ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 914 ค่ายกลภาพแปดดวงเนตร
ตอนที่ 914 ค่ายกลภาพแปดดวงเนตร
เนื่องจากระยะห่างที่ใกล้มาก อีกทั้งเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เวลานี้หลิ่วหมิงจึงเพิ่งถอยออกมาได้ยี่สิบกว่าจั้ง ส่วนมนุษย์ปีศาจอีกสามคนก็เพิ่งถอยออกมาได้เพียงสิบกว่าจั้งเท่านั้น
มนุษย์ปีศาจสามคนที่อยู่ด้านข้างหน้าถอดสี คิดจะลงมือขัดขวางก็ไม่ทันสักนิด
ในช่วงเวลาเส้นยาแดงผ่าแปดนี่เองหลิ่วหมิงกลับหยุดร่างกะทันหัน เขาไม่ถอยแต่กลับรุกไปด้านหน้า เงาวัวสีน้ำเงินบนหัวไหล่ทอแสงสีน้ำเงินแล้วอ้าปากใหญ่โตกู่ร้องใส่ท้องฟ้า สายลมแรงสีน้ำเงินอ่อนสายหนึ่งพุ่งออกมา ซัดครั้งเดียวหุ้มลำแสงสีเลือดที่พุ่งประจันหน้ามา จากนั้นมันก็กลืนเข้าปากไปประหนึ่งเป็นอาหาร
พร้อมกันนี้เสียงมังกรคำรามก็ดังขึ้นครั้งหนึ่ง!
มังกรหมอกที่แลดูประหนึ่งมีชีวิตตัวหนึ่งแยกเขี้ยวสะบัดกรงเล็บบินทะลวงออกมาจากแขนของหลิ่วหมิงพุ่งตรงไปหาภาพดวงตาสีเลือดบนลวดลายจิตวิญญาณแปดเหลี่ยมบนป้ายหินด้านหน้า
เสียง “เปรี้ยง” ดังสนั่นขึ้น ผิวของป้ายหินทั้งแผ่นก็แตกร้าวโดยมีภาพดวงตาสีแดงเลือดเป็นศูนย์กลาง เศษก้อนหินกระเด็นไปรอบด้านเต็มท้องฟ้า
หญิงสาวผู้สวมชุดนางในที่นั่งนิ่งสงบอยู่ไกลๆ เห็นภาพนี้ ดวงเนตรงามก็ฉายแววประหลาดใจเล็กน้อย
ลำแสงสีเลือดสี่เส้นกะพริบวูบเดียวก็หายไปในทันใด
จากนั้นเงาวัวสีน้ำเงินพลันกลายเป็นประกายแสงแวววาวจุดแล้วจุดเล่าสลายไป แสงเรืองรองม้วนตัวกลับมาบนหัวไหล่ของหลิ่วหมิงอีกครั้ง
มนุษย์ปีศาจผู้เป็นหัวหน้าตอนนี้ถึงพรูลมหายใจยาวออกมาเฮือกหนึ่ง สายตาทอประกายเล็กน้อยขณะที่มองหลิ่วหมิง เหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง
ทว่ายังไม่ทันที่คำพูดของเขาจะได้เอ่ยออกจากปาก ฐานของป้ายหินก็ส่งเสียงดัง “ฟู่” ทันใดนั้นแสงเรืองรองสีน้ำเงินผืนหนึ่งก็แผ่ออกมา ค่ายกลขนาดสองสามจั้งค่ายกลหนึ่งลอยออกมาเลือนราง
“พวกเจ้าช่างดวงแข็ง! ไม่รู้เลยหรือว่า ‘ค่ายกลภาพแปดดวงเนตร’ ค่ายนี้มีดวงตาดวงหนึ่งห้ามกระตุ้น?” เงาคนร่างหนึ่งโฉบมาเบื้องหน้าพวกเขา หญิงสาวผู้สวมชุดนางในผู้นั้นปรากฏกายขึ้นมาประหนึ่งภูตพรายแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาดุจเดิม
“อะไรนะ เป็นชั้นจำกัดนี้เองหรือ ข้าก็ว่าแล้วเหตุใดจึงคุ้นตาอยู่บ้าง”
หลิ่วหมิงได้ยินก็ตกตะลึงพร้อมกับพรั่นพรึง!
เวลานี้เขาเพิ่งนึกขึ้นมาได้ ค่ายกลภาพแปดดวงเนตรนี้เป็นค่ายกลประหลาดแห่งยุคโบราณชนิดหนึ่ง สภาพของค่ายกลนี้จะแตกต่างกันไปแต่หลักการคล้ายคลึงกันโดยส่วนใหญ่ เอกลักษณ์ที่เด่นชัดของมันก็คือดวงเนตรปีศาจที่สภาพแตกต่างกันแปดดวง
ค่ายกลนี้มีเพียงคนวางถึงจะรู้ว่าดวงเนตรปีศาจดวงใดที่ไม่อาจกระตุ้นได้ หากไม่ได้ทิ้งร่องรอยเงื่อนงำไว้ ถ้าเช่นนั้นก็ได้แต่อาศัยการคาดเดาเพียงอย่างเดียว
หญิงสาวผู้สวมชุดนางในเอ่ยออกมาเช่นนี้ ก็ไม่รู้ว่านางแก้ค่ายกลนี้ได้แล้วจริงๆ หรือแค่เสแสร้งวางท่า
ในเวลานี้เองหญิงสาวผู้สวมชุดนางในก็ขยับร่างครั้งหนึ่งก้าวเข้าไปในค่ายกลเบื้องหน้า หลังจากแสงสีน้ำเงินอ่อนโยนสายหนึ่งหุ้มร่างนางไว้ นางก็เลือนหายไปจากที่เดิม
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ไม่รั้งรอต่อ ร่างกายขยับวูบเดียวก้าวเข้าไปในค่ายกลด้วย
หลังจากแสงสีน้ำเงินส่องสว่างวูบหนึ่ง เขาก็รู้สึกว่าฟ้าดินพลิกหมุน เมื่อเห็นสภาพรอบด้านชัดเจนอีกครั้งเขาก็ปรากฏตัวอยู่ในตำหนักอันงดงามโอ่อ่าหลังหนึ่งแล้ว
ตำหนักหลังนี้กว้างราวสิบกว่าจั้ง สองฟากฝั่งก่อขึ้นมาจากหินอ่อนขาวที่มันวาวประหนึ่งกระจกก้อนแล้วก้อนเล่า เพดานของห้องโถงใหญ่ฝังหินจันทราที่เรียงรายเป็นระเบียบไว้หลายแถว พวกมันกำลังเปล่งแสงเรืองๆ ออกมา
แสงสะท้อนจากกำแพงหินอ่อนส่องให้ห้องโถงใหญ่ทั้งห้องสว่างไสวยิ่งนัก
สุดปลายห้องโถงใหญ่มีม่านแสงสีเทาชั้นหนึ่งผลุบๆ โผล่ๆ บนม่านแสงคล้ายจะมีเงาภูตผีขนาดมหึมาตัวหนึ่งเคลื่อนไหวอยู่ ดวงตาขนาดเท่าชามข้าวทั้งสองข้างกลอกขึ้นลง เขี้ยวทั้งสองข้างแลดูคมกริบยิ่งนัก ใบหน้าดุร้ายอย่างยิ่ง
บนพื้นที่ว่างเบื้องหน้าม่านแสงไม่ไกล หญิงสาวผู้สวมชุดนางในสีขาว คล้องอาภรณ์สีแดงกำลังยืนนิ่งอยู่
สตรีนางนี้เหมือนจะได้ยินเสียงยามหลิ่วหมิงเคลื่อนย้ายมา ดวงเนตรของนางจึงกวาดมองมาหาเขา
……
ในเวลาเดียวกัน ด้านในโพรงถ้ำที่ไหล่เขาของภูเขาขนาดเล็กที่ทอแสงสีดำทั้งลูกกลางป่าสีเขียวแน่นขนัดผืนหนึ่ง จินเทียนชื่อกับฉิวหลงจื่อรวมถึงศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์กลุ่มหนึ่งกำลังพักผ่อนอยู่ที่นี่
โพรงถ้ำแห่งนี้ค่อนข้างกว้างขวาง ศิษย์สิบกว่าคนของนิกายยอดบริสุทธิ์กำลังจับกลุ่มสองสามคนกระจายอยู่ด้านใน บางคนนั่งขัดสมาธิทำสมาธิ บางคนกำลังหายใจเข้าออก
ตรงมุมหนึ่งจินเทียนชื่อกับฉิวหลงจื่อนั่งขัดสมาธิหันหน้าเข้าหากันอยู่
“ศิษย์พี่จิน พวกเราหยุดอยู่ที่นี่มาเป็นเวลานานมากแล้ว ตามหลักแล้วหากทุกสิ่งราบรื่น ศิษย์น้องหลิ่วก็น่าจะหวนกลับมารวมกลุ่มกับพวกเราแล้วถึงจะถูก หากรอเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าจะพลาดจากเรื่องที่อาจารย์กำชับไว้” ฉิวหลงจื่อเอ่ยกับจินเทียนชื่อด้วยท่าทางจริงจังอยู่บ้าง
“เจ้ากล่าวไม่ผิด หลายวันนี้พวกเราก็ค้นหาสมบัติประหลาดนานาชนิดบริเวณนี้จนเกลี้ยงแล้ว ถึงเวลาที่พวกเราจะไปจากที่แห่งนี้แล้ว” จินเทียนชื่อหันกลับมากวาดสายตามองศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ที่เหลือครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยออกมาอย่างนิ่งสงบ
“แต่หากหลิ่วหมิงกลับมารวมตัวที่นี่ ทว่าพวกเราจากไปแล้วนั่นจะทำอย่างไรเล่า” ฉิวหลงจื่อคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยถามอย่างไม่วางใจอยู่บ้างอีก
“นี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ จะชักช้าจนเสียแผนการของนิกายเราเพราะคนเพียงคนเดียวคงไม่ได้ แจ้งลงไป คืนนี้พักผ่อนอยู่ที่นี่คืนหนึ่ง พรุ่งนี้เช้าออกเดินทางไปยังเป้าหมายต่อไป หากศิษย์น้องหลิ่วเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นจริง พวกเรารอต่อไปก็เสียเวลาเปล่า หากไม่เกิดเรื่องขึ้นย่อมหมายความว่าเขาช้าเพราะสาเหตุอื่นก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องรอต่อไปแล้วเช่นกัน” จินเทียนชื่อหัวเราะหึๆ แล้วเอ่ยออกมา
ในเวลาเดียวกันนี้โอวหยางเชี่ยนกับโอวหยางฉินสองสาวก็กำลังพูดคุยกันเสียงเบาอยู่ที่อีกมุมหนึ่งของถ้ำ
“พี่เชี่ยน เศษซากแห่งโลกบนนี้เป็นแดนเซียนแดนสวรรค์ที่พันปียากจะพบแห่งหนึ่งโดยแท้ เวลาเพียงสิบกว่าวันก็ได้โชคลาภมากมายเช่นนี้! แม้หลังออกไปจะต้องมอบให้นิกายยอดบริสุทธิ์เกินครึ่ง แต่โชคลาภในแดนลึกลับปกติธรรมดาเทียบไม่ติดเลย!” โอวหยางฉินเวลานี้กำลังลูบกำไลเก็บของวงหนึ่งบนข้อมืออย่างมีความสุขพลางเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ายินดี
“อย่างไรก็ประมาทไม่ได้ อย่าลืมสิ่งที่พบตอนเริ่มเดินทางกับคำกำชับของผู้อาวุโสสูงสุดทั้งหลายในตระกูล จนวันนี้หลิ่วหมิงก็ยังไม่กลับมา ศิษย์คนอื่นของนิกายยอดบริสุทธิ์ไม่ได้มีสัญญากับพวกเรา หากเกิดอันตรายขึ้นเกรงว่าคงต้องพึ่งพวกเรากันเองแล้ว” โอวหยางเชี่ยนไม่ได้ผ่อนคลายอย่างโอวหยางฉิน คิ้วงามขมวดเล็กน้อยเอ่ยขึ้นมา
“หึๆ พี่เชี่ยนไม่ต้องเป็นห่วงหลิ่วหมิงคนนั้นหรอก เจ้าหนูนั่นลูกเล่นมากไป!” โอวหยางฉินฟังแล้วก็หัวเราะคิกคักเอ่ยออกมาเช่นนี้
“เจ้า ล้อพี่สาวเล่นอีกแล้ว!” โอวหยางเชี่ยนได้ยินก็อดไม่ได้บ่นออกมาพร้อมกับสองแก้มที่แดงปลั่ง
……
ครึ่งวันให้หลัง หลิ่วหมิงกับมนุษย์ปีศาจทั้งหกก็ร่วมมือกันทำลายกลไกลชั้นจำกัดในโบราณสถานไปอีกหลายชั้น ภายใต้การบังคับขู่เข็ญและล่อลวงด้วยผลประโยชน์ของหญิงสาวผู้สวมชุดนางใน
เมื่อมีประสบการณ์จากก่อนหน้านี้ ก่อนหน้าทุกคนทำลายค่ายกลจึงไม่กล้าบุ่มบ่ามเช่นนั้นอีก แม้จะช้าสักหน่อย แต่ก็มีข้อดีที่ตลอดทางค่อนข้างราบรื่น
ตอนนี้หลิ่วหมิงอยู่ในห้องที่ดูคล้ายห้องนอนแห่งหนึ่ง เขาได้รับส่วนแบ่งตำราเก่าคร่ำคร่าที่ฝุ่นเกาะเต็มเล่มหนึ่งกับหญ้าจิตวิญญาณอายุหมื่นปีที่เขาไม่เคยเห็นมาหลายต้น
หลิ่วหมิงไม่รู้ว่าเพราะที่นี่เคยเป็นที่อยู่อาศัยของผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ยุคโบราณหรือเพราะสาเหตุอื่นประการใด แต่เขาพบว่าทั้งมนุษย์ปีศาจเหล่านี้และสตรีผู้สวมชุดนางในผู้นั้นล้วนไม่ค่อยสนใจคัมภีร์นานาชนิดกับอาวุธจิตวิญญาณที่หลงเหลืออยู่นัก พวกเขาสนใจแต่จะมุ่งไปยังจุดที่ลึกสุดของซากโบราณสถาน คล้ายกับว่ามีเพียงสมบัติด้านในสุดที่เป็นเป้าหมายของการเดินทางครั้งนี้ของพวกเขา
ค้นหามาหลายวัน หลิ่วหมิงก็พอเข้าใจสภาพส่วนใหญ่ของซากโบราณสถานใต้ดินแห่งนี้ชัดเจนแล้ว
ซากโบราณสถานแห่งนี้น่าจะเป็นถ้ำที่พักใต้ดินของผู้มากความสามารถสักคนของโลกแห่งนี้ อีกทั้งเขาดูเหมือนจะชำนาญค่ายกลและชั้นจำกัดอย่างยิ่ง
หากไม่ใช่เพราะผ่านเวลามายาวนานเกินไปจนชั้นจำกัดเกินครึ่งพลังลดทอนลง พวกเขาคงเข้ามาถึงที่นี่ไม่ได้ง่ายดายเช่นนี้
แม้หลิ่วหมิงไม่รู้ว่าเจ้าของสถานที่แห่งนี้คือผู้ใด แต่เขานับถือศาสตร์การวางชั้นจำกัดของอีกฝ่ายยิ่งนัก
เวลานี้พวกเขากำลังอยู่ในหมู่อาคารที่ประกอบด้วยตำหนักและทางเดินแห่งแล้วแห่งเล่า มองดูเหมือนเชื่อมต่อกันหมด แต่ความจริงแล้วกลับประหนึ่งเป็นเขาวงกต
หมู่อาคารเหล่านี้มีชั้นจำกัดนานาชนิดมากมาย ทั้งตัวมันก็ยังลึกลับไม่ธรรมดา หากอยากใช้กำลังหักหาญฝืนฝ่าเข้าไปด้านใน นั่นคือการหาเรื่องลำบากให้ตนเองอย่างสิ้นเชิง ได้แต่ทำลายทีละจุดๆ รุกเข้าไปตามลำดับ
เวลานี้ในห้องโถงใหญ่สีดำขมุกขมัวแห่งหนึ่ง ค่ายกลสีทองรูปหกเหลี่ยมขนาดหลายจั้งค่ายกลหนึ่งขวางเส้นทางเบื้องหน้าเอาไว้
ค่ายกลนี้มีกำแพงสายฟ้าสีทองหกด้านล้อมอยู่ บนกำแพงสายฟ้าแต่ละด้านมีสายฟ้ารูปอสรพิษสีทองอ่อนตัวแล้วตัวเล่าเลื้อยไม่หยุด ทั้งยังมีเสียงอสนีบาตดังเปรี๊ยะแทรกมาเป็นระยะ
ใจกลางค่ายกลคือลูกบอลกลมสีทองอ่อนขนาดหนึ่งฉื่อกว่าลูกหนึ่งซึ่งลอยอยู่กลางอากาศและหมุนเชื่องช้าไม่หยุด
“น่าจะเป็นที่นี่ ใช้อสนีบาตมาเป็นชั้นจำกัดปิดผนึกชั้นสุดท้ายจริงๆ! เอาล่ะ พวกเราเริ่มกันเถอะ” หญิงสาวผู้สวมชุดนางในมองดูเศษแผนที่ชิ้นหนึ่งในมือเสร็จ บนใบหน้างดงามเย็นชาก็เผยสีหน้ายินดีจางๆ ออกมา
“ชั้นจำกัดอสนีบาตหรือ? นี่มีฤทธิ์ข่มพวกเจ้าเผ่าปีศาจกับพวกเราเผ่ามารไม่น้อย ใช้มารผนึกดีที่สุดจริงๆ แต่ค่ายกลชั้นจำกัดระดับนี้ดูจะเรียบง่ายเกินไปสักหน่อย” ในดวงตาของมนุษย์ปีศาจผู้เป็นหัวหน้าทอประกายประหลาดใจวูบหนึ่งแล้วหัวเราะหยันเอ่ยขึ้นมา จากนั้นเขาก็ส่งสายตาให้มนุษย์ปีศาจอีกคนหนึ่งด้านข้าง
มนุษย์ปีศาจผู้นั้นเข้าใจความหมายจึงสะบัดแขนเสื้อแล้วตบมือข้างหนึ่งใส่หน้าอก แสงสีเงินส่องสว่าง ชุดเกราะสีเงินชุดหนึ่งก็ปรากฏออกมาแล้วสวมลงบนร่างในพริบตา
บนชุดเกราะนี้มีเส้นเรียวเล็กสีเงินเส้นแล้วเส้นเล่าแผ่อยู่ทั่ว มันเปล่งแสงสีเงินอ่อนอยู่ท่ามกลางแสงอสนีบาตที่สาดส่องมาจากเบื้องหน้า บนไหล่สองข้างของชุดเกราะสลักยันต์ประหลาดไม่ทราบชื่อตัวหนึ่งเอาไว้แต่ละข้าง
“มีชุดเกราะระดับสุดยอดที่มีคุณสมบัติป้องกันสายฟ้าด้วยหรือ? ไม่คิดว่าพวกเจ้ามนุษย์ปีศาจจะทุ่มเทเพื่อสถานที่แห่งนี้!” หญิงสาวผู้สวมชุดนางในเหล่มองมนุษย์ปีศาจผู้นั้นครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เวลานี้เองสองแขนของมนุษย์ปีศาจผู้นั้นพลันกางออก ทันใดนั้นบนชุดเกราะสีเงินก็มีแสงเปลวเพลิงสีเงินชั้นหนึ่งลุกโชนขึ้นมา ร่างกายขยับวูบเดียวมาถึงเบื้องหน้ากำแพงสายฟ้าด้านหนึ่ง สองมือยื่นไปเบื้องหน้าแล้วดึงออกมาด้านนอกอย่างเร็วไว
เสียง “เปรี๊ยะ” ดังสนั่น!
กำแพงสายฟ้าที่มีอสรพิษสายฟ้าสีทองเลื้อยไปมาฝั่งนั้นถูกเขากระชากเป็นรูโหว่รูหนึ่งทั้งอย่างนั้น
ทันใดนั้นอสรพิษสายฟ้าสีทองที่เลื้อยเพ่นพ่านอยู่ในค่ายกลก็พากันเลี้ยวเปลี่ยนทิศพุ่งเร็วรี่เข้าไปหาเขา มาถึงหน้าร่างเขาในพริบตา
ทว่าเมื่ออสรพิษสายฟ้าเหล่านี้สัมผัสถูกแสงเปลวเพลิงสีเงินบนผิวของชุดเกราะสีเงินบนร่างเขาก็พากันสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
อสรพิษสายฟ้าในค่ายกลเหล่านี้ไม่อาจทำลายการป้องกันของชุดเกราะชุดนี้ได้แม้แต่น้อย!
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้บนใบหน้าก็ปรากฏสีหน้าประหลาดใจอย่างห้ามไม่ได้
ผลปรากฏว่าขณะที่มนุษย์ปีศาจผู้นั้นเอนร่างไปด้านหน้าหมายจะทะยานร่างกระโจนเข้าไปนั่นเอง เหตุไม่คาดฝันก็บังเกิดขึ้น!
คลื่นสายฟ้าสีทองอ่อนสายหนึ่งดีดออกมาจากค่ายกล ระหว่างทางมันสั่นไหววูบหนึ่งแยกจากหนึ่งเป็นสาม เผยให้เห็นเส้นอสนีบาตห้าสีเรียวเล็กดุจเส้นผมที่ส่งเสียงดังฟิ้วพุ่งรวดเร็วเข้าใส่ใบหน้าของมนุษย์ปีศาจ