ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 909 โต้กลับสังหารมนุษย์ปีศาจ
ตอนที่ 909 โต้กลับสังหารมนุษย์ปีศาจ
บึ๊ม!
‘หลิ่วหมิง’ ที่ไล่ตามมาถูกฝ่ามือมารสีดำโจมตีครั้งเดียวก็สลายไป
มนุษย์ปีศาจตกตะลึงจากนั้นหมุนตัวในทันใด ร่างของหลิ่วหมิงปรากฏตัวห่างไปสองสามจั้งด้านหลัง สองแขนประสานกันพุ่งเข้ามาหาเขา
เสียงฟู่ดังขึ้น
มนุษย์ปีศาจอ้าปากพ่นเพลิงมารสีเขียวลูกหนึ่งออกมา ชั่วพริบตากลายเป็นทะเลเพลิงกลืนร่างของหลิ่วหมิงเข้าไป
แต่กลางเพลิงเขียวที่ลุกโหมมีเพียงหมอกสีดำก้อนหนึ่งสลายไปเท่านั้น คนนี้ก็ยังคงเป็นเงาร่างหนึ่งที่เสกขึ้นมา
“เจ้าเด็กรุ่นหลังถึงกับกล้าหลอกข้ารึ!” มนุษย์ปีศาจอัปลักษณ์เห็นเช่นนี้พลันโกรธจัด
ในเวลานี้เอง เงาดำอีกร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวห่างไปครึ่งจั้งหลังร่างมนุษย์ปีศาจดั่งภูตพราย
หลิ่วหมิงตัวจริงนั่นเอง
มนุษย์ปีศาจอัปลักษณ์ไม่พูดพร่ำ ร่างกายหมุนเร็วรี่รอบหนึ่ง แขนข้างหนึ่งกวาดขวางไปด้านหลังประหนึ่งเคียว
หลิ่วหมิงก็ไม่พูดพร่ำสองแขนสั่นไหววูบหนึ่งต่อยสองหมัดออกมาดังฟึบๆ
หมัดแรกโจมตีปัดป้องแขนของมนุษย์ปีศาจที่กวาดเข้ามา อีกหมัดหนึ่งแขนฉับพลันขยายใหญ่ ห้านิ้วเสียบเข้าไปในอกมนุษย์ปีศาจประหนึ่งตะขอเหล็กแล้วชักกลับดุจสายฟ้าแลบ
ครู่ต่อมาหลิ่วหมิงก็รู้สึกว่ากลางฝ่ามืออุ่นร้อน ก้อนเนื้อชุ่มเลือดสีดำสนิทขนาดเท่ากำปั้นข้างหนึ่งถูกเขาควักออกมา แต่นั่นกลับไม่ใช่หัวใจที่แท้จริงของมนุษย์ปีศาจ ทำให้เขาอดไม่ได้ตะลึงเล็กน้อย
ในเวลานี้เอง มนุษย์ปีศาจอัปลักษณ์ผู้ไม่สนใจความเจ็บปวดสาหัสบนร่างพลันกู่ร้องโหยหวน แขนอีกข้างหนึ่งเลือนหายกลายเป็นเงาแส้เส้นแล้วเส้นเล่าหวดเข้าใส่หลิ่วหมิงอย่างรุนแรงราวกับไร้กระดูก
เงาแส้ยังไม่ทันหวดเข้ามาใกล้จริงๆ หูของหลิ่วหมิงก็ได้ยินเสียงกรีดร้องเจ็บปวด
รูม่านตาของหลิ่วหมิงหดเล็กลง ร่างกายพุ่งพรวดถอยออกไปดั่งลูกธนู
เวลานี้มนุษย์ปีศาจอัปลักษณ์เพิ่งหวุดหวิดตั้งร่างมั่นคงได้ บนใบหน้าเผยสีหน้าทุกข์ทรมานเล็กน้อยแล้วก้มศีรษะมองตรงหน้าอกฝั่งขวา
ตรงนั้นมีรูเลือดขนาดเท่าชามข้าวรูหนึ่งอยู่ ไอปีศาจสีดำสายแล้วสายเล่าถมลงไปอย่างต่อเนื่องไม่หยุด
“ดูท่า ข้าจะดูถูกเจ้าแล้ว!”
มนุษย์ปีศาจอัปลักษณ์แค่นเสียงหยันคำหนึ่ง จากนั้นแหงนหน้าคำรามเป็นเสียงประหลาด ไอปีศาจรุนแรงสายหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้า
ท้องฟ้าที่เดิมทีสีเหลืองขมุกขมัวฉับพลันมีพายุคลั่งลูกหนึ่งเข้าจู่โจม ผืนฟ้าบริเวณหลายลี้กลายเป็นสีเทาดำในพริบตา
ในรูเลือดบนหน้าอกของมนุษย์ปีศาจอัปลักษณ์ ปราณดำนับไม่ถ้วนถักทองอกเป็นติ่งเนื้อสีแดงดำเส้นเล็กมากมายเกี่ยวกระหวัดกัน ผ่านไปไม่กี่ลมหายใจก็ประสานสนิทดังเดิมอย่างสมบูรณ์ ผิวหนังนุ่มเรียบลื่นราวกับไม่เคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน
แม้เป็นเช่นนี้ หลิ่วหมิงก็ยังสัมผัสได้อย่างรวดเร็วว่าปราณของมนุษย์ปีศาจคนนี้ตรงหน้าอ่อนแอลงกว่าเดิมอยู่บ้างแล้ว
ทันใดนั้นมนุษย์ปีศาจอัปลักษณ์ก็ท่องมนตร์แล้วโจมตีหนึ่งหมัดเข้าใส่หลิ่วหมิงอย่างรุนแรง
เสียง “เปรี้ยง” ดังขึ้นครั้งหนึ่ง
ปราณดำก้อนหนึ่งซัดออกมาจากในกำปั้น จากนั้นหมุนเร็วรี่ก่อตัวเป็นเงาสัตว์ประหลาดที่มีลักษณะของสัตว์หลายชนิดผสมกันและมีเพลิงมารสีดำหุ้มอยู่ตัวหนึ่งโถมตรงเข้ามาหาหลิ่วหมิง ร่างของมันสูงสองถึงสามจั้ง หัวเป็นงู ตัวเป็นวัว บนหัวมีเขาแหลมสีดำคู่หนึ่งและมีท่อนขาหนาล่ำหกข้าง
จุดที่เงาสัตว์ประหลาดพุ่งผ่าน อากาศบริเวณใกล้เคียงล้วนถูกเพลิงมารบนร่างมันแผดเผาจนบิดเบี้ยวพร่าเลือน คลื่นเปลวเพลิงร้อนระอุสีดำวงแล้ววงเล่าซัดออกมาอยู่เลือนราง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ไม่พูดพร่ำมือข้างหนึ่งตบบนหัวไหล่ แสงสีน้ำเงินสายหนึ่งส่องสว่าง ปล่อยภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนออกมาอีกครั้ง
เงาวัวสีน้ำเงินขนาดมหึมาแหงนหน้ากู่ร้อง
สายลมแรงสีน้ำเงินสายแล้วสายเล่าซัดออกมาจากในปากของมันแล้วถาโถมเข้าใส่สัตว์มารประหลาดที่พุ่งมืดฟ้ามัวดินเข้ามา
เสียงฟู่ดังสนั่น!
จุดที่สายลมแรงสีน้ำเงินพัดผ่าน เพลิงมารสีดำสายแล้วสายเล่าบนร่างสัตว์มารถูกหอบเข้าไปในปากของเชอฮ่วนอย่างรวดเร็ว กระทั่งมนุษย์ปีศาจอัปลักษณ์ที่อยู่ด้านหลังไม่ไกลก็ถูกผลกระทบของสายลมสีน้ำเงินไปด้วย ไอปีศาจรอบร่างถูกดูดไปไม่น้อย
มนุษย์ปีศาจอัปลักษณ์ตกตะลึงยิ่งนัก เขาถอยหลังไม่หยุดจนหลบพ้นสายลมสีน้ำเงินหลายสายที่พัดตามมาได้อย่างหวุดหวิด
ส่วนเงาสัตว์ประหลาดหลังจากถูกสูบไอปีศาจส่วนใหญ่ไป ร่างกายก็หดเล็กลงอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวร่างกายก็เหลือเพียงหนึ่งจั้งกว่า
ในเวลาเดียวกันเงาวัวสีน้ำเงินกลับท่าทางเหมือนกินอิ่ม ร่างกายขยายขนาดขึ้นเกือบเท่าหนึ่ง พร้อมกันนั้นแสงแวววาวในดวงตาก็ลุกโชน อ้าปากใหญ่โตพุ่งเข้าใส่สัตว์ประหลาดตัวนั้นกลืนมันลงท้องไปในไม่กี่คำ
“ไม่มีทาง นี่มัน…”
หลังจากมนุษย์ปีศาจอัปลักษณ์ประจักษ์กับภาพนี้ก็ตื่นตะลึงอย่างยิ่ง เขากวาดสายตามองเงาวัวสีน้ำเงินอย่างละเอียดอีกหน ทันใดนั้นก็หน้าถอดสียกมือขึ้นแหวกอากาศเป็นรอยแยกเส้นหนึ่ง ไม่พูดพร่ำมุดเข้าไปทันที
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้คิ้วก็ขมวดเล็กน้อย ร่างกายขยับวูบเดียวพุ่งเร็วรี่ไปฝั่งตรงข้าม
หนึ่งลมหายใจผ่านไป รอยแยกสีดำเส้นหนึ่งก็พลันปรากฏขึ้นกลางอากาศห่างไปร้อยกว่าจั้ง มนุษย์ปีศาจอัปลักษณ์พุ่งออกมาจากด้านใน พร้อมกันนั้นก็ยกมือเตรียมแหวกรอยแยกมิติอีกครั้ง
ขณะที่เขากำลังจะพุ่งเข้าไปอีกหนนั่นเองก็เกิดคลื่นสั่นไหวเบื้องหน้ารอยแยก หลิ่วหมิงปรากฏกายออกมาในทันใด พร้อมกันนั้นหัวไหล่ก็สะบัด เงาวัวสีน้ำเงินตัวหนึ่งพุ่งตามออกมา มันอ้าปากพ่นแสงเรืองรองสีน้ำเงินสายหนึ่งล้อมมนุษย์ปีศาจอัปลักษณ์ไว้
“เจ้าบังอาจ!” เพลิงมารที่ปกป้องอยู่รอบร่างมนุษย์ปีศาจอัปลักษณ์ถูกพัดครั้งเดียวก็กระจัดกระจายจนเผยร่างที่แท้จริงด้านในออกมา เขาดิ้นรนแต่ไม่อาจหลุดพ้นจากการควบคุมของแสงเรืองรองสีน้ำเงินได้
ในเวลานี้เองมือข้างหนึ่งของหลิ่วหมิงก็คว้าไปที่หัวไหล่ของเขาเร็วประหนึ่งสายฟ้าแลบ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งคว้าเข้าที่ศีรษะของเขา
เขาตวาดดังลั่น สองแขนส่งเสียงเปรี๊ยะออกมาแล้วขยายใหญ่จนหนาเท่าถังน้ำ ห้านิ้วออกแรงบีบทันที
เสียง “แครก” ดังลั่น!
หัวไหล่กับศีรษะของมนุษย์ปีศาจถูกหลิ่วหมิงบีบจนแหลกพร้อมกันอย่างไม่อาจต้านทานได้สักนิด!
ชั่วขณะหนึ่งกลิ่นคาวแสบจมูกตลบอบอวลพร้อมกับที่บางสิ่งสีแดงกับสีขาวกระจัดกระจายไปรอบด้าน และในเวลาเดียวกันไอปีศาจสีดำสายแล้วสายเล่าก็ทะลักไม่หยุดออกมาจากลำคอกระจายหายไปทั่วทุกสารทิศ
ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงพลิกมือเรียกโอสถฟื้นพลังเวทเม็ดหนึ่งออกมากินลงไป จากนั้นแผ่จิตสัมผัสกวาดไปยังศพไร้หัว
เพียงชั่วครู่ให้หลัง บนใบหน้าของเขาก็เผยสีหน้าผิดหวังออกมา
ไม่รู้เพราะเหตุใดบนร่างของมนุษย์ปีศาจผู้นี้จึงไม่มีกระทั่งยันต์เก็บของสักใบ มีเพียงศิลาแวววาวสีดำที่มีไอปีศาจวนเวียนอยู่เล็กน้อยสิบกว่าก้อนตรงเอวเท่านั้น
“หรือว่ามนุษย์ปีศาจเหล่านี้จะไม่ใช่อาวุธจิตวิญญาณในการต่อสู้?”
หลิ่วหมิงพึมพำอย่างสงสัยกับตนเอง มือข้างหนึ่งเอื้อมไปคว้าศิลาแวววาวสีดำสิบกว่าก้อนนั่นมาไว้ในมือ จากนั้นเก็บเข้ากล่องไม้ใบหนึ่งแล้วแปะยันต์ผนึกแผ่นหนึ่งไว้ ก่อนจะยัดลงไปในแหวนย่อส่วน
เวลานี้เองถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณข้างเอวของหลิ่วหมิงก็มีเสียงเด็กน้อยใสกระจ่างดังออกมา
“นายท่าน ศพของมนุษย์ปีศาจผู้นี้ยกให้ข้าได้หรือไม่?”
หลิ่วหมิงได้ฟังก็นิ่งไปชั่วครู่ จากนั้นก็ตบข้างเอวทันที ปราณสีเขียวสายหนึ่งม้วนตัวออกมา เด็กน้อยชุดเขียวผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้นจากความว่างเปล่า เขาก็คือเฟยเอ๋อร์นั่นเอง
เขาปรากฏตัวปุ๊บก็ย่นจมูกน้อยสองสามหนอย่างละโมบ แล้วคืนร่างเดิมอย่างไม่ลังเลสักนิดจากนั้นแยกเป็นเก้าร่างโถมเข้าไปหาศพของมนุษย์ปีศาจ เริ่มกัดกินคำโต
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็อดไม่ได้เงียบไป
หลังจากเฟยเอ๋อร์กลืนกินหัวปีศาจแม่ทัพที่หุบเขาตระกูลเยี่ยเมื่อตอนนั้น พลังก็เพิ่มขึ้นไม่น้อยแต่ยังไม่ทะลวงระดับ หากวันนี้กินศพมารที่พลังไม่อ่อนแอร่างนี้ลงไป บางทีอาจมีประโยชน์ทำให้มันเลื่อนระดับเร็วขึ้นก็เป็นได้
เวลาผ่านไปเพียงไม่นานศพของมนุษย์ปีศาจเกินครึ่งก็ถูกเฟยเอ๋อร์กินลงไปแล้ว
เสียงฟู่ดังขึ้นครั้งหนึ่ง เขารวมร่างจากเก้าเป็นหนึ่งอีกหน กลับคืนร่างเด็กน้อยอีกครั้งแล้วตบหนังท้องอันกลมดิก ท่าทางเหมือนง่วงงุนหลังทานอาหารอิ่ม
หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อย หลังจากตบข้างเอวเก็บเฟยเอ๋อร์กลับเข้าไปในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณอีกครั้งแล้วก็ปล่อยลูกบอลเพลิงลูกหนึ่งออกมาเผาซากร่างที่เหลืออยู่ของมนุษย์ปีศาจอัปลักษณ์จนกลายเป็นจุณ
หลังทำทุกสิ่งนี้เสร็จสิ้น เขาก็ทำหน้าครุ่นคิดอยู่ที่เดิม
จะว่าไปแล้วครั้งนี้ที่สังหารมนุษย์ปีศาจซึ่งพลังไม่อ่อนแอผู้นี้ได้อย่างง่ายดายล้วนอาศัยความดีความชอบของภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนทั้งสิ้น ทว่าเมื่อครู่เขาสังเกตอยู่พักหนึ่งจนค้นพบว่าแม้เชอฮ่วนจะกลืนกินไอปีศาจของมนุษย์ปีศาจได้ แต่ดูดกลืนมันไม่ได้แม้แต่น้อย
หลังจากไอปีศาจเหล่านี้คงอยู่ในร่างเงาวัวสีน้ำเงินครู่หนึ่งก็หายไปอย่างประหลาด
ดูท่าหากปะทะกับมนุษย์ปีศาจที่แข็งแกร่งกว่านี้ ก็ไม่แน่ว่าภาพสัญลักษณ์นี้จะได้ผลมากเช่นนี้
หลังจากเขาส่ายหน้าเล็กน้อยก็พลิกมือเรียกแผนที่ออกมา เขากวาดสายตาดูอยู่ครู่หนึ่ง เมฆดำใต้เท้าก็ยกร่างลอยขึ้น เหาะไปยังทิศทางที่เขาศิลาดำอยู่ตามที่แผนที่ระบุไว้
เขาเพิ่งจากไปได้เพียงครู่เดียว ทันใดนั้นเสียงแหวกอากาศดังสนั่นก็ดังขึ้นในหมู่เขา สายลมสีดำเจ็ดสายพุ่งออกมาแล้วทยอยร่อนลงมายังตำแหน่งที่หลิ่วหมิงยืนอยู่ก่อนหน้านี้
“ไม่ผิดแน่ วิชาลับภาพสัญลักษณ์ระดับสูงของเผ่ามนุษย์ ครานี้ลดความลำบากให้ข้าได้ไม่น้อยแล้ว!”
เสียงบุรุษทุ้มห้าวเสียงหนึ่งดังออกมาจากสายลมสีดำสายหนึ่งที่นำอยู่ด้านหน้า พร้อมกับเสียงหัวเราะประหลาดฟังดูแปลกพิกล
ด้านในสายลมสีดำหกสายที่เหลือเห็นเงาร่างหกร่างอยู่เลือนราง แต่กลับไม่มีเสียงดังออกมาแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าไม่ยินดีตอบคนที่เป็นผู้นำคนนั้นหรือว่ากำลังเมินสิ่งที่เขาพูดอยู่
หลังจากนั้นสายลมสีดำเจ็ดสายนี้ก็พัดเสียงดัง หอบทรายและหินขึ้นมาจากพื้น ก่อนจะหายไปจากที่เดิม
ครึ่งชั่วยามให้หลัง ริมทะเลสาบที่ใกล้จะแห้งขอดแห่งหนึ่ง หลิ่วหมิงกำลังเหยียบเมฆสีดำก้อนหนึ่งบินเรี่ยไปกับพื้นดิน
แม้เดินทางผ่านที่นี่จะอ้อมทางอยู่บ้าง แต่จากเครื่องหมายบนแผนที่ซึ่งนิกายมอบให้ ที่แห่งนี้น่าจะไม่มีปีศาจอสูรมากนัก ไม่เพียงเท่านี้ตลอดทางที่ผ่านมาเขายังเก็บหญ้าจิตวิญญาณไม่ทราบชื่อได้อีกหลายต้นกับหินแร่สีแดงเลือดถุงเล็กถุงหนึ่ง
ปรากฏว่าเหาะอย่างสงบสุขเช่นนี้มาได้ไม่ถึงหนึ่งเค่อ ทันใดนั้นหลิ่วหมิงก็สีหน้าเปลี่ยนในทันใด ร่างกายขยับวูบเดียว ทั้งร่างพลันเร้นกายขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่แห้งเหี่ยวด้านล่างอย่างรวดเร็วประหนึ่งดวงวิญญาณ พร้อมกันนั้นก็กระตุ้นวิชาลับภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนเก็บซ่อนกลิ่นอายไปอย่างสมบูรณ์
สิบกว่าลมหายใจหลังจากนั้น เมฆดำผืนหนึ่งบนท้องนภาไกลออกไปก็โถมมาถึง
เสียงเปรี้ยงดังกึกก้อง!
ท้องฟ้าเหนือทะเลสาบฉับพลันถูกความมืดที่แผ่ไปรอบด้านไม่หยุดเข้าปกคลุมจนแสงสว่างสักนิดก็ไม่มี ทำให้หลิ่วหมิงตกตะลึงเล็กน้อย
สูงขึ้นไปบนท้องฟ้าเมฆหมอกสีดำกระจายออกอย่างเชื่องช้า เผยให้เห็นบุรุษชุดเทาหน้าตาหมดจดเจ็ดคนที่แลดูคล้ายกันอยู่บ้างด้านใน พวกเขากำลังกวาดตามองรอบด้านไม่หยุดประหนึ่งว่ากำลังค้นหาสิ่งใดอยู่
หน้าตาของคนเหล่านี้คล้ายกับเผ่ามนุษย์ปกติ ทว่าดวงตาสีฟ้าครามทั้งสองข้างมีประกายแสงวูบไหวอยู่เลือนราง
หลิ่วหมิงเปลี่ยนสีหน้าไปเล็กน้อย!
แม้รอบร่างพวกเขาจะไม่มีไอปีศาจสีดำวนล้อมอยู่ แต่มองปราดเดียวก็มองออกว่าเจ็ดคนนี้ล้วนเป็นมนุษย์ปีศาจอย่างไม่ต้องสงสัย นอกจากนี้ดูจากระดับพลังแล้ว แต่ละคนล้วนมีพลังบรรลุระดับแก่นเสมือน ปราณที่แผ่ออกมาใกล้เคียงกันอย่างยิ่งคล้ายกับว่าเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน