ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 849
หลังร่างของภูตผีกระจุย พวกมันก็กลายเป็นปราณดำสายหนึ่งผสานเข้ากับมิติรอบด้านใหม่อีกครั้ง
ในเวลาเดียวกันปราณดำสี่ด้านแปดทิศก็ปั่นป่วนขึ้นพร้อมกัน จากนั้นภูตผีตัวแล้วตัวเล่าก็ปีนออกมา แย่งชิงกันโถมเข้าใส่หัวปีศาจแม่ทัพ
“รนหาที่ตาย!”
แม้หัวปีศาจแม่ทัพพลังสูงกว่าภูตผีเหล่านี้มาก แต่เมื่อมันบาดเจ็บหนักและเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ในที่สุดบนใบหน้าก็เผยความหวาดกลัวจางๆ ออกมา มันคำรามเสียงดังคิดจะปล่อยอสนีบาตสีน้ำเงินออกมาอีกครั้ง
ในเวลานี้เองไม่ไกลหลังร่างของมัน แสงสีทองจุดหนึ่งฉับพลันก็ปรากฏออกมาจากความมืด หลังโฉบวูบหนึ่งแสงสีทองแสบตาอย่างที่สุดสายหนึ่งก็พุ่งมาถึงตรงหน้า เร็วจนลากเส้นสีทองเรียวเล็กเส้นหนึ่งขึ้นกลางอากาศ
หัวปีศาจแม่ทัพหวาดผวาหันกลับไปมองทันที ทว่าจิตกระบี่แหลมคมมาถึงกลางหว่างคิ้วของเขาแล้ว
เสียง “พรวด” ดังขึ้นทีหนึ่ง
หัวปีศาจแม่ทัพไม่ทันแม้แต่จะคิดหลบ แสงกระบี่สีทองก็ทะลวงผ่านหน้าผากของมันแล้วแล่นออกมาจากด้านหลังกะโหลก
กลางท้องฟ้าแสงสีดำสว่างวูบวาบไม่กี่ครั้ง มิติคุกมืดก็ค่อยๆ สลายไป
หัวปีศาจแม่ทัพมหึมาร่วงดิ่งลงจากกลางท้องฟ้า สองตาของมันไร้ประกายอย่างสิ้นเชิง เห็นชัดว่าวิญญาณถูกกระบี่ว่างเปล่าสังหารสิ้นแล้ว
หลิ่วหมิงสะบัดมือส่งปราณดำแถบหนึ่งออกมายกศพของหัวปีศาจไว้ จากนั้นยกมือข้างหนึ่งขึ้นกวัก แสงสีทองส่องสว่างวูบหนึ่ง พริบตาเดียวกระบี่ว่างเปล่าก็ปรากฏขึ้นในมือเขา
ใบหน้าของเขาเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา มืออีกข้างลูบฝักกระบี่สีเงินอ่อนข้างเอวแผ่วเบา
หลังบำรุงมาสิบกว่าปี พริบตาที่กระบี่ว่างเปล่าออกจากฝัก พลังแตกต่างจากวันวานอย่างแท้จริง
มิเช่นนั้นต่อให้หัวปีศาจแม่ทัพตนนี้จะสภาพร่อแร่อีกเท่าใด พลังก็ยังระดับแก่นแท้ของจริง จะโจมตีสังหารมันคงต้องใช้เวลาไม่น้อย
แต่หากอยากให้กระบี่ว่างเปล่ามีพลังเท่ากับการโจมตีก่อนหน้านี้อีกครั้ง เกรงว่าคงต้องให้มันอยู่บำรุงในฝักกระบี่ใหม่อีกสักหลายปีถึงจะได้
“นายท่าน!”
ในเวลาเดียวกันนี้เสียงกังวานใสของเด็กน้อยก็ดังขึ้น
หลิ่วหมิงได้ยินพลันเอี้ยวศีรษะไปมอง
แสงสีเขียวสว่างวูบเบื้องหน้า หัวบินกลายร่างเป็นเด็กน้อยอีกครั้งก่อนจะทะยานร่างร่อนลงตรงหน้าหลิ่วหมิง มันมองศพของหัวปีศาจแม่ทัพพลางทำหน้ากระหายอยาก
“สังหารวิญญาณร้ายเหล่านั้นหมดแล้วหรือ?”
สายตาของหลิ่วหมิงมองไปรอบด้าน บริเวณเขาสันเขียวหมอกภูตสีเขียวอ่อนลอยกระจายออกไปแล้ว ท่ามกลางความมืดสลัวไม่เห็นภูตผีวิญญาณร้ายสักตัว แต่ไกลออกไปยังได้ยินเสียงภูตผีโหยหวนอยู่บ้างเลือนราง
“พลังเวทของวิญญาณกองทัพเหล่านั้นไม่แข็งแกร่ง แต่พวกมันกล้าหาญไม่น้อย แล้วยังตั้งกระบวนทัพสารพัดแบบได้ด้วย ทว่าหลังถูกข้าโจมตีทลายไปส่วนหนึ่ง ส่วนใหญ่ก็ฉวยโอกาสหนีไปแล้ว” เฟยเอ๋อร์ดูดนิ้วพลางเอ่ยบอก ตั้งแต่ต้นจนจบสายตาไม่ละไปจากศพของหัวปีศาจแม่ทัพเลย
หลิ่วหมิงฟังแล้วก็พยักหน้า แม้พลังของหัวบินจะใกล้ถึงขั้นสมบูรณ์แบบของระดับผลึกขั้นปลายแล้ว แต่เผชิญหน้ากับวิญญาณร้ายที่พลังใกล้ถึงระดับของเหลวจิตวิญญาณหลายร้อยตนพร้อมกัน ทำได้เท่านี้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว
ตอนหลิ่วหมิงออกมาจากนิกายยอดบริสุทธิ์ แมงป่องกระดูกกินโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์เม็ดหนึ่งลงไป มันจึงหลอมกลืนพลังของโอสถอยู่ในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณมาตลอด มิเช่นนั้นถ้าอสูรเลี้ยงทั้งสองตัวลงมือด้วยกันก็คงไม่ปล่อยให้ภูตผีวิญญาณร้ายเหล่านี้หนีไปได้
แต่ในเมื่อหัวหน้าถูกกำจัดแล้ว คิดว่าทหารแตกทัพเหล่านี้ก็คงก่อเรื่องอันใดไม่ได้แล้ว
เห็นหน้าที่น้ำลายไหลสามฉื่อของหัวบิน หลิ่วหมิงก็ยิ้มสบายๆ แล้วสะบัดแขนเสื้อทีหนึ่ง โยนศพหัวปีศาจแม่ทัพตนนั้นไปให้
หัวบินร้องตะโกนยินดี ส่ายร่างวูบหนึ่งกลับเป็นร่างเดิมอีกครั้ง
จากนั้นโถมมาหาศพหัวปีศาจแม่ทัพ เริ่มอ้าปากกัดคำโต
หลิ่วหมิงยิ้มน้อยๆ มือข้างหนึ่งตั้งท่าเคล็ดกระบี่ กระบี่บินในมือหลุดออกจากมือบินกลับไปในถุงกระบี่ข้างเอว
ผิวของฝักกระบี่สีเงินอ่อนมีประกายสีเงินไหลเคลื่อนพักหนึ่งจากนั้นก็หายวับไป
ไม่นานนักศพมหึมาของหัวปีศาจแม่ทัพก็ถูกเฟยเอ๋อร์กลืนลงท้องจนหมด แสงสีเขียวในดวงตามันหม่นแสงลง เริ่มทำท่าเกียจคร้าน
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ดวงตาพลันเป็นประกาย
เดิมทีหัวบินติดขัดเข้าสู่ระดับแก่นเสมือนไม่ได้เสียที ตอนนี้ได้กินพวกเดียวกันระดับแก่นแท้ตนหนึ่งลงไปจึงเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าอาจมีโอกาสเลื่อนระดับ
คิดถึงตรงนี้ในใจหลิ่วหมิงก็ลอบยินดี มือข้างหนึ่งตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณข้างเอวเก็บหัวบินเข้าไป
“แย่แล้ว เกือบลืมเรื่องนี้ไปเลย!”
ทันใดนั้นหลิ่วหมิงก็นึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้ กระทืบเท้าทีหนึ่งคนก็กลายเป็นแสงสีดำสายหนึ่ง เหาะไปยังหุบเขาตระกูลเยี่ยประหนึ่งลมกรด
เขากับหัวปีศาจแม่ทัพสู้ศึกใหญ่กัน ผนึกที่เหลืออยู่คงพังทลายไปหมดสิ้นแล้ว
ภูตผีทั้งหมดของเขาสันเขียวถูกคลื่นพลังเวทอันแข็งแกร่งของทั้งสองทำให้ตกใจหนีไปหมดวิญญาณร้ายส่วนหนึ่งหนีรอดจากมือหัวบินไปได้ หากภูตผีเหล่านี้โจมตีหุบเขาตระกูลเยี่ย ค่ายกลชั้นจำกัดอ่อนแออันนั้นของหุบเขาตระกูลเยี่ยคงต้านทานไม่อยู่อย่างแน่นอน
ระหว่างที่หลิ่วหมิงบินเร็วรี่อยู่เขาก็แผ่จิตสัมผัสออกไปทันที จิตสัมผัสครอบคลุมบริเวณหลายสิบกิโลเมตรรอบด้านอย่างรวดเร็ว
ครู่ต่อมาสีหน้าเขาพลันเคร่งขรึม จิตของเขาสัมผัสได้ว่าภายในหุบเขาตระกูลเยี่ยพังระเนระนาด ด้านในแทบสัมผัสกลิ่นอายของสิ่งมีชีวิตไม่ได้เลย!
บนท้องฟ้าเหนือหมู่บ้านมีค้างคาวผีสิบกว่าตัวบินวนอยู่
“รนหาที่ตาย!”
หลิ่วหมิงลอบด่าในใจคำหนึ่ง ดวงตาฉายแววดุดัน พลังจิตในทะเลจิตรับรู้ฉับพลันกระแทกรุนแรง คลื่นพลังจิตลูกมหึมาแผ่รอยกระเพื่อมที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าวงหนึ่งออกไป ซัดลงบนร่างค้างคาวผีสิบกว่าตัวนั้นที่อยู่ห่างออกไปเหนือหุบเขาตระกูลเยี่ย
ค้างคาวผีสิบกว่าตัวนั้นที่บินวนเวียนอยู่บนฟ้าเหนือหมู่บ้านตระกูลเยี่ยหัวสมองหนักอึ้งไปวูบหนึ่ง สติพร่าเลือนในทันใด แต่ผ่านไปครู่หนึ่งก็ฟื้นกลับมาเป็นเหมือนเดิม
ตอนนี้เองคลื่นพลังจิตอีกระลอกหนึ่งก็เล่นงานสติของพวกมันอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่รอพวกมันหายดี แสงสีดำสายหนึ่งกลางท้องนภาก็มาถึงประหนึ่งสายฟ้า แสงสีดำรูปพัดสายหนึ่งโถมเข้าขยี้ค้างคาวผีสิบกว่าตัวเป็นชิ้นๆ
แสงสีดำกะพริบวูบหนึ่ง ร่างกายของหลิ่วหมิงก็ร่อนลงกลางหมู่บ้าน
เวลานี้หน้าของเขาซีดอยู่เล็กน้อย
การฝืนโจมตีด้วยคลื่นพลังจิตจากระยะไกลเช่นนี้กินพลังจิตหนักหน่วงอย่างที่สุด เขาไม่เคยฝึกวิชาลับจำพวกนี้มา คลื่นพลังจิตสองครั้งนี้จึงทำให้เขาเสียพลังจิตไปไม่น้อย
เขาตั้งจิต ทันใดนั้นหนอนพลังจิตในอกเสื้อก็ส่งพลังจิตบริสุทธิ์สายแล้วสายเล่ามา ทำให้สีหน้าเขาฟื้นเป็นปกติขึ้นบ้าง
เขาทอดสายตามองไป หมู่บ้านตระกูลเยี่ยในเวลานี้ล้วนเห็นแต่ความพังพินาศ ศาลบรรพชนกลางหมู่บ้านพังถล่ม คลื่นพลังค่ายกลแผ่วจางสายนั้นก็หายไปแล้ว บ้านเกินกว่าครึ่งยังถล่มอยู่กับพื้น มองเห็นศพของชาวบ้านเป็นระยะ เลือดไหลนองพื้น
“ดูท่าจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง!”
หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว!
ค้างคาวผีภูตชนิดนี้ชอบกินเนื้อแต่พลังระดับศิษย์จิตวิญญาณเท่านั้น ไม่อาจทำลายชั้นจำกัดของที่แห่งนี้ได้แน่นอน เกรงว่าผู้ร้ายตัวจริงเหล่านั้นคงจากไปนานแล้ว
จิตของเขาแผ่สัมผัสออกไปครอบคลุมทั้งหมู่บ้านอีกครั้ง
“เอ๋!”
ผลปรากฏว่ากวาดไปครานี้กลับทำให้หลิ่วหมิงร้องเอ๋อย่างอดไม่ได้อีกครั้ง
เขาโฉบวูบ เหาะไปถึงหน้าศาลบรรพชนที่พังถล่ม จากนั้นมือข้างหนึ่งยกขึ้นกวัก ดินหินกระเบื้องแตกที่อยู่บนพื้นพลันถูกพลังสายหนึ่งกวาดออกไป เผยทางเข้าห้องใต้ดินรูปสี่เหลี่ยมอันหนึ่งอยู่บนพื้น
บนประตูห้องใต้ดินนี้สลักยันต์ที่ดูลี้ลับจำนวนหนึ่งไว้ แม้ไม่มีพลังป้องกันอันใด แต่กั้นพลังจิตส่วนใหญ่ด้านนอกได้
หากไม่ใช่เพราะพลังจิตของเขาแข็งแกร่งเกินไป เกรงว่าคงหาความผิดแปลกตรงนี้ไม่พบ มิน่าภูตผีพวกนั้นจึงค้นไม่พบว่าข้างใต้นี้มีสถานที่อีกแห่งหนึ่งอยู่!
เขายกมือข้างหนึ่งขึ้น ปราณสีดำสายหนึ่งม้วนออกมาเปิดประตูห้องใต้ดินทันที
ในห้องใต้ดินที่มีขนาดเพียงครึ่งจั้ง เด็กชายอายุหกเจ็ดขวบคนหนึ่งกำลังขดกายที่เต็มไปด้วยฝุ่นดินอยู่บนพื้น ใบหน้ายังคงมีสีหน้าหวาดกลัว แต่ดวงตาทั้งสองของเขาส่องแสงสีทองออกมา ขณะที่ในลูกนัยน์ตากลับปรากฏสีเขียวหยกจุดหนึ่ง
“เนตรทองดวงตาหยกของจริง!” หลังหลิ่วหมิงพิจารณาอย่างละเอียดก็เอ่ยพึมพำขึ้นมา
เขาเคยได้ยินอินจิ่วหลิงเอ่ยถึงเรื่องร่างจิตวิญญาณเนตรทองดวงตาหยก ร่างจิตวิญญาณชนิดนี้ค่อนข้างหายาก ในหมู่ร่างจิตวิญญาณจำพวกดวงเนตร นับว่าค่อนไปทางระดับสูง
เนตรทองดวงตาหยกมีพลังมองทะลุเป็นเลิศ ไม่แพ้ดวงตาแห่งความว่างเปล่าของศิษย์หญิงดวงตาสีเขียวผู้นั้นของสำนักเฮ่าหรานที่หลิ่วหมิงเคยพบ
นอกจากนี้แสงสีทองที่ส่องออกมาจากเนตรทองดวงตาหยกยังมีพลังข่มภูตผีโดยธรรมชาติ เมื่อฝึกฝนจนบรรลุ เพียงพอทำให้ภูตผีส่วนใหญ่ในใต้หล้าได้ยินชื่อก็เสียขวัญ
ทันใดนั้นแสงสีทองในดวงตาทั้งสองข้างของเด็กชายก็หม่นแสง คนโงนเงนล้มลงกับพื้น
หลิ่วหมิงรีบยื่นมือส่งปราณดำสายหนึ่งไปยกร่างเด็กชายมาวางไว้ข้างกาย
หลังสำรวจอย่างละเอียดรอบหนึ่งจึงพบว่านอกจากเด็กชายคนนี้ฝืนใช้พลังเนตรจิตวิญญาณจนเลือดและปราณในร่างเบาบางไปบ้าง อย่างอื่นก็ไม่มีปัญหาอันใด
เขาขยับนิ้วมือกดลงบนร่างเด็กชายติดกันไม่กี่หน สีหน้าซีดเผือดของเด็กชายก็บรรเทาลง ศีรษะเอียงพับหลับใหลไป
เมื่อทำสิ่งเหล่านี้เสร็จหลิ่วหมิงก็หันไปมองรอบด้านอีกครั้งแล้วส่ายหน้า ทั้งหมู่บ้านนอกจากเด็กชาย ไม่มีผู้รอดชีวิตสักคน
สายเลือดที่ผู้ฝึกฝนแซ่เยี่ยเหลือไว้เมื่อพันปีก่อน ท้ายที่สุดกลับพบหายนะตระกูลล่มสลาย ยังดีที่สุดท้ายรักษาสายเลือดน้อยนิดไว้ได้
หลิ่วหมิงขับไล่อารมณ์ด้านลบเล็กๆ นี้ออกไปแล้วสะบัดมือข้างหนึ่ง ปราณดำสายหนึ่งคลุมทั้งหมู่บ้านไว้
พื้นดินสั่นไหวอย่างรุนแรงพักหนึ่ง ก้อนดินนับไม่ถ้วนก็ลอยขึ้นมา ชั่วครู่ให้หลังในหมู่บ้านก็มีสุสานแห่งแล้วแห่งเล่าผุดขึ้น
หลิ่วหมิงอุ้มเด็กชายด้วยมือข้างเดียวแล้วหมุนตัวเตรียมจะจากไป ทันใดนั้นหูก็ได้ยินเสียงหญิงสาวรื่นหูดังขึ้น
“นายท่าน!”
“เซียเอ๋อร์ เจ้าตื่นแล้วหรือ? หลอมกลืนพลังโอสถของโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์หมดแล้วสินะ” หลิ่วหมิงเลิกคิ้วพลางส่งกระแสจิตถาม
“เซียเอ๋อร์ทำให้นายท่านผิดหวัง ยังไม่อาจทะลวงเข้าระดับแก่นเสมือนได้” เซียเอ๋อร์ถอนหายใจเบาๆ
“ไม่เป็นไร ระดับแก่นเสมือนเป็นอุปสรรคก้าวใหญ่บนหนทางการฝึกฝน ข้าก็กำลังตามหาโอกาสในการเลื่อนระดับเช่นเดียวกัน ค่อยเป็นค่อยไปก็ได้” หลิ่วหมิงเอ่ยขึ้นนิ่งๆ พร้อมกันนั้นมือก็ตบข้างเอวเบาๆ
ปราณดำก้อนหนึ่งบินออกมา หลังรวมตัวกันก็กลายเป็นหญิงสาวสวมชุดตาข่ายดำผู้หนึ่ง
“เซียเอ๋อร์ เจ้าดูแลเด็กคนนี้ให้ดี” หลิ่วหมิงส่งเด็กชายในมือให้เซียเอ๋อร์
เซียเอ๋อร์ยื่นมือมารับไป นางมองหลิ่วหมิงแล้วเอ่ยขึ้นว่า
“นายท่าน ท่านคิดจะ…”
“ตอนนี้ภูตผีของเขาสันเขียวหนีกระเจิงไปแล้ว ข้าจะไปสังหารพวกมันให้สิ้น ไม่ให้หมู่บ้านมนุษย์ธรรมดาแห่งอื่นใกล้ๆ ประสบเคราะห์ร้ายอีก”
ไม่รอเซียเอ๋อร์พูดจบ ร่างกายของหลิ่วหมิงก็พร่าเลือนกลายเป็นแสงสีดำเส้นหนึ่งแหวกท้องนภาจากไป
คืนหนึ่งผันผ่าน
เมื่อฟ้าสางเงาร่างของหลิ่วหมิงก็ปรากฏตัวใต้ยอดเขาหลักของเขาสันเขียวอีกครั้ง สีหน้าเหนื่อยล้าเล็กน้อย
ไล่ล่าเข่นฆ่ามาหนึ่งคืน ในที่สุดภูตผีส่วนใหญ่ก็ถูกกำจัดไปแล้ว อาจมีตัวสองตัวหลุดลอดแหไปได้ แต่คงทำให้เกิดคลื่นลมอันใดไม่ได้แล้ว
ตัวเขาเองก็มีงานสำคัญของตน ไม่อาจชักช้าเสียเวลาอยู่ที่นี่นานเกินไปได้
หลังการเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงครั้งนี้ เขาสันเขียวในเวลานี้หมอกภูตที่เดิมหนาทึบสลายหายไปมากนัก แต่ยังคงมีไอหมอกไม่น้อยหลงเหลืออยู่ ราวกับว่ามีบางสิ่งชักนำให้มารวมตัวกันอีกครั้ง
หลิ่วหมิงยืนอยู่เหนือศิลายักษ์ก้อนหนึ่ง สองตาหรี่ลงเล็กน้อยแล้วแผ่จิตสัมผัสออกไปอีกครั้ง
เนิ่นนานหลังจากนั้นเขาจึงลืมตาขึ้น บนใบหน้าเผยสีหน้าประหลาดใจจางๆ