ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 869
แม้หลัวโหวจะรับปากว่าถึงเวลาจะลงมือช่วยเหลืออย่างไม่เสียดายว่าต้องเสียพลังปราณจำนวนมาก แต่สุดท้ายเขาก็ยังต้องพึ่งพาตนเองเป็นหลัก การฝากความหวังทั้งหมดไว้กับคนอื่นไม่ใช่วิถีของเขา
หลิ่วหมิงคิดได้เช่นนี้ก็มุ่งไปที่ประตูใหญ่ของถ้ำที่พัก
เขาเพิ่งเหยียบออกจากถ้ำที่พักก็ไม่พูดพร่ำตั้งท่าเคล็ดกระบี่กลายเป็นแสงสีทองเส้นหนึ่งแหวกท้องฟ้ามุ่งไปทางยอดเขาหลักของยอดเขาลั่วโยว
หลายวันก่อนหน้านี้เขาได้ข่าวผ่านแผ่นค่ายกลส่งสารว่าอินจิ่วหลิงกลับมายังยอดเขาลั่วโยวแล้ว บังเอิญว่าเขาเก็บตัวจบพอดีจึงคิดจะไปเข้าพบสักหน่อย แล้วถือโอกาสสอบถามเรื่องการทะลวงระดับแก่นแท้สักหน่อยด้วย
ก่อนหน้านี้ตอนเขาอ่านตำราในหอเก็บคัมภีร์เคยอ่านเกี่ยวกับการผนึกแก่นแท้อย่างละเอียดอยู่บ้าง ในใจย่อมรู้ชัดว่าการผนึกแก่นแท้เรียกได้ว่าเป็นด่านสำคัญที่สุดด่านหนึ่งบนเส้นทางการฝึกฝน แต่ความลี้ลับของเรื่องนี้สอบถามอินจิ่วหลิงผู้เคยผ่านมาแล้วคนนี้อีกครั้งย่อมเป็นการดี
เวลาชั่วจิบชาหนึ่งถ้วยให้หลัง กลางห้องโถงแห่งหนึ่งใกล้ๆ ยอดเขาของยอดเขาหลักแห่งยอดเขาลั่วโยว อินจิ่วหลิงที่นั่งอยู่บนที่นั่งประธานกำลังยกชาจิตวิญญาณซึ่งมีกลิ่นหอมโชยเข้าจมูกถ้วยหนึ่งขึ้นจิบสองสามคำเป็นระยะ
ชายหนุ่มที่แต่งเครื่องแบบสีดำของศิษย์ยอดเขาลั่วโยวเบื้องหน้าเขาย่อมคือหลิ่วหมิง
“ดีมาก! ดูท่าการเดินทางไปตระกูลโอวหยางครั้งนี้ของเจ้าจะราบรื่นทีเดียว วันนี้พลังระดับแก่นเสมือนเหมือนจะแข็งแกร่งดีแล้ว” อินจิ่วหลิงเอ่ยพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ
“ศิษย์เข้าสู่ระดับแก่นเสมือนได้ราบรื่นเช่นนี้ ต้องขอบคุณอาจารย์ที่พยายามช่วยเหลือสุดความสามารถ มิเช่นนั้นไหนเลยศิษย์จะทะลวงคอขวดครั้งนี้ได้ง่ายดายปานนี้” หลิ่วหมิงค้อมกายเอ่ยกับอินจิ่วหลิงด้วยสีหน้าเคารพ
“ชีวิตนี้ของข้ารับศิษย์สายตรงเพียงสองคนคือเสี่ยวอู่กับเจ้า อาจารย์ย่อมหวังว่าพวกเจ้าจะเป็นสีครามที่เกิดจากต้นครามแต่เข้มกว่าต้นคราม ใช่แล้ว หลังจากนี้เจ้าคงขบคิดเรื่องการทะลวงระดับแก่นแท้แล้วกระมัง?” อินจิ่วหลิงโบกมือเอ่ยขึ้นนิ่งๆ
“อาจารย์ช่างปราดเปรื่อง ศิษย์มาเยือนครั้งนี้คิดจะถือโอกาสขอคำชี้แนะจากอาจารย์เกี่ยวกับเรื่องการผนึกแก่นแท้สักเล็กน้อยจริงๆ” หลิ่วหมิงพยักหน้าเอ่ยตอบ
“ไม่เลว เรื่องเกี่ยวกับระดับแก่นแท้สมควรเตรียมการให้เรียบร้อยไว้ล่วงหน้าจริงๆ” อินจิ่วหลิงลูบแขนเสื้อเบาๆ แล้วพยักหน้าเอ่ยชม
“แม้กว่าพลังจะบรรลุระดับแก่นเสมือนจะไม่ง่าย แต่พูดตามจริงแล้วนี่ก็นับเป็นแค่การเตรียมพร้อมก่อนผนึกแก่นแท้เท่านั้น การสลายผลึกผนึกแก่นแท้ขั้นสุดท้าย หากไม่ยืมพลังภายนอกโอกาสสำเร็จน้อยยิ่งกว่าน้อย ขั้นนี้แตกต่างจากการเลื่อนระดับพลังก่อนหน้านี้ ไม่เพียงตัวผู้ฝึกฝนเองต้องมีพรสวรรค์เหนือผู้คน พวกเขายังต้องกระตุ้นศักยภาพในกายตนด้วยการฝึกฝนข้ามผ่านความเป็นความตายมาเป็นจำนวนมากถึงจะมีโอกาสน้อยนิดที่จะผนึกแก่นแท้ได้”
“ทอดสายตามองไปทั้งแผ่นดินจงเทียน ผู้ที่หยุดอยู่ที่ระดับแก่นเสมือนหลายสิบปีจนถึงหลายร้อยปีมีมากมายนับไม่ถ้วน เจ้ารู้ไหมว่าเพราะอะไร?” อินจิ่วหลิงพูดถึงตรงนี้ก็หยุดไปอีกหน
“คิดว่าโอกาสน้อยนิดที่ว่านี้คงได้มายากอย่างที่สุดกระมัง?” หลิ่วหมิงครุ่นคิดครู่เดียวก็เอ่ยปากตอบ
“นี่เป็นเพียงสาเหตุหนึ่งเท่านั้น! ก่อนหน้านี้ที่เสี่ยวอู่ต้องการเข้าไปฝึกฝนในทางปีศาจร้าย จุดประสงค์ก็เพื่อฝึกปรือในสถานการณ์อันตรายที่สุดไม่หยุดหย่อนเพื่อแสวงหาโอกาสที่ว่า ทว่าแม้โอกาสน้อยนิดนี้ได้มาไม่ง่าย แต่นิกายยอดบริสุทธิ์ของเราเป็นหนึ่งในสี่ยอดนิกายใหญ่บนแผ่นดินของเผ่ามนุษย์ ผู้ที่เผยความสามารถโดดเด่นท่ามกลางศิษย์มากมายจนก้าวสู่ระดับแก่นแท้ได้ย่อมไม่ได้มีจำนวนน้อยนิด มีคนไม่น้อยตามหาโอกาสพบ สาเหตุสำคัญที่สุดก็คือแม้ได้โอกาสมาแล้ว แต่กระบวนการผนึกแก่นแท้ทั้งหมดก็อันตรายอย่างยิ่งเช่นกัน ในสิบคนมีเจ็ดแปดคนหมดอนาคตไปในขั้นนี้ เมื่อสลายผลึกผนึกแก่นแท้ครั้งแรกล้มเหลวพลังปราณจะเสียหายอย่างมาก ในเวลาสั้นๆ ระดับพลังจะร่วงหล่นลงไปหลายขั้นทันที แม้การฟื้นระดับพลังหลังจากนั้นจะไม่ใช่เรื่องยากลำบากอันใด แต่ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยห้าหกปีหรืออย่างมากสิบกว่าปีจึงจะผนึกแก่นเสมือนแล้วตามหาโอกาสได้อีกครั้ง ทว่าเนื่องจากสภาพจิตใจเสียหายจากก่อนหน้านี้ ระดับความยากย่อมเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว โอกาสผนึกแก่นแท้สำเร็จมีแต่จะยิ่งริบหรี่ลง”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ มีวิธีใดจะเพิ่มโอกาสผนึกแก่นแท้ได้หรือไม่!” หลิ่วหมิงเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้วเอ่ยถามอย่างกังวลทันที
“หลังพลังมาถึงขั้นนี้ พลังภายนอกที่หยิบยืมมาใช้ทะลวงคอขวดได้นับว่ามีน้อยยิ่งกว่าน้อย แม้จะมีบ้าง แต่ถ้าไม่ใช่โชควาสนาใหญ่หลวงก็ทำไม่ได้ โดยทั่วไปแล้วยิ่งผลึกพลังเวทภายในมาก พลังเวทยิ่งบริสุทธิ์ โอกาสผนึกแก่นแท้สำเร็จก็ยิ่งมาก” อินจิ่วหลิงเอ่ยอย่างไม่ต้องคิด
“ที่แท้เป็นเช่นนี้! อาจารย์หมายความว่าหลังจากนี้ให้ศิษย์หมั่นหลอมกลั่นพลังเวทให้มากสักหน่อยใช่หรือไม่” หลิ่วหมิงเอ่ยพึมพำ
“หากเจ้าอดทนต่อความห่อเหี่ยวได้ การหลอมกลั่นพลังเวทในร่างเพิ่มขึ้นสักหลายรอบย่อมเป็นประโยชน์ต่อยามผนึกแก่นยิ่งนัก ฮ่ะๆ น่าเสียดายแม้ทุกคนล้วนรู้หลักการนี้ แต่จะมีสักกี่คนอดทนให้พลังของตนเองหยุดนิ่งอยู่กับที่หลายสิบปีจนถึงนับร้อยปีเพื่อเอาแต่ขัดเกลาพลังเวทอยู่ที่เดิมได้” อินจิ่วหลิงหัวเราะเอ่ยขึ้นมา
หลิ่วหมิงฟังแล้วก็เผยสีหน้าเหมือนคิดอะไรบางอย่าง
“อีกเรื่องหนึ่งหลังพลังบรรลุถึงระดับแก่นแท้ แม้ทุกคนถูกเรียกว่าผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ แต่ภายในนั้นกลับแบ่งแยกหลายชั้นจากคุณสมบัติดีเลวของแก่นแท้ที่ผนึกขึ้นมา แบ่งออกเป็นระดับล่างสามทวาร ระดับกลางหกทวาร ระดับสูงเก้าทวารและระดับสุดยอดสิบสองทวาร ฉะนั้นการผนึกแก่นแท้ก้าวนี้จึงสำคัญอย่างยิ่ง หากอยากเดินไปบนเส้นทางการฝึกฝนในอนาคตได้ไกลขึ้น ดีที่สุดผนึกแก่นแท้ระดับสูงหรือระดับสุดยอดออกมาให้ได้ อย่างแย่ที่สุดก็ต้องเป็นระดับกลางถึงจะไหว แผ่นดินจงเทียนกว้างใหญ่เพียงไร บนแผ่นดินย่อมไม่ขาดแคลนผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ แต่พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนพึ่งพาพลังภายนอกนานาชนิด หาโอกาสน้อยนิดนั่นไม่พบก็ฝืนผนึกแก่นแท้จนกลายเป็นแก่นแท้ระดับล่างสามทวาร ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้พวกนี้ แค่เผชิญหน้ากับศิษย์อัจฉริยะระดับผลึกของสี่ยอดนิกายใหญ่ของพวกเรา มากกว่าครึ่งก็ทำอะไรไม่ได้ ดังนั้นหากอยากประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่บนหนทางแห่งการฝึกฝนหลังจากนี้เรื่องนี้ต้องจำไว้ให้ขึ้นใจ!”
“ศิษย์จะจดจำคำสอนของอาจารย์ขอรับ!” หลิ่วหมิงเอ่ยตอบอย่างนอบน้อม ขณะที่ในใจขบคิดอย่างรวดเร็ว
แม้เขาครอบครองผลึกพลังเวทหนึ่งร้อยห้าสิบสามเม็ดซึ่งมากกว่าคนทั่วไป พลังเวทก็ได้ฟองอากาศลึกลับน้อยกลั่นจนบริสุทธิ์กว่าผู้ฝึกฝนธรรมดามาก แต่เขาก็ไม่คิดเอาเองว่าตอนนี้บุ่มบ่ามผนึกแก่นแท้ได้แล้วเด็ดขาด
ตามคำบอกของอินจิ่วหลิง หากผนึกแก่นแท้ล้มเหลว การผนึกแก่นแท้ครั้งที่สองจะยากยิ่งกว่ายาก หากยืมปัจจัยภายนอกฝืนผนึกแก่นแท้ก็จะผนึกได้แต่แก่นแท้ระดับล่าง นี่ย่อมไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เขาต้องการ
การฝึกฝนข้ามผ่านความเป็นความตายที่อินจิ่วหลิงเอ่ยถึง แม้ตนผ่านการฝึกฝนในแดนมายามานับครั้งไม่ถ้วน แต่เพราะรู้ว่าเป็นภาพมายาจึงไม่มีประสบการณ์ที่ความเป็นความตายเกี่ยวพันเพียงคาบเส้นอย่างแท้จริงเหล่านั้น
ส่วนหลังตามหาโอกาสมาได้แล้วจะผนึกแก่นแท้ทะลวงระดับอย่างไร ต้องตามหาโชควาสนาอีกจำนวนหนึ่งถึงจะได้ อย่างเลวที่สุดก็ยังมีหลัวโหวรับปากว่าจะช่วยอยู่
ดูท่าหากเขาอยากตามหาโอกาสทะลวงระดับแก่นแท้สักครั้ง คงต้องเอาอย่าง ‘ศิษย์พี่อู่’ ผู้นั้น
“อาจารย์ ศิษย์อยากขอเข้าไปในทางปีศาจร้ายเพื่อฝึกปรือตามหาโอกาสการเลื่อนชั้นบ้าง” หลังใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง หลิ่วหมิงก็เอ่ยปากขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
“ดูจากความสามารถที่เจ้าแสดงให้เห็นในงานประตูสวรรค์รวมถึงพลังในตอนนี้ของเจ้า จะขอเข้าไปในทางปีศาจร้ายย่อมได้ เพียงแต่หลายสิบปีนี้คนของสี่ยอดนิกายใหญ่ที่ยื่นขอเข้าไปในทางปีศาจร้ายมากมายนักจึงทำให้สิทธิ์ที่จะเข้าไปตอนนี้เหลือน้อยยิ่ง แม้อาจารย์จะแนะนำเจ้า ก็ต้องให้เจ้าใช้แต้มคุณูปการของนิกายอีกจำนวนหนึ่งถึงจะเข้าไปได้ อีกอย่างด้านในทางปีศาจร้ายนั่นอันตรายอย่างยิ่ง เสี่ยวอู่เข้าไปครั้งหนึ่งก็หลายสิบปีจนกระทั่งวันนี้ยังไม่กลับมา ดังนั้นดีที่สุดก่อนหน้านั้นเจ้าจงพยายามเตรียมพร้อมให้มาก เลื่อนระดับพลังของตนให้ได้อีกสักหน่อยจะเป็นการดี” อินจิ่วหลิงฟังแล้วก็ไม่ได้เผยสีหน้าประหลาดใจ หลังครุ่นคิดครู่หนึ่งก็พยักหน้ารับปาก
“ขอบคุณอาจารย์ยิ่งนัก” หลิ่วหมิงเอ่ยขอบคุณอย่างดีใจ
“ใช่แล้ว ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ผู้อาวุโสลับหานแห่งนิกายสายในต้องการพบเจ้า ดูเหมือนเขาคิดจะใช้วิชาลับของผู้ฝึกฝนกระบี่วิชาหนึ่งแลกกับทรายธารดาราครึ่งหนึ่งในมือเจ้า สองสามวันนี้ถ้าเจ้ามีเวลาว่างก็จงไปหาสักครั้ง” ทันใดนั้นอินจิ่วหลิงก็เปลี่ยนเรื่องเอ่ยขึ้นเรียบๆ
“ผู้อาวุโสลับหาน ทรายธารดารา! ศิษย์เข้าใจแล้ว” หลิ่วหมิงทีแรกตะลึง แต่ก็ตอบรับเต็มปากเต็มคำทันที
ผู้อาวุโสลับแซ่หานผู้นี้ก็คือผู้อาวุโสชุดเทาที่เมื่อตอนนั้นเดินทางไปงานประตูสวรรค์ด้วยกันกับเทียนเกอเจินเหรินผู้เป็นประมุขนิกาย เขารู้ว่าหลิ่วหมิงได้ทรายธารดารามาจากแดนลึกลับประตูสวรรค์ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนัก
“วางใจเถิด แม้ผู้อาวุโสหานเป็นคนของยอดเขากระบี่สวรรค์ แต่เขาก็มีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างดีกับพวกเรา การแลกเปลี่ยนครั้งนี้เจ้าจะไม่ขาดทุนแน่นอน ถ้ำที่พักของเขาอยู่บนยอดเขาที่ด้านหลังยอดเขากระบี่สวรรค์ เจ้าไปถึงที่นั่นถามดูก็รู้” อินจิ่วหลิงยิ้มเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
จากนั้นอินจิ่วหลิงก็สนทนาเรื่อยเปื่อยกับหลิ่วหมิงอีกหลายประโยคแล้วมอบโอสถเสริมความแข็งแกร่งของระดับพลังให้เขาอีกสองขวด จากนั้นจึงสะบัดแขนเสื้อส่งแขก
หลังเขาเข้าพบอินจิ่วหลิงแล้วก็หมุนตัวออกมาจากที่พำนักของเขา เมฆดำก้อนหนึ่งยกร่างเขาลอยขึ้นแหวกท้องนภามุ่งไปยังยอดเขากระบี่สวรรค์ที่ผู้อาวุโสหานผู้นั้นอยู่
ระหว่างทางหลิ่วหมิงบังเอิญผ่านหอนานัปการจึงเข้าไปสอบถามเรื่องเกี่ยวกับการเข้าไปในทางปีศาจร้าย
ถามแล้วถึงได้รู้ว่าต้องเป็นศิษย์สายในที่จ่ายแต้มคุณูปการของนิกายหนึ่งล้านแต้ม แล้วมีป้ายของผู้ควบคุมยอดเขาแห่งหนึ่งถึงจะเข้าไปได้
เขาคืนแต้มคุณูปการสี่ล้านแต้มที่ติดค้างก่อนหน้านี้ไปแล้ว ปัจจุบันแต้มในมือจึงเหลืออยู่ไม่เท่าไร แต่เขากลับไม่กังวลเท่าไรนัก ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น เพียงแต้มคุณูปการที่แจกให้แก่ศิษย์สายในทุกเดือนหลายสิบปีนี้รวมกันก็มีมากถึงสี่ห้าแสนแต้มแล้ว แล้วเขาก็ยังใช้เวลาจำนวนหนึ่งไปรับภารกิจของป้ายประกาศภารกิจของหอลี้ลับเพิ่มสักหน่อยได้
หนึ่งชั่วยามให้หลัง ลำแสงสีดำสายหนึ่งก็พุ่งรวดเร็วมาถึงยอดเขาขนาดเล็กที่ไม่สะดุดตาแห่งหนึ่งด้านหลังยอดเขากระบี่สวรรค์
เมื่อเข้ามาในบริเวณหนึ่งลี้กว่ารอบยอดเขาแห่งนี้ หลิ่วหมิงก็รู้สึกว่ากลางอากาศมีคลื่นระลอกหนึ่ง จากนั้นพลังปราณเข้มข้นสายหนึ่งก็โถมเข้าใส่ทันที
ภาพเบื้องหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ประตูศิลาสีเทาที่ดูใหญ่โตสูงหลายจั้งบานหนึ่งปรากฏให้เห็นที่ตีนเขา บนประตูศิลาสลักกระบี่ยักษ์สีน้ำเงินยาวสองสามจั้งเล่มหนึ่งไว้ ผิวของกระบี่ยักษ์ทอแสงเรืองๆ มีปราณกระบี่วนเวียนอยู่เลือนราง
หลิ่วหมิงร่อนลงเบื้องหน้าประตูศิลาทันที หลังสำรวจอยู่ครู่หนึ่งก็ก้าวเข้าไปใช้มือลูบกระบี่ยักษ์บนประตูศิลาเบาๆ
ครู่หนึ่งหลังจากนั้นก็รู้สึกว่าปราณกระบี่สีน้ำเงินจางๆ สายแล้วสายเล่าพุ่งผ่านปลายนิ้วของเขาอย่างอ่อนโยนประหนึ่งมีจิตวิญญาณ มหัศจรรย์ยิ่งนัก
ขณะที่กำลังคิดจะก้าวเข้าไปเคาะประตู กระบี่ยักษ์สีน้ำเงินบนประตูศิลาฉับพลันก็ส่องแสง ประตูศิลาส่งเสียงดังทีหนึ่งแล้วค่อยๆ เปิดออก เสียงบุรุษทุ้มต่ำติดแหบพร่าเล็กน้อยดังออกมาจากด้านใน
“ศิษย์หลานหลิ่วรึ เข้ามาเถิด”
“ขอรับ”
หลิ่วหมิงได้ยินก็ตอบรับอย่างนอบน้อมทันที จากนั้นจึงเดินเข้าไป
หลังเข้ามาในประตูศิลา เดินผ่านทางเดินศิลาสีเทายาวสิบกว่าจั้งที่ดูธรรมดาอย่างยิ่งเส้นหนึ่งก็พบเพียงโถงถ้ำขนาดสิบกว่าจั้งแห่งหนึ่ง
ที่พำนักของผู้อาวุโสลับระดับดาราพยากรณ์ผู้นี้เรียบง่ายกว่าที่พำนักของอินจิ่วหลิงมากนัก