ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 838
ตอนที่ 838 ความลับของหลัวโหว
หลิ่วหมิงได้ยินก็ไม่พูดพร่ำมือข้างหนึ่งวาดผ่านอากาศเบื้องหน้า กระจกวารีแวววาวบานหนึ่งปรากฏขึ้น สะท้อนหน้าตาของเขาชัดเจน
แม้หน้าตาไม่เปลี่ยนไปเท่าไร แต่เส้นผมกลายเป็นครึ่งเทาครึ่งขาว ไม่เหลือสีดำมันเงาแต่เดิมแม้แต่น้อย
“ไม่เป็นไร ตรงนี้ไม่มีอันตรายใดแล้ว พวกเจ้าสองตัวไปฝึกฝนก่อนเถิด ข้าจะโคจรปราณสักพัก” หลิ่วหมิงสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ฟื้นกลับมาเป็นปกติในทันที แล้วหันไปพูดกับอสูรเลี้ยงทั้งสองตัว
“รับคำสั่ง นายท่าน”
เฟยเอ๋อร์กับเซียเอ๋อร์เห็นหลิ่วหมิงไม่เป็นอะไรมากจริงๆ จึงวางใจเช่นกัน หลังคำนับอย่างนอบน้อมทีหนึ่ง ต่างคนก็ไปหามุมเริ่มฝึกฝนพลังของตนเอง
หลังหลิ่วหมิงหยิบโอสถจินหยวนเม็ดหนึ่งออกมากลืนลงไป พลังเวทในทะเลจิตวิญญาณที่แห้งเหือดไปก็ค่อยๆ ฟื้นกลับมาบ้าง พร้อมกันนั้นในใจเขาก็รู้สึกยินดี รู้สึกว่าประสบคราวเคราะห์ใหญ่แต่รอดตาย
หากฟองอากาศลึกลับดูดซับนานขึ้นอีกพักหนึ่ง ต่อให้เขาไม่ตาย ชีวิตในร่างก็คงถูกทำลายไปมากอย่างที่สุด
หลิ่วหมิงกระตุ้นพลังเวทชักนำพลังจิตวิญญาณให้ไหลเข้าสู่สี่แขนขาร้อยกระดูกทันที เส้นผมสีขาวดอกเลาจึงค่อยๆ ฟื้นกลับมาเป็นสีดำขลับ ความรู้สึกวิงเวียนศีรษะก็ค่อยๆ หายไป
ครึ่งชั่วยามให้หลังเขาก็หยุดนั่งสมาธิจากนั้นลุกขึ้นยืนอย่างปลอดโปร่ง
เวลานี้รูปลักษณ์ภายนอกของเขาเกือบฟื้นคืนกลับสภาพเดิมแล้ว แต่อารมณ์กลับหนักอึ้งอย่างยิ่ง!
ตอนที่นั่งสมาธิเมื่อครู่เขาลอบสำรวจสภาพภายในร่างรอบหนึ่ง พบว่าอายุขัยที่เสียไปครั้งนี้มากกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้ามาก อย่างน้อยก็เสียไปเกือบห้าหกสิบปี
จากที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ ด้วยพลังระดับผลึกขั้นปลายของเขา สมควรจัดการกับการดูดกลืนพลังเวทครั้งนี้ได้อย่างเหลือเฟือ
ตอนนี้เกิดเรื่องที่ทำให้อายุขัยของเขาเสียหายหนัก เห็นชัดว่ากรงขังลึกลับนี่เกิดสิ่งผิดปกติบางอย่างที่เขาไม่รู้ขึ้นแล้ว
“ผู้อาวุโสหลัวโหวเชิญออกมาพบหน้ากันหน่อย! ผู้เยาว์มีเรื่องบางอย่างต้องการขอคำชี้แนะเล็กน้อย” หลังหลิ่วหมิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็ประสานมือเอ่ยเสียงดังใส่พื้นที่ว่างเปล่าสีเทาขมุกขมัว
“ไม่ต้องเสียงดังเช่นนี้ ข้าได้ยินแล้ว” เงาคนพร่าเลือนวูบหนึ่ง หลัวโหวก็โผล่ออกมาเบื้องหน้า เอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
“ผู้อาวุโสหลัว…” หลิ่วหมิงสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่ง กำลังคิดจะพูดอะไรบางอย่าง
“ไม่ต้องพูดมาก สถานการณ์เมื่อครู่ข้าเห็นแล้ว” หลัวโหวโบกมือห้ามไม่ให้หลิ่วหมิงพูด จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นนิ่งๆ
หลิ่วหมิงอ้าปาก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไปอีก
ในเมื่ออีกฝ่ายพูดเช่นนี้ ดูท่าคงจะบอกสาเหตุของเรื่องนี้ให้ฟังแน่
หลัวโหวเงียบไปชั่วครู่บนใบหน้าถึงปรากฏสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยขณะที่เอ่ยขึ้นช้าๆ
“เดิมทีคิดว่าผ่านไปอีกสักพักจะบอกเจ้า แต่ตอนนี้ดูท่า ไม่พูดคงไม่ได้แล้ว ต้องคุยกับเจ้าดีๆ สักหน่อย”
“เชิญผู้อาวุโสคลายข้อสงสัย!”
หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว หลังประสานมืออีกครั้ง ในใจก็มีลางสังหรณ์ไม่ดีอยู่เลือนราง
“ที่จริงเรื่องนี้จะว่าไปแล้วก็ไม่มีอะไรซับซ้อน ก็แค่จิตวิญญาณอาวุธที่แท้จริงของกรงขังกำลังจะตื่น ดังนั้นพลังเวทที่ดูดเข้าไปถึงเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน แต่โชคของเจ้ายังนับว่าไม่เลว กายเนื้อกับความบริสุทธิ์ของพลังเวทเหนือจินตนาการไปไกลถึงไม่ถูกดูดจนแห้ง” หลัวโหวอ้าปากปุบก็เอ่ยคำพูดที่ทำให้หลิ่วหมิงตกตะลึงออกมา
“จิตวิญญาณอาวุธที่แท้จริงของกรงขังหรือ? คำนี้หมายความว่าอย่างไร ผู้อาวุโส ท่านไม่ใช่…?” หลิ่วหมิงตะลึงงัน
“เจ้าเชื่อมาตลอดว่าข้าคือจิตวิญญาณอาวุธของกรงขังสินะ” หลัวโหวมองหลิ่วหมิงนิ่งๆ มุมปากเผยรอยยิ้มเยาะนิดๆ ออกมา
“ไม่ผิด”
หลิ่วหมิงพยักหน้าตามตรง
“ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่ามิติกรงขังแห่งนี้คือผนึกอันหนึ่ง ด้านในผนึกวิญญาณมารไว้มากมายนัก พูดให้ชัดที่จริงข้าก็เป็นผู้หนึ่งที่ถูกผนึกไว้เช่นกัน”
“แต่ข้าแตกต่างจากวิญญาณมารทั่วไป ข้ากับจิตวิญญาณอาวุธกรงขังนี้มีต้นกำเนิดเดียวกัน เป็นจิตวิญญาณที่มีความคิดของตัวเองส่วนน้อยในหมู่วิญญาณที่ถูกนายท่านของกรงขังจับมาตอนนั้น ยามนั้นนายท่านของกรงขังผสานวิญญาณเข้าไปในอาวุธชิ้นนี้เพื่อสร้างจิตวิญญาณอาวุธ แต่ข้ากลับไม่ถูกกลืนหายไปเพราะสาเหตุบางอย่างจึงได้แต่ถูกผนึกไว้ในกรงขัง เพราะเรื่องนี้ขณะที่จิตวิญญาณอาวุธหลับใหลอย่างยาวนานนั้น ท้ายที่สุดข้าจึงทลายผนึก ปรากฏตัวออกมาควบคุมพลังส่วนหนึ่งของกรงขังได้” ในที่สุดหลัวโหวก็เล่าความเป็นมาที่แท้จริงของตนเองช้าๆ
“ที่แท้เป็นเช่นนี้ ผู้เยาว์นับว่าเข้าใจข้อสงสัยจำนวนหนึ่งก่อนหน้านี้แล้ว แต่ตามที่ผู้อาวุโสกล่าวเมื่อจิตวิญญาณอาวุธที่แท้จริงของกรงขังตื่นขึ้น ท้ายที่สุดจะกลายเป็นอย่างไร?” หลังหลิ่วหมิงฟังจบก็ดูเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว
“ถ้า ‘เขา’ ตื่นขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ ข้าก็คงถูกเขากลืนกินหลอมเป็นหนึ่งเพื่อซ่อมแซมตัวเขา ส่วนเจ้า นายท่านตัวปลอมที่กรงขังนี้ยอมรับชั่วคราวย่อมจะถูกดูดจนแห้งอย่างไร้ปรานี ใช่แล้ว มิติที่เจ้าอยู่ตอนนี้ก็เป็นสิ่งที่ ‘เขา’ สร้างขึ้นมากับมือเมื่อตอนนั้น” หลัวโหวเอ่ยถ้อยคำที่ทำให้หลิ่วหมิงขนพองสยองเกล้าออกมา
ทันใดนั้นหลิ่วหมิงก็ทำหน้าหายใจไม่ออก ผ่านไปครู่หนึ่งถึงหัวเราะเจื่อนๆ เอ่ยขึ้นว่า
“ในเมื่อผู้อาวุโสหลัวโหวกับจิตวิญญาณอาวุธมีต้นกำเนิดเดียวกัน จะบอกความเป็นมาของนายท่านของกรงขังกับจิตวิญญาณอาวุธแก่ข้าได้หรือไม่ หากข้าทราบรายละเอียดของทั้งสองคน ไม่แน่อาจหาวิธีรับมือได้?”
“แม้ร่างต้นยามนั้นของข้าคงอยู่มายาวนานนัก แต่หลังถูกหลอมเป็นจิตวิญญาณอาวุธ ความทรงจำส่วนใหญ่ก็สูญหายไปแล้ว เรื่องราวเกี่ยวกับนายท่านคนแรกของกรงขังกับตัวข้าเองล้วนเป็นเพียงความทรงจำเลือนรางจำนวนหนึ่ง ไม่อาจนึกความทรงจำละเอียดออกมาได้ จำได้เพียงลางๆ ว่าร่างเดิมของข้าเป็นอสูรยักษ์สูงเทียมฟ้าที่ตระเวนไปยังโลกต่างๆ ได้ตนหนึ่ง ส่วนนายท่านของกรงขังพลังลึกล้ำหยั่งไม่ถึง เคยปราบโลกหลายแห่งด้วยตัวคนเดียวมาแล้ว” บนหน้าหลัวโหวเผยสีหน้าย้อนความทรงจำออกมา ชั่วครู่ให้หลังจึงส่ายศีรษะ
หลิ่วหมิงได้ยินคำตอบคลุมเครือนี้ย่อมไร้ถ้อยคำจะกล่าวตอบ
“เดิมทีข้าคิดว่ากว่าจิตวิญญาณอาวุธของกรงขังจะตื่นน่าจะยังมีเวลาอีกหลายพันหรือนับหมื่นปี แต่คิดไม่ถึงว่าตอนนี้กลับมีวี่แววว่าจะตื่นขึ้นแล้ว หากเป็นเช่นนี้ถ้าเจ้าอยากมีชีวิตรอดก็มีเพียงหนทางเดียวคือกลายเป็นนายท่านที่แท้จริงของกรงขัง ชิงหลอมกลืนจิตวิญญาณอาวุธเสียก่อนที่เขาจะตื่นขึ้นมา” หลัวโหวสองตาจ้องนิ่งมาทางหลิ่วหมิง เอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“หลอมกลืนจิตวิญญาณอาวุธ…”
ในปากหลิ่วหมิงรู้สึกถึงรสขม!
แม้ความทรงจำเกี่ยวกับกรงขังของหลัวโหวจะพร่าเลือน แต่ดูจากความลี้ลับน่าเหลือเชื่อนานับประการของห้องว่างเปล่าลึกลับเพียงอย่างเดียว ก็ไม่รู้ว่าพลังของจิตวิญญาณอาวุธดวงนี้น่ากลัวเท่าไรแล้ว
“อาศัยเพียงเจ้าคนเดียวย่อมไม่ไหว แต่ขอเพียงเจ้าตัดสินใจแน่วแน่ ข้าย่อมช่วยเจ้าได้บ้าง” หลัวโหวคล้ายมองปราดเดียวทะลุไปถึงความคิดในใจของหลิ่วหมิงจึงเอ่ยขึ้นนิ่งๆ
“ขอผู้อาวุโสหลัวโหวอธิบายสักหน่อยเถิด” หลังสายตาของหลิ่วหมิงทอประกายวูบหนึ่งก็จ้องหลัวโหวเขม็งแล้วเอ่ยถามทันที
“ง่ายดายยิ่ง ต่อจากนี้สิ่งที่เจ้าต้องทำอันดับแรกก็คือทะลวงไปถึงระดับแก่นแท้ภายในหกสิบปีนี้ นี่เป็นเงื่อนไขพื้นฐานของเจ้าในการกลายเป็นนายท่านที่แท้จริงของกรงขัง หากเรื่องนี้ทำไม่ได้ ไม่ต้องรอจิตวิญญาณอาวุธตื่น ครั้งต่อไปที่กรงขังต้องดูดซับพลังเวท เจ้าก็คงถูกดูดอายุขัยหมดสิ้นแล้ว ส่วนเรื่องอื่นที่ต้องเตรียมหลังจากนั้นล้วนต้องมีระดับแก่นแท้เป็นพื้นฐานก่อน หากเจ้าไม่กลายเป็นระดับแก่นแท้ ข้าพูดไปก็ไร้ประโยชน์” หลัวโหวได้ฟังก็เผยสีหน้ายินดีจางๆ ขณะเอ่ยบอก
“กลายเป็นระดับแก่นแท้ในหกสิบปี!” หลิ่วหมิงสูดลมหายใจดังเฮือก แต่ไม่ได้เผยท่าทางคิดไม่ถึงออกมามากนัก
เวลาหกสิบปีดูเหมือนนานมาก แต่อยากเข้าสู่ระดับแก่นแท้ในเวลาสั้นเช่นนี้ไหนเลยจะง่าย!
แค่ระดับแก่นเสมือนขั้นก่อนหน้าก็ขวางผู้ฝึกฝนไว้ได้ไม่รู้เท่าไรแล้ว
ส่วนการสลายผลึกผนึกแก่นแท้ยิ่งเป็นก้าวสำคัญที่สุดบนเส้นทางการฝึกฝนอันยาวนาน เรียกได้ว่าหากผนึกแก่นแท้สำเร็จ พลังจะก้าวกระโดดอย่างมาก ถึงขนาดที่ในบางความหมายกล่าวกันว่าระดับแก่นแท้ถึงจะนับว่าเริ่มต้นเหยียบบนเส้นทางของผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง
หากต้องการผนึกแก่นแท้สำเร็จ ต่อให้เป็นแก่นแท้ระดับต่ำสุดซึ่งพึ่งสิ่งภายนอกก็ยากเย็นแสนเข็ญ
ยกตัวอย่างแผ่นดินอวิ๋นชวนที่หลิ่วหมิงเคยอยู่ก่อนหน้านี้ แม้ผู้ฝึกฝนระดับผลึกไม่มาก แต่ก็ไม่นับว่าน้อยนัก อย่างน้อยแต่ละสำนักมีมากมีน้อยก็ล้วนมี แต่ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้กลับไม่มีสักคน
แม้แต่ทั้งเขตทะเลชังไห่ จากที่เขารู้มาก็มีเพียงราชาปีศาจสมุทรตนเดียวเท่านั้น ทว่าถึงแม้เป็นเช่นนี้ก็เป็นใหญ่เหนือทิศหนึ่งแล้ว
กระทั่งนิกายยอดบริสุทธิ์สี่ยอดนิกายใหญ่แห่งเผ่ามนุษย์เช่นนี้ ศิษย์ระดับผลึกในนิกายไม่รู้มีเท่าไร แต่มีผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ประหนึ่งขนหงส์เขากิเลน แต่ละคนต่างกลายเป็นผู้ควบคุมยอดเขา เป็นผู้อาวุโส ฐานะสูงส่งมีอำนาจอย่างที่สุด
นอกจากนี้หนึ่งในเงื่อนไขตั้งต้นของการกลายเป็นศิษย์ลับผู้ลึกลับของนิกายยอดบริสุทธิ์ก็คือต้องผนึกแก่นแท้ให้ได้ในระยะเวลาที่กำหนด ถึงจะมีความเป็นไปได้อยู่บ้าง
“เจ้าก็ไม่ต้องหดหู่เกินไป ในหกสิบปีนี้ข้าย่อมทุ่มเทใช้ปราณจำนวนหนึ่งที่สะสมมาของตน พยายามช่วยเจ้าทะลวงไปถึงระดับแก่นแท้ให้ได้” หลัวโหวมองหลิ่วหมิงทีหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ น้ำเสียงให้กำลังใจเล็กน้อย
“อืม หากผู้อาวุโสหลัวโหวลงมือเอง ผู้เยาว์ย่อมมั่นใจอยู่บ้าง” หลิ่วหมิงได้ยินก็ยินดี รีบร้อนก้มต่ำคำนับหลัวโหวทีหนึ่ง
หากอาศัยเพียงตัวเขา เวลาหกสิบปีฝึกฝนไปถึงระดับแก่นแท้ เขาไม่มั่นใจสักเท่าไรจริงๆ
แม้หลัวโหวผู้นี้บอกว่าตนเป็นเพียงจิตวิญญาณสายหนึ่ง แต่ความสามารถที่เคยแสดงออกมาตลอดก่อนหน้านี้ก็ลึกล้ำไม่อาจหยั่ง เขาคงมั่นใจประมาณหนึ่งแน่นอนถึงเอ่ยออกมาเช่นนี้
“เจ้าไม่ต้องขอบคุณข้าตอนนี้ ข้าก็ไม่ได้ช่วยเจ้าโดยไร้สิ่งตอบแทน ถึงเวลานั้นเจ้าต้องใช้วิชาลับสาปจิตหมื่นเคราะห์สาบานว่าภายภาคหน้าหากหลอมกลืนจิตวิญญาณอาวุธของกรงขังสำเร็จจนกลายเป็นนายท่านที่แท้จริงของกรงขังแล้ว เจ้าจะต้องตามหาร่างกายที่เหมาะสมร่างหนึ่ง ปลดปล่อยข้าออกไปจากกรงขัง” หลัวโหวเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นเยียบ
“เรื่องนี้แน่นอน ขอเพียงผู้อาวุโสช่วยให้ข้าควบคุมกรงขังได้ เงื่อนไขเหล่านี้ข้าย่อมทำตามที่ว่ามาทั้งหมด ไม่กลับคำเด็ดขาด” หลิ่วหมิงครุ่นคิดเพียงครู่เดียวก็รับปากเต็มปากเต็มคำ
“ดีมาก หากเป็นเช่นนี้ ถึงเวลาข้ากับเจ้าต่างฝ่ายถึงจะได้สิ่งที่ต้องการ”
หลัวโหวคล้ายพอใจกับคำตอบของหลิ่วหมิงอย่างยิ่ง สีหน้าจึงอ่อนโยนขึ้นอยู่บ้าง
ต่อจากนั้นหลิ่วหมิงก็ถือโอกาสสอบถามเรื่องอื่นๆ เกี่ยวกับกรงขังรวมถึงจิตวิญญาณอาวุธ ประเด็นที่ตอบได้หลัวโหวล้วนพยายามตอบตามจริง
นี่ทำให้หลิ่วหมิงเข้าใจเกี่ยวกับกรงขังเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อย
“ใช่แล้ว ผู้อาวุโสหลัวโหว ศิลาเทียนหุนในทะเลจิตรับรู้ของข้าก็เป็นส่วนหนึ่งของกรงขังด้วยใช่หรือไม่?” ทันใดนั้นหลิ่วหมิงก็คิดอะไรขึ้นได้จึงเอ่ยถามกะทันหัน
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาจึงรู้สึกมาตลอดว่าศิลาเทียนหุนค่อนข้างลึกลับ เหมือนมันไม่ได้ทำได้แค่นำจิตของเขาเข้ามาในอาวุธเวทห้องว่างเปล่าลึกลับ แต่น่าจะมีความลี้ลับอื่นใดอยู่อีก
วันนี้มีโอกาส เขาย่อมถามตรงๆ