัมผัสมองสำรวจภายในร่างครู่หนึ่ง บนใบหน้าก็เผยรอยยิ้มจืดเจื่อนออกมาจางๆ
แค่ชั่วเวลาสั้นๆ เมื่อครู่ โลหิตบริสุทธิ์ในร่างเขาก็ถูกดูดกลืนไปมากกว่าครึ่ง อายุขัยก็เสียไปไม่น้อยกว่าร้อยปี
“นายท่าน ผมของท่าน…” หญิงสาวชุดตาข่ายดำนั่งอยู่หน้าร่างหลิ่วหมิง เมื่อนางเห็นเขาตื่นก็ยินดี แต่หลังมองเส้นผมของหลิ่วหมิงก็เอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง
เฟยเอ๋อร์ที่อยู่อีกด้านหนึ่ง บนใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีหน้ากังวลเช่นกัน