ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 875
ก่อนหน้านี้หลิ่วหมิงเคยลอบปล่อยจิตสัมผัสออกไปกวาดผ่านป้ายศิลาไม่กี่แผ่นบนนั้นอย่างผ่านๆ พวกมันล้วนมีความเป็นมาไม่ธรรมดา แผ่นหนึ่งในนั้นคือป้ายศิลาที่ทอแสงสีม่วง ตรงนั้นเป็นถึงสถานที่หลับใหลของซากกระบี่ของผู้ฝึกฝนกระบี่ระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ผู้หนึ่งที่เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งนิกายยอดบริสุทธิ์
หลายวันนี้หลิ่วหมิงอารมณ์ไม่สงบอยู่บ้าง!
กระบี่ว่างเปล่าในวันนี้ต่อสู้กับกระบี่มานับไม่ถ้วนแล้ว แม้จะฝึกปรือเช่นนี้จนพลังก้าวหน้าขึ้นทุกวัน แต่ก็ยังอยู่ห่างจากลูกกลอนกระบี่ในตำนานอยู่มาก
หากจะต่อสู้กับกระบี่บินทั้งหมดของเขากระบี่หักทีละเล่มๆ จนครบรอบจริงๆ เกรงว่าอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหลายปี อย่างมากก็อาจต้องใช้สิบกว่าปีหรือยี่สิบปี
กระบี่บินที่เหลือเหล่านี้จะเล่มไหนก็ล้วนพลังท่วมฟ้า หากไม่ระวังเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้กระบี่ว่างเปล่าถูกกระบี่บินเหล่านี้ทำร้ายเสียหายหนักเข้าจริงๆ จนพลังจิตวิญญาณไม่อาจฟื้นคืนได้ เช่นนั้นย่อมกลายเป็นเรือล่มปากอ่าว
ขณะที่หลิ่วหมิงครุ่นคิดสารพัดสิ่งอยู่ในใจนั่นเอง กระบี่ว่างเปล่ากลางท้องฟ้าก็กลายเป็นรุ้งสีทอง พร้อมกับมีเสียงเม็ดทรายละเอียดกระทบกันดัง “ซ่าๆ” ทรายละเอียดสีเงินส่งเสียงดังออกมาจากบนนั้นแล้ววนรอบรุ้งกระบี่สีดำไว้ด้านในประหนึ่งอสรพิษสีเงินตัวยาว
รุ้งยาวสีดำถูกม่านทรายสีเงินหุ้มก็สั่นไหวไม่หยุดแล้วส่งเสียงครวญครางทุ้มต่ำออกมา แสงสีดำหม่นแสงลงไปเล็กน้อยอีกครั้ง
“ไป!”
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ดวงตาพลันเปล่งประกาย มือข้างหนึ่งจิ้มเบาๆ กระบี่ว่างเปล่าก็เพิ่มความเร็ว มันส่งเสียงดัง “ฟึบ” ทิ้งไว้เพียงรอยลากแวววาวเส้นหนึ่งพาดผ่านท้องนภาครึ่งหนึ่ง
“ปัง” เสียงดังสนั่นประหนึ่งจะฉีกท้องนภาสะบั้นพสุธา!
กระบี่บินสีดำพุ่งออกมาจากม่านทรายสีเงิน มันส่งเสียงครวญครางครั้งหนึ่งแล้วพุ่งเร็วรี่ลงเบื้องล่าง เสียบลงในร่องที่มันพุ่งออกมาก่อนหน้านี้เหมือนเดิม ปราณสีดำบนตัวกระบี่ม้วนขึ้นหุ้มกระบี่เล่มนี้ไว้อีกครั้งเกิดเป็นรูปจันทร์เสี้ยวสีดำขมุกขมัว
หลิ่วหมิงเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา แม้กระบี่เล่มนี้ถูกกระบี่ว่างเปล่าโจมตีเต็มแรงครั้งหนึ่งแต่มันไม่ได้รับความเสียหายสักนิด เหมือนกับว่ามันเริ่มบำรุงตนเองเพราะปราณกระบี่ไม่เพียงพอเท่านั้น ลี้ลับอย่างแท้จริง
เขายังไม่ทันได้ครุ่นคิด กระบี่ว่างเปล่าเหนือศีรษะก็พลันส่งเสียงครวญครางออกมาครั้งหนึ่งแล้วเปล่งแสงสีทองเจิดจ้า ทรายธารดาราที่กลายเป็นอสรพิษสีเงินม้วนตัวกลับมาเองจากนั้นปล่อยแสงสีทองวงแล้ววงเล่าออกมา
ชั่วครู่ให้หลังกระบี่บินทั้งเล่มก็กลายเป็นก้อนแสงสีทองใหญ่หนึ่งจั้งกว่าลูกหนึ่ง ลอยอยู่กลางท้องฟ้าสูงประหนึ่งดวงตะวันเจิดจ้าดวงหนึ่งแล้วหมุนวนเชื่องช้าไม่หยุด
“หรือว่า…”
หลิ่วหมิงหลับตาสองข้างลง นึกย้อนเกี่ยวกับปรากฏการณ์ประหลาดยามหลอมลูกกลอนกระบี่ที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ ทันใดนั้นในใจก็ยินดีอย่างที่สุด
เขาคิดก็ไม่คิดอ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์คำหนึ่งไปทางก้อนแสงสีทองในทันที ต่อจากนั้นสิบนิ้วก็ขยับเร็วไวอย่างยิ่ง ยิงเคล็ดวิชาสายแล้วสายเล่าไปทางท้องฟ้า
โอสถประลองกระบี่เม็ดนั้นที่ลอยนิ่งอยู่ใกล้ๆ พร่าเลือนวูบหนึ่งแล้วจมลงไปในก้อนแสงสีทองหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันใด
ครู่ต่อมาท้องนภาทั้งผืนก็ปั่นป่วน สายลมคลั่งพัดโหม ท้องนภาเหนือศีรษะเห็นชัดว่ากลายเป็นสีดำสนิทไปหมด ซากกระบี่นับพันนับหมื่นตั้งแต่ด้านบนจรดด้านล่างเขากระบี่หักส่งเสียงครวญครางแผ่วเบาออกมาอย่างพร้อมเพรียง
หลังจากนั้นเสียงแหวกอากาศดัง “ฟึบ” ก็ดังสนั่นตามมาติดๆ!
ปราณกระบี่หลากสีสันทยอยพุ่งออกจากซากกระบี่และซากดาบบนเขา พุ่งตัดสลับกันบนท้องนภาจนแทบจะล้อมเขากระบี่หักทั้งลูกไว้ พวกมันแทรกเข้าไปในดวงตะวันเจิดจ้าสีทองที่เกิดมาจากกระบี่ว่างเปล่าไม่หยุดทำให้มันขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากนั้นเป็นเวลาหนึ่งก้านธูปเต็ม ดวงตะวันเจิดจ้าสีทองก็ขยายจนใหญ่สิบจั้ง จิตกระบี่น่าตะลึงสายแล้วสายเล่าเริ่มแผ่ออกมาจากด้านใน
บนหน้าหลิ่วหมิงเต็มไปด้วยสีหน้ายินดีอย่างยิ่งยวด
เห็นชัดว่าวันนี้กระบี่ว่างเปล่าเข้าสู่กระบวนการผนึกลูกกลอนแล้ว มันเข้าสู่ขั้นตอนการกลายเป็นลูกกลอนกระบี่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ดวงตะวันสีทองกลางท้องฟ้าดูดซับปราณกระบี่มากกว่าเดิมเข้าไปด้านในตามที่เคล็ดวิชาของหลิ่วหมิงกระตุ้น หลังทุกสิ่งดำเนินไปเป็นเวลาหนึ่งเค่อเต็มๆ เมื่อปราณกระบี่ที่พุ่งออกมาจากเขากระบี่เหลือน้อยนิดไม่เท่าไรในที่สุดเสียงดังสนั่นก็ดังขึ้น!
หมอกเมฆห้าสีก้อนแล้วก้อนเล่าลอยออกมาใกล้ดวงตะวันเจิดจ้าสีทอง หลังจากถาโถมก่อตัวขึ้นอย่างเร็วไวก็กลายเป็นกลุ่มก้อนเมฆใหญ่ขนาดหลายหมู่ก้อนหนึ่งบดบังดวงตะวันสีทองไว้จนหมด ด้านในมองเห็นยันต์แวววาวตัวแล้วตัวเล่ากะพริบวูบวาบไม่หยุดอยู่เลือนราง ในเวลาเดียวกันนั้นบนกำแพงปราณรอบมิติก็มียันต์สีขาวน้ำนมตัวแล้วตัวเล่าลอยออกมาเช่นกัน
สูงขึ้นไปบนท้องฟ้าเสียงหวีดหวิวดังลั่น ด้านในก้อนเมฆสีทองสาดปราณกระบี่สีทองมากมายออกมา สิ่งที่สายตามองเห็นคือรอยแผลยาวสีทองประหนึ่งจะตัดท้องนภาทั้งผืนให้เป็นชิ้นๆ
ในเวลาเดียวกัน ไม่ไกลจากยอดเขากระบี่สวรรค์ซึ่งปกคลุมด้วยหมอกหนาขาวโพลนทั้งปี กลางอากาศที่ดูเหมือนไม่มีใครอยู่ฉับพลันก็แหวกออกเป็นรอยแยกสีดำยาวหนึ่งจั้งกว่าเส้นหนึ่ง พร้อมกันนั้นปราณกระบี่สีทองมากมายก็พุ่งออกมาจากด้านใน พวกมันฉายแสงแถบใหญ่ไปยังอากาศเบื้องหน้าแล้วหายวับไป!
“เรียนผู้ควบคุมยอดเขา มิติที่เขากระบี่หักอยู่มีเค้าลางของความไม่มั่นคง คล้ายกับมีปราณกระบี่มากมายจะรั่วออกมาด้านนอก ศิษย์ไม่ทราบว่าด้านในสถานการณ์เป็นอย่างไร”
ในห้องโถงด้านข้างบนยอดเขากระบี่สวรรค์ ศิษย์ชุดน้ำเงินหน้าตาธรรมดาคนหนึ่งเดินก้าวไวๆ เข้ามาจากด้านนอกแล้วประสานมือเอ่ยรายงานกับคนในห้องโถงทันที
“ข้าทราบแล้ว เจ้าออกไปก่อนเถิด อาจารย์จะไปดูกับผู้อาวุโสคนอื่นให้รู้ชัดด้วยตนเอง” ชายหนุ่มผู้สวมกวานหยกคนนั้นโบกมือแล้วเอ่ยตอบนิ่งๆ
“ศิษย์ขอตัว!” หลังจากศิษย์ของยอดเขากระบี่สวรรค์คนนี้ค้อมกายประสานมืออีกครั้งก็หมุนตัวเดินออกไปจากห้องโถงด้านข้าง
“หากข้าจำไม่ผิด หลายปีนี้ยอดเขาเราไม่มีศิษย์เข้าสู่ระดับแก่นแท้ มีเพียงหลิ่วหมิงแห่งยอดเขาลั่วโยวคนนั้นที่เข้าไปในเขากระบี่หักลูกนี้เมื่อสี่ปีกว่าก่อนหน้า หรือว่า…เด็กคนนี้จะหลอมลูกกลอนกระบี่สำเร็จจริงๆ แล้วยังทำลายค่ายกลชั้นจำกัดที่อาจารย์วางไว้เมื่อครั้งนั้นได้อีกด้วย? น่าจะไม่ใช่กระมัง ไม่แน่บางทีเด็กคนนี้อาจไม่ระวังจนปลุกกระบี่บินระดับสุดยอดบางเล่มขึ้นมา…ดูท่าคงจะต้องไปเยือนด้วยตนเองสักครั้งจริงๆ แล้ว”
ชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินเอ่ยพึมพำเสียงเบากับตนเองหลายประโยคจากนั้นแสงสีน้ำเงินก็สว่างขึ้นรอบร่างกลายเป็นรุ้งสีน้ำเงินสายหนึ่งพุ่งเร็วรี่ออกไปนอกโถงด้านข้าง
ตอนนี้บริเวณท้องฟ้าที่ดูเหมือนไม่มีคนแถบนั้นของยอดเขากระบี่สวรรค์มีศิษย์ยอดเขากระบี่สวรรค์นับร้อยคนได้ข่าวจึงทยอยมารวมตัวกัน
“ศิษย์พี่หลง ท่านรู้หรือไม่ว่าที่นี่เกิดอะไรขึ้น?” ชายหนุ่มใบหน้าตอบยาวผู้สวมชุดผ้าไหมสีขาวคนหนึ่งกำลงทำหน้างุนงงเอ่ยถามสตรีหน้าตางดงามผู้สวมกระโปรงยาวสีม่วงอ่อนคนหนึ่งข้างกาย
หากหลิ่วหมิงอยู่ที่นี่จะต้องจำคนผู้นี้ได้ในแวบแรกแน่นอน เขาก็คือซาทงเทียนนั่นเอง ส่วนสตรีกระโปรงม่วงผู้นี้ก็คือหลงเหยียนเฟย
“บริเวณนี้น่าจะเป็นตราผนึกของเขากระบี่หัก หรือก็คือสถานที่ซึ่งสุสานกระบี่ของยอดเขาเราตั้งอยู่ เพราะปราณกระบี่ที่รวมอยู่ในภูเขาเข้มข้นเกินไป เพื่อไม่ให้กระบี่หักต่อสู้กันไม่หยุดจนทำให้ปราณกระบี่รั่วไหลออกมาทำร้ายผู้คน ผู้อาวุโสหลายคนของนิกายสายในจึงเคยวางค่ายกลชั้นจำกัดปิดกั้นไว้ที่นี่ ท้องฟ้าตรงนี้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดเช่นนี้จะต้องเกิดเรื่องใหญ่อะไรในเขากระบี่หักเป็นแน่” ดวงเนตรทั้งสองของหลงเหยียนเฟยเปล่งประกายเจิดจ้าแล้วเอ่ยตอบขึ้นช้าๆ
“ทำไมข้าไม่เห็นรู้ว่าในยอดเขามีของเช่นนี้อยู่ด้วย?” ซาทงเทียนเอ่ยถาม เขาตะลึงเล็กน้อยจากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าหวั่นไหว
บนยอดเขาตั้งตระหง่านลูกหนึ่งด้านหลังศิษย์ยอดเขากระบี่สวรรค์กลุ่มนี้ จินเทียนชื่อผู้สวมชุดสีทองกับผู้อาวุโสหานที่สวมชุดสีเทาผู้นั้นหยุดยืนอยู่ พวกเขากำลังสนทนาอะไรกันเสียงเบา
“ข้าจำได้ว่าตอนนั้นที่เจ้าใช้แก่นของอุกกาบาตหลอมกระบี่บินพลังจิตวิญญาณใหม่อีกครั้ง ตอนที่ผนึกลูกกลอนกระบี่ ปรากฏการณ์ประหลาดแห่งฟ้าดินที่เกิดขึ้นก็ระดับประมาณนี้กระมัง คิดไม่ถึงว่าหลิ่วหมิงเด็กคนนี้จะมีโชคเช่นนี้ คนรุ่นหลังช่างน่ากลัวจริงๆ” บุรุษชุดเทาสายตาทอประกาย เอ่ยขึ้นนิ่งๆ
“หึๆ ข้าก็ผิดคาดมากเช่นกัน แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ เด็กคนนี้ถึงควรค่าให้พวกเราคาดหวังใช่ไหมเล่า!” จินเทียนชื่อหัวเราะเบาๆ แล้วหมุนตัวกลับอย่างพึงพอใจ กลายเป็นแสงสีทองสายหนึ่งหายวับไปจากที่เดิม
หลิ่วหมิงที่ยังคงอยู่ในเขากระบี่หักย่อมไม่รู้ว่าปรากฏการณ์ประหลาดแห่งฟ้าดินที่เกิดจากการหลอมลูกกลอนกระบี่ของตนฉีกมิติผนึกของเขากระบี่หักจนขาด
เขาในเวลานี้พ่นโลหิตบริสุทธิ์คำแล้วคำเล่าออกมากลางท้องฟ้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เมื่อนิ้วมือจิ้มรัวโลหิตก็ทยอยกลายเป็นยันต์สีโลหิตตัวแล้วตัวเล่าแทรกเข้าไปในกลุ่มเมฆห้าสี
ยันต์จิตวิญญาณสีขาวน้ำนมบนกำแพงปราณรอบมิติก็ส่องแสงวูบวาบตอบรับ ราวกับว่ามิติทั้งหมดกำลังตะโกนแสดงความยินดีกับมัน!
เสียงดังสนั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดินดังขึ้นอีกครั้ง กลุ่มเมฆระเบิดออกหมดสิ้น ลูกบอลแสงสีทองขนาดเพียงกำปั้นลูกหนึ่งลอยออกมาจากกลางท้องฟ้าแล้วหมุนเชื่องช้า มันแผ่แสงสีทองอ่อนประหนึ่งเส้นไหมเรียวเล็กเส้นแล้วเส้นเล่าออกมา
หมื่นกระบี่บนเขากระบี่หักส่งเสียงเอะอะอยู่พักหนึ่งก็ค่อยๆ สงบลง ทั้งมิติฟื้นคืนกลับสู่ความสงบอีกครั้ง
เวลาชั่วจิบชาหนึ่งถ้วยให้หลัง แสงสีทองที่ฉายอยู่บนท้องฟ้าก็ค่อยๆ อ่อนแสงลงพร้อมกัน เผยหน้าตาที่แท้จริงของลูกบอลแสงออกมา มันคือมุกกลมสีทองขนาดเท่าหัวแม่มือลูกหนึ่ง
หลิ่วหมิงสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วยกแขนข้างหนึ่งขึ้นกวักกลางอากาศอย่างแผ่วเบาทันที มุกกลมสีทองอ่อนคล้ายสัมผัสได้จึงหมุนติ้วกลางอากาศรอบหนึ่งแล้วร่วงลงในมือเขาช้าๆ
หลิ่วหมิงหรี่สองตาลง สำรวจจากบนจรดล่างอย่างละเอียดไม่หยุด
เขาเห็นเพียงยันต์เล็กจิ๋วมากมายบนผิวของมันเคลื่อนวนไม่หยุดอยู่เลือนราง นอกจากนี้มุกกลมสีทองทั้งลูกก็ประหนึ่งมีชีวิต มันสั่นไหวเบาๆ พร้อมกับที่ยันต์เหล่านี้ไหลเคลื่อน
การสั่นไหวนี้แผ่วเบาอย่างที่สุด หากไม่ได้ถืออยู่ในมือตนเองก็คงสัมผัสไม่ได้สักนิด
เขาตรวจดูซ้ำไปซ้ำมาอีกพักหนึ่ง เมื่อแน่ใจแล้วว่าคล้ายคลึงกับที่บันทึกไว้ในคัมภีร์เป็นส่วนใหญ่ ในที่สุดถึงถอนหายใจโล่งอก ทันใดนั้นเขาก็อ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์คำหนึ่งลงบนสิ่งที่อยู่ในมือ
มุกกลมสีทองพร่าเลือนวูบหนึ่งก็กลายเป็นกระบี่น้อยขนาดจิ๋วยาวสองชุ่นในทันที ผิวของมันใสแวววาวทอแสงสีทองเรืองๆ เหมือนกึ่งโปร่งใส
หลิ่วหมิงตรวจสอบกระบี่น้อยในมือซ้ำไปซ้ำมาอยู่พักหนึ่งถึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้นนิ้วมือก็จิ้มทีหนึ่ง ให้กระบี่เล่มน้อยพร่าเลือนกลายเป็นสภาพมุกกลมใหม่อีกครั้ง จากนั้นเก็บมันเข้าไปในฝักกระบี่ว่างเปล่าอย่างระมัดระวังแล้วหยิบยันต์สีเงินอ่อนที่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษแผ่นหนึ่งออกมาแปะไว้บนฝักกระบี่
“ผนึก!”
เขาตะโกนออกมาคำหนึ่ง
ยันต์สีเงินอ่อนฉับพลันกลายเป็นแสงสีเงินอ่อนโยนประหนึ่งหิมะแรกละลายในวสันต์ฤดูหุ้มฝักกระบี่ทั้งหมดไว้ หลังจากวาดลวดลายจิตวิญญาณดุจเส้นไหมบนฝักกระบี่และส่องแสงวูบหนึ่งแล้วก็ปิดผนึกปากฝักกระบี่ไว้แน่นหนา
หากไม่เกิดสถานการณ์ที่ถูกบีบจนไร้ทางเลือก หลายสิบปีนับจากนี้ไม่อาจปล่อยให้ลูกกลอนกระบี่ที่หลอมขึ้นมาออกจากฝักกระบี่ได้ง่ายๆ มิเช่นนั้นจะต้องผนึกไว้ในฝักกระบี่ใหม่ นับเวลาบำรุงหล่อเลี้ยงใหม่อีกครั้งหนึ่ง