ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 926 เมฆแมลงมาร
ในเวลานี้เองเสียงครวญยาวเสียงหนึ่งก็ดังลอยมา แสงสีทองสายหนึ่งซัดสาดมาถึงแล้วระเบิดแสงดารานับไม่ถ้วนออกมาจากด้านในภายในพริบตา พวกมันหมุนควงรอบหนึ่งแล้วกลายเป็นธารดารากำจัดลำแสงสีดำสามเส้นที่เหลือจนหมดสิ้น
ร่างสูงเพรียวของจินเทียนชื่อปรากฏขึ้น เขาจ้องบุรุษชุดเทาที่อยู่บนหน้าผาหินฝั่งหนึ่งด้วยสายตาเย็นชาแล้วเอ่ยออกมาว่า “มนุษย์ปีศาจ”
พวกหลงเหยียนเฟยเห็นจินเทียนชื่อเร่งรีบมาทันก็โล่งใจครั้งใหญ่
“ฮ่าๆ ที่นี่คือเศษซากของโลกบน พบเผ่าศักดิ์สิทธิ์เช่นเรามีสิ่งใดน่าประหลาดใจนักเล่า เด็กรุ่นหลังเผ่ามนุษย์อย่างเจ้าสิ อายุยังไม่มากแต่พลังของวิชาเมื่อครู่ไม่อ่อนแอเลย มิน่าคนเหล่านั้นที่ยอมสวามิภักดิ์ต่อข้าก่อนหน้านี้จึงแนะนำให้ข้ากำจัดผู้ช่วยของเจ้าก่อน หลังจากนั้นค่อยจัดการเจ้าลำพังคนเดียว แต่คิดไม่ถึงว่าคนที่เหลือจะมีลูกเล่นปกป้องชีวิตตนเองไม่น้อย จนข้าสังหารได้แค่สองคน” บุรุษชุดเทาที่ถูกจินเทียนชื่อจับจ้องหัวเราะทุ้มต่ำ
หากหลิ่วหมิงอยู่ที่นี่ย่อมจดจำได้ตั้งแต่เห็นครั้งแรกแน่นอนว่าบุรุษชุดเทาเจ็ดคนนี้ก็คือร่างแยกเจ็ดร่างของมนุษย์ปีศาจระดับดาราพยากรณ์เมื่อตอนนั้น ไม่รู้ว่าเขามาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร แล้วยังบังคับศิษย์นิกายปีศาจลี้ลับอย่างพวกหลงเซวียนให้ยอมสวามิภักดิ์ อีกทั้งหมายตาพวกจินเทียนชื่ออีก
“ข้าก็คิดไม่ถึงว่าศิษย์ของนิกายปีศาจลี้ลับจะสมคบกับมนุษย์ปีศาจ ไม่รู้ว่ากลับไปยังโลกมนุษย์แล้วผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายปีศาจลี้ลับทั้งหลายรู้เรื่องนี้เข้าจะทำหน้าอย่างไร” จินเทียนชื่อแค่นเสียงหยันแล้วเอ่ยขึ้นมา พร้อมกันนั้นก็มองสำรวจมนุษย์ปีศาจเจ็ดคนที่ปรากฏตัวกะทันหันคนนี้อย่างละเอียด เขาพบว่าพวกเขาเหล่านี้ไม่เพียงหน้าตาคล้ายคลึงกัน กระทั่งระดับพลังและกลิ่นอายก็ยังใกล้เคียงกันอย่างยิ่ง แล้วท่าทางพวกเขาเหมือนจะอยู่ระดับแก่นแท้ขั้นต้นทั้งหมดอีกด้วย ในใจเขาอดไม่ได้เกิดความสงสัยเล็กน้อย ทว่าใบหน้ากับน้ำเสียงกลับไม่เผยความผิดปกติออกมาแม้แต่น้อย
หากเวลานี้หลิ่วหมิงได้เห็นว่าร่างจำแลงของมนุษย์ปีศาจเจ็ดคนนี้ต่างเลื่อนระดับจากระดับแก่นเสมือนมาจนถึงแก่นแท้ขั้นต้นภายในเวลาอันสั้นเช่นนี้ เกรงว่าเขาคงตกตะลึงจนหน้าถอดสี
ศิษย์นิกายปีศาจลี้ลับหลายคนนั้นฟังแล้วล้วนหน้าถอดสี ใบหน้าซีดเผือดยิ่งกว่าก่อนหน้านี้อีกหลายส่วน
ทว่าหลงเซวียนกลับหัวเราะอย่างเย็นชาตอบกลับว่า
“ฮ่ะๆ วิหคดีย่อมเลือกต้นไม้พักนอน! หากท่านมีเวลาสนใจเรื่องภายหน้าของพวกเรา ก็คิดหาวิธีว่าจะหนีเอาชีวิตรอดจากมือเผ่าศักดิ์สิทธิ์ท่านนี้ไปอย่างไรเถอะ”
จะว่าไปแล้วความจริงหลงเซวียนก็เก็บกลั้นเพลิงโทสะไว้เต็มอกเช่นกัน
ตอนนั้นหลังจากแยกกับหลิ่วหมิง เขาลำบากนักกว่าจะรวมตัวกับสหายนิกายปีศาจลี้ลับที่เหลือได้ ต่อมาเขานำสามคนนี้ออกเดินทาง แต่คิดไม่ถึงว่าจะพบผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์คนหนึ่งที่เพิ่งได้โชคลาภครั้งใหญ่มาจากซากโบราณสถานแล้วเพิ่งแยกร่างจำกัดพลังอีกครั้ง
ด้วยวิชาอันน่าหวาดกลัวของมนุษย์ปีศาจผู้นี้ แม้หลงเซวียนผู้นี้มีวิชามารชิงหยางอันเลื่องลือ และสหายร่วมนิกายที่เหลือสามคนพลังไม่อ่อนแอ แต่พวกเขาก็ยังถูกปราบราบคาบ หนีไม่รอดสักคนเดียว
ทว่าหลังจากมนุษย์ปีศาจระดับดาราพยากรณ์ผู้นี้ชนะ อีกฝ่ายกลับไม่สังหารพวกเขา แต่ฝังชั้นจำกัดไว้ในตัวพวกเขาอย่างไม่เกรงใจสักนิด แล้วบีบบังคับพวกเขาให้ช่วยสืบข่าวและเปิดฉากสังหารในพื้นที่ใกล้เคียง
ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มของพวกต่างเผ่า เผ่าปีศาจหรือเผ่ามนุษย์ธรรมดา ขอเพียงพานพบ มนุษย์ปีศาจระดับดาราพยากรณ์คนนี้ล้วนไม่ปล่อยไปแม้แต่รายเดียว เขาใช้ไอปีศาจสูบโลหิตบริสุทธิ์จากศพทั้งหมดจนแห้งเหือด สักหยดก็ไม่เหลือ
มาถึงตอนนี้ พวกหลงเซวียนไหนเลยยังไม่รู้ว่า ผู้แข็งแกร่งจากเผ่ามารคนนี้คงกำลังใช้โลหิตของผู้ฝึกฝนเผ่าต่างๆ เซ่นสังเวยเพื่อฝึกฝนวิชามารน่ากลัวบางอย่าง
แม้จะเป็นเช่นนี้แต่พลังที่ชวนให้คนสิ้นหวังซึ่งมนุษย์ปีศาจระดับดาราพยากรณ์แสดงออกมากับการใช้ชั้นจำกัดที่ฝังอยู่ในร่างขู่บังคับก็ทำให้พวกหลงเซวียนได้แต่ทำตามคำสั่งของมนุษย์ปีศาจ จนสุดท้ายพวกเขาสังเกตเห็นพวกจินเทียนชื่อเข้ามาในบริเวณใกล้ๆ
“จะว่าไปแล้ว ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยพบเจ้าหนูเผ่ามนุษย์ที่สวมเครื่องแต่งกายคล้ายพวกเจ้าอยู่คนหนึ่ง แต่น่าเสียดายเขาทรยศข้าในซากโบราณสถานใต้ดินแห่งหนึ่งเพื่อไปร่วมมือกับคนของเผ่าปีศาจ เวลานี้ซากโบราณสถานถล่มไปหมดแล้ว เขาจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง” มนุษย์ปีศาจฉับพลันเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้มโหดเหี้ยม
จินเทียนชื่อได้ฟังก็ตะลึงไปเล็กน้อย ในหมู่ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ทั้งหมดมีเพียงหลิ่วหมิงที่แยกออกจากกลุ่มไปตามลำพังเพื่อล่อปีศาจอสูร หรือว่าคนที่มนุษย์ปีศาจคนนี้พูดถึงจะเป็นหลิ่วหมิงจริงๆ?
หลงเหยียนเฟยกับพี่น้องโอวหยางก็ตกตะลึงเช่นเดียวกัน พวกนางอดมองตากันไม่ได้
“ฮ่ะๆ อย่าโทษว่าข้าไม่ให้โอกาสพวกเจ้า! หากตอนนี้พวกเจ้ายินดีสวามิภักดิ์กับข้า ยินยอมฝังชั้นจำกัดแล้วทำงานให้ข้า ข้าจะให้ทางรอดพวกเจ้าก็ได้” บุรุษชุดเทาเห็นผู้คนจากนิกายยอดบริสุทธิ์ไม่พูดก็หัวเราะแล้วเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง
“ท่านเอ่ยวาจาใหญ่โตนัก คิดว่าอาศัยพวกท่านไม่กี่คนจะกินผู้แซ่จินได้งั้นหรือ!” จินเทียนชื่อฟังดังนั้นก็แค่นเสียงเหอะเอ่ยขึ้นมา ทว่าในเวลาเดียวกันนั้นเขาก็ลอบส่งกระแสจิตบอกสตรีทั้งสามอย่างเร็วไวว่า ‘ระวัง’ และ ‘ทำตามสถานการณ์’
เพราะสมบัติเช่นกระบี่บินของสามสาวถูกทำลายไปก่อนหน้านี้ พวกนางจึงบาดเจ็บอย่างไม่แสดงอาการเนื่องจากการเชื่อมจิตอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้พวกนางย่อมไม่กล้าชักช้าพากันเรียกอาวุธจิตวิญญาณชิ้นอื่นของตนมาไว้ในมือ
เมื่อเห็นว่าพวกจินเทียนชื่อไม่มีความคิดจะยอมสวามิภักดิ์สักนิด มนุษย์ปีศาจที่เป็นหัวหน้าก็ไม่ลังเลอีกต่อไป สองแขนขยับทันที แสงสีดำเจิดจ้าขณะที่ปราณดำสายแล้วสายเล่าทะลักออกมา เพียงครู่เดียวมันก็บดบังท้องฟ้าเบื้องหน้าจนดำมืด จากนั้นม้วนตลบก่อตัวเป็นเมฆดำใหญ่ยักษ์ขนาดหนึ่งหมู่กว่าก้อนหนึ่ง
ส่วนมนุษย์ปีศาจหกคนที่เหลือก็บินร่อนประหนึ่งกงล้อ เคล็ดวิชาที่มีปราณดำวนเวียนอยู่รอบยิงเข้าใส่เมฆดำตรงหน้าจากสองฟากฝั่งไม่หยุด
จากนั้นเสียงท่องมนตร์งึมงำฟังยากก็ดังออกมาจากปากทั้งเจ็ดคน เมฆดำปั่นป่วนอย่างรุนแรงแล้วส่งเสียงหึ่งๆ ดังสนั่น ทันใดนั้นแมลงตัวเล็กสีดำนับพันนับหมื่นตัวก็พุ่งออกมาจากด้านใน แห่มาทางพวกจินเทียนชื่ออย่างมืดฟ้ามัวดิน
แมลงตัวน้อยเหล่านี้แต่ละตัวสีดำสนิททั้งร่างและมีสองตาสีเลือด ดูเหมือนหนอนไหมสีดำติดปีกตัวแล้วตัวเล่า
เมื่อเผชิญหน้ากับเมฆที่น่าหวาดกลัวก้อนนี้ จินเทียนชื่อกลับเพ่งสายตายืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ ทว่าด้านหลังร่างเขามีเสียงกระบี่ครวญครางกรีดแหลมดังออกมา หลงเหยียนเฟยนั่นเอง หลังจากนางเปลี่ยนมาใช้กระบี่บินสีเงินระยิบระยับเล่มหนึ่งก็โยนมันไปบนท้องฟ้า แล้วจี้ดัชนีใส่อย่างเร็วไวไม่หยุด
ชั่วพริบตากระบี่บินสีเงินก็หมุนติ้วรอบหนึ่งแล้วแบ่งจากหนึ่งเป็นสอง แบ่งจากสองเป็นสี่ พริบตาเดียวกลายเป็นแสงกระบี่สีเงินส่องสว่างสิบหกสาย พวกมันเลือนรางวูบหนึ่งแล้วกลายเป็นเหมือนดอกบัวกระบี่สีเงินดอกแล้วดอกเล่า
เมื่อสตรีนางนี้กระตุ้นเคล็ดวิชาอย่างเต็มกำลังพักหนึ่ง กระบี่บินสีเงินก็คลี่ออกอย่างรวดเร็ว แสงกระบี่คมกริบนับไม่ถ้วนพาดตัดกันกลายเป็นตาข่ายยักษ์สีเงินผืนหนึ่งซึ่งบนผิวมีเปลวอสนีบาตเรียวเล็กกะพริบอยู่เลือนรางพุ่งเข้าใส่หนอนสีดำเต็มท้องฟ้าที่ลอยเข้ามา
“เฟยเอ๋อร์ผสานกระบี่บินกับพลังอสนีบาตเข้าด้วยกัน นับว่าไม่ง่ายเลยทีเดียว ใช้จัดการวิชามารทั่วไปคงเหลือเฟือ แต่จะใช้วิชาที่ยังไม่สมบูรณ์จัดการมนุษย์ปีศาจจากแผ่นดินว่านหมัวเหล่านี้ เกรงว่า…” จินเทียนชื่อมองภาพนี้ด้วยใบหน้าเรียบเฉย ในใจลอบครุ่นคิดกับตนเองไม่หยุด
เขาไม่ได้ขวางการลงมือของหลงเหยียนเฟย ราวกับว่าตั้งใจจะหยั่งเชิงพลังของมนุษย์ปีศาจเหล่านี้สักหน่อย
ครู่ต่อมาแมลงน้อยสีดำนับพันนับหมื่นก็พากันพุ่งชนบนตาข่ายยักษ์สีเงิน เสียงเปรี๊ยะดังสนั่นขณะที่ประกายสายฟ้าสายแล้วสายเล่าเสียบเข้าไปกลางเมฆแมลงประหนึ่งเข็มแหลม
แมลงน้อยสีดำนับไม่ถ้วนระเบิดตัวดังเปรี้ยงปร้างแล้วกลายเป็นไอปีศาจพลุ่งพล่านอีกหน ชั่วขณะหนึ่งมันทำให้เมฆแมลงร่วงลงมาต่อไม่ได้
ทว่าเมื่อแมลงสีดำโถมตามกันมามากขึ้นเรื่อยๆ เมฆแมลงที่ลอยอยู่กลางท้องฟ้าก็ยิ่งหนาทึบน่าหวาดกลัวขึ้นทุกทีและเริ่มกดทับแสงกระบี่เบื้องล่าง
แม้สองมือของหลงเหยียนเฟยจะใช้เคล็ดกระบี่ไม่หยุด แต่ตาข่ายยักษ์สีเงินก็ยังส่งเสียงดัง “บึ๊ม” แล้วพังทลายกลายเป็นแสงกระบี่สีเงินหม่นหมองสิบหกสายแตกกระจาย
เสียง “ตึง” กังวานใสขึ้นครั้งหนึ่ง แสงกระบี่สิบห้าสายในนั้นฉับพลันพังทลายสลายไป เหลือเพียงแสงกระบี่สายเดียวที่พุ่งกลับมา มันกะพริบวูบหนึ่งกลับคืนเป็นกระบี่บินสีเงินสภาพเดิมอีกครั้ง ทว่าแสงบนผิวกลับหม่นหมองอย่างยิ่ง เห็นชัดว่าพลังจิตวิญญาณเสียหาย
เสียง “พรวด” ดังขึ้นครั้งหนึ่ง!
หลงเหยียนเฟยหน้าถอดสี อ้าปากพ่นเลือดคำหนึ่งออกมาทันที มือข้างหนึ่งยกขึ้นกวักอีกครั้งก็เก็บกระบี่บินกลับมาในแขนเสื้อในพริบตา
สตรีนางนี้กระบี่บินเสียหายสองเล่มติดกัน ชั่วครู่ชั่วยามคงลงมือไม่ได้อีกแล้ว
เวลานี้เพราะไม่มีแสงกระบี่สีเงินขัดขวาง แมลงมารสีดำที่เหลือจึงโถมตัวลงมามืดฟ้ามัวดินอีกครั้ง แต่โอวหยางเชี่ยนกับโอวหยางฉินที่เตรียมป้องกันอยู่ก่อนแล้วทะยานร่างพุ่งเข้าไป
ร่างกายของโอวหยางเชี่ยนลอยอยู่กลางอากาศ เมื่อนางสะบัดแขนเสื้อ เสียงมังกรคำรามก้องกังวานก็ดังขึ้นครั้งหนึ่ง แสงสีขาวเส้นหนึ่งฟาดออกมาจากด้านใน
แสงสีขาวก่อตัวกลายเป็นเงามังกรสีขาวสะอาดดุจหยกตัวหนึ่งกลางอากาศ มันขดวนรอบหนึ่งจากนั้นคมดาบแสงแถบใหญ่ก็ซัดออกมา เพียงครู่เดียวกลายเป็นภาพค่ายกลสีขาวใหญ่ยี่สิบกว่าจั้งค่ายกลหนึ่งเบื้องหน้าร่างนาง ส่วนมังกรสีขาวหยกตัวนั้นเลื้อยเหาะอยู่ด้านในไม่หยุด
“ค่ายกลดาบหลัวอวี่!”
ดวงหน้าสะสวยของโอวหยางเชี่ยนตวาดเสียงหวานใส่ท้องฟ้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ดาบแสงสีขาวนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากในค่ายกล เมื่อดาบแสงเหล่านี้หลุดจากค่ายกลก็รวมตัวกลายเป็นมังกรตัวน้อยสีขาวยาวหนึ่งฉื่อกว่าตัวแล้วตัวเล่าพุ่งประจันหน้าเข้าใส่แมลงมารสีดำที่โถมมาเบื้องหน้าประหนึ่งสายฟ้าฟาด
ชั่วขณะหนึ่งแสงรัศมีสีดำและสีขาวแทรกผสมกัน ก่อนจะระเบิดตรงนั้นตรงนี้อย่างต่อเนื่องกลางท้องฟ้าแล้วพังทลาย ทรงพลังยิ่งนัก!
โอวหยางฉินที่อยู่อีกด้านหนึ่งมีพัดพับสีม่วงอ่อนเล่มหนึ่งอยู่ในมือตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ นางสะบัดเล็กน้อย เงาพัดสีม่วงอ่อนเงาแล้วเงาเล่าก็พุ่งออกมา พริบตาเดียวเบื้องหน้าร่างก็ปรากฏบุปผาจิตวิญญาณสีม่วงไม่ทราบนามหลายสิบดอก ลอยหมุนเข้าไปหาแมลงมารสีดำเต็มฟ้า
เมื่อแมลงมารสีดำเหล่านั้นสัมผัสถูกบุปผาจิตวิญญาณสีม่วงเหล่านี้ฉับพลันก็กลายเป็นปราณสีดำสายแล้วสายเล่ากระจายออกไปรอบด้าน
เวลาเพียงเจ็ดแปดลมหายใจ แมลงมารสีดำเต็มฟ้าก็สลายกลายเป็นไอปีศาจมากมายหลายสายกระจายไปรอบด้านเกือบครึ่งด้วยการร่วมมือกันของพี่น้องโอวหยาง
มนุษย์ปีศาจทั้งเจ็ดเห็นเช่นนี้ก็กระตุ้นไอปีศาจต่ออย่างไม่ใส่ใจสักนิด ปราณดำมากกว่าเดิมทะลักออกมาในทันที
เมฆสีดำกลางท้องฟ้าขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในทันใด พริบตาเดียวมันก็ขยายจนมีขนาดหลายร้อยกว่าจั้ง แทบจะบดบังท้องฟ้าเกินครึ่งไว้ ทำให้ทั้งหุบเขามืดหม่นลงไปเล็กน้อย
แมลงมารที่บินออกมาจากด้านในก็เพิ่มขึ้นมากกว่าหนึ่งเท่า ทำให้สถานการณ์ปัจจุบันย่ำแย่ลงอย่างรวดเร็ว!
มังกรน้อยสีขาวมากมายถูกแมลงตัวจ้อยที่บดบังท้องฟ้าและกลืนกลบผืนดินพุ่งโจมตีจนสุดท้ายส่งเสียงดัง “ฟู่” “ฟู่” ทยอยสลายไป
บุปผาจิตวิญญาณสีม่วงก็ถูกไอปีศาจที่แปลงเป็นแมลงมารฝูงแล้วฝูงเล่ากระแทกโจมตีส่งเสียงดัง “เปรี๊ยะ” จนส่องแสงจิตวิญญาณวูบวาบ ขนาดหดเล็กลงอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน
แม้พี่น้องโอวหยางจะดิ้นรนกระตุ้นเคล็ดวิชาไม่หยุด แต่เห็นชัดว่าท่าทางเหมือนจะต้านไม่ไหวแล้ว
เวลานี้เอง ในที่สุดจินเทียนชื่อก็ลงมือ!
เขาไม่เอ่ยคำใด แต่ร่างกายขยับเพียงวูบเดียวก็ปรากฏตัวบนท้องฟ้าเหนือสตรีทั้งสองนาง ชุดสีทองทั้งร่างพองขยายตามสายลม ขณะที่สองมือวาดวงกลมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางครึ่งจั้งวงหนึ่งตรงหน้าอกอย่างรวดเร็ว
เสียง “บึ๊ม” ดังขึ้นครั้งหนึ่ง ปราณแห่งฟ้าดินรอบด้านพลันปั่นป่วน แสงสีขาวแสบตาดวงหนึ่งระเบิดออกมากลางวงกลมเบื้องหน้าจินเทียนชื่อ หลังจากแสงดับลง ทุกคนก็ตกตะลึงเมื่อค้นพบว่าวงกลมวงนั้นกลายเป็นสีดำทั้งหมด แต่ยังคงมีประกายแสงสีขาวจุดแล้วจุดเล่าส่องสว่างวูบวาบไม่หยุด
ภายในวงกลมราวกับมีดวงดาราสุกสกาวผืนหนึ่ง