ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 935 จินเลี่ยหยาง
ระหว่างที่เวินเจิงติดตามฉิวหลงจื่อไปหาสมบัติก็ถูกผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจลึกลับทำร้ายจนบาดเจ็บหนัก เขากินโอสถสลายภัยระดับพสุธาที่นิกายมอบให้ถึงรักษาชีวิตเอาไว้ได้แต่ก็สลบมาจนถึงวันนี้
แววตาของหลิ่วหมิงสั่นไหว เขาเคยประมือกับเวินเจิงมาก่อน รู้จักพลังของเขาดี เขาเผชิญหน้ากับผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจเหล่านั้นกลับพ่ายแพ้ยับเยินขนาดนี้เชียวหรือ?
นี่ทำให้สมองของเขาอดไม่ได้ปรากฏเงาร่างงามของหญิงสาวที่เคยอภิรมย์ชั่วข้ามคืนกับเขาผู้นั้น! หลิ่วหมิงเคยได้ยินชื่อแผ่นดินหมานฮวงตั้งแต่ตอนที่อยู่บนเกาะอวิ๋นชวน แผ่นดินแห่งนี้เป็นแผ่นดินที่เผ่าปีศาจเป็นประชากรหลัก ผู้แข็งแกร่งเผ่าปีศาจบนนั้นจะเหนือกว่าแผ่นดินจงเทียนก็ไม่ใช่เรื่องประหลาดแม้แต่น้อย
หรือผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจที่ฉิวหลงจื่อพบจะเหมือนเหยาจี เป็นผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจของแผ่นดินหมานฮวง
หลิ่วหมิงคิดสะระตะไปพักหนึ่งก็ยังไม่ได้คำตอบจึงโยนความสงสัยประการนี้ทิ้งไป
หลังจากจินเทียนชื่อตรวจสภาพบาดแผลของเวินเจิงเสร็จก็ช่วยรักษาอยู่พักหนึ่ง จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยด้วยเสียงอันดังว่า
“ศิษย์น้องเวินไม่เป็นอะไรมากแล้ว ตอนนี้ทุกคนล้วนบาดเจ็บ พักอยู่ที่นี่ก่อนสักระยะค่อยคิดแผนต่อไปเถิด”
พวกฉิวหลงจื่อกับหลิ่วหมิงย่อมไม่เห็นต่าง
หลังจากนั้นจินเทียนชื่อก็ไปที่ปากถ้ำวางค่ายกลไว้หลายค่ายกล เมื่อแน่ใจว่าทุกสิ่งไม่มีปัญหาถึงหาที่นั่งขัดสมาธิแล้วล้วงแผนที่ของเศษซากแห่งโลกบนมาตั้งใจศึกษา
ศิษย์ทั้งหลายแยกย้ายกันอีกครั้ง พวกเขาต่างนั่งขัดสมาธิรักษาอาการบาดเจ็บตามที่ต่างๆ ในถ้ำ
เมื่อเห็นพี่น้องโอวหยางนั่งลงตรงริมผนังถ้ำแห่งหนึ่งแล้ว หลิ่วหมิงก็ก้าวเท้าเดินเข้าไปหา
“ทั้งสองท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
“ข้าไม่เป็นไร แค่เสียลมปราณไปบ้างเท่านั้น แต่ตอนต่อสู้กับหลงเซวียน ฉินเอ๋อร์ถูกไอปีศาจที่มีพลังกัดกร่อนจำนวนหนึ่งแทรกเข้าไปในเส้นลมปราณ ข้าใช้สารพัดวิธีแล้วแต่ก็ขับมันออกมาได้ไม่หมด” โอวหยางเชี่ยนมองหลิ่วหมิง ในดวงเนตรงามมีแววตากังวลอยู่เล็กน้อย
“พี่เชี่ยน ข้าไม่เป็นไร ไอปีศาจถูกข้าใช้วิชาขับออกไปเกินครึ่งแล้ว หากใช้เวลาอีกสักหน่อยจะต้องขับออกไปได้หมดแน่” บนใบหน้าของโอวหยางฉินมีสีหน้าทุกข์ทรมานอยู่เลือนราง แต่นางก็ฝืนยิ้มเอ่ยออกมา
โอวหยางเชี่ยนได้ยินก็กัดฟันแน่น ดวงตาแดงระเรื่อ
“ให้ข้าดูอาการบาดเจ็บของแม่นางโอวหยางหน่อยได้หรือไม่” หลิ่วหมิงได้ยินว่าไอปีศาจ ในใจก็คิดอะไรได้จึงเอ่ยขึ้นมา
“ถ้าเช่นนั้นก็รบกวนพี่หลิ่วแล้ว” โอวหยางเชี่ยนได้ยินหลิ่วหมิงพูดคำนี้ก็เอ่ยออกมาอย่างรู้สึกขอบคุณ
หลิ่วหมิงโบกมือ สะบัดมือส่งพลังเวทสายหนึ่งเข้าไปในร่างของโอวหยางฉิน หลังจากล่องไปในเส้นลมปราณอย่างรวดเร็วรอบหนึ่ง เขาก็พบตำแหน่งที่อยู่ของไอปีศาจสายนั้นที่ทั้งสองสาวเอ่ยถึง เป็นเช่นที่โอวหยางเชี่ยนว่ามันกำลังรัดเส้นลมปราณหลายเส้นไว้แน่น
ไอปีศาจสายนี้เปล่งแสงสีเขียวอยู่เลือนราง แม้ไม่ใช่ไอปีศาจแท้แต่ก็คล้ายคลึงอยู่เล็กน้อย อีกทั้งยังมีพลังกัดกร่อน มันแทบจะหลอมละลายเป็นเนื้อเดียวกับเส้นลมปราณหลายเส้นนั้น มิน่าโอวหยางเชี่ยนจึงไม่อาจขับมันออกไปได้จนหมด
“พี่หลิ่ว มีวิธีหรือไม่?” โอวหยางเชี่ยนเห็นหลิ่วหมิงไม่พูดจึงเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง
แม้โอวหยางฉินไม่พูด แต่เวลานี้นางก็มองหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่บ้างเช่นกัน
“ข้าอาจลองวิธีหนึ่งได้” หลังจากหลิ่วหมิงครุ่นคิดเล็กน้อยก็พลิกมือเรียกวงแหวนสีดำขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือวงหนึ่งออกมา มันก็คือวงแหวนสะกดมารวงนั้นที่แสดงผลงานโดดเด่นในศึกใหญ่กับมนุษย์ปีศาจที่ผสานร่างเมื่อครู่นั่นเอง
หลิ่วหมิงยังค้นประโยชน์ของวงแหวนนี้ไม่พบทั้งหมด แต่ของสิ่งนี้มีประโยชน์ในการดูดซับและกลืนกินไอปีศาจอย่างมาก จุดนี้เคยพิสูจน์มามากมายหลายครั้งแล้ว
“แม่นางฉิน ล่วงเกินแล้ว” หลิ่วหมิงกล่าวขออภัยก่อนครั้งหนึ่ง จากนั้นมือหนึ่งจับวงแหวนกลมไว้ ส่วนมืออีกข้างกุมมืองามที่เย็นอยู่บ้างของโอวหยางฉิน
บนใบหน้าซีดเผือดของโอวหยางฉินปรากฏริ้วสีแดงก่ำอยู่เลือนราง แต่ปากไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
หลิ่วหมิงไม่ได้สนใจสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปของสตรีนางนี้ เวลานี้เขากำลังถ่ายทอดพลังเวทเข้าไปในวงแหวนสีดำอย่างช้าๆ
วงแหวนสีดำราวกับหลุมไร้ก้น ไม่ว่ากรอกพลังเวทเข้าไปเท่าไรก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
หลิ่วหมิงคิ้วขมวด กลางหว่างคิ้วมีแสงเจิดจ้าสายหนึ่งพุ่งออกมาผสานเข้าไปในวงแหวนสีดำ จากนั้นวงแหวนกลมจึงมีลวดลายประหลาดตัวแล้วตัวเล่าทอแสงขึ้นมาอย่างเชื่องช้า แสงสีดำสนิทชั้นหนึ่งลอยออกมา
หลิ่วหมิงสัมผัสได้ถึงแรงดูดกลืนสายหนึ่งที่แผ่ออกมาจากวงแหวนกลมสีดำได้ในทันที เขาจึงเพ่งสมาธิชักนำพลังสายนี้มาไว้บนมือซ้าย
ใบหน้าของโอวหยางฉินฉับพลันเผยสีหน้าทุกข์ทรมานเล็กน้อยออกมา แขนที่ถูกหลิ่วหมิงจับไว้มีไอปีศาจสีดำสายหนึ่ง มันเพิ่งปรากฏออกมาก็หมุนคว้างถูกวงแหวนสีดำกลืนกินเข้าไปอย่างรวดเร็ว
โอวหยางเชี่ยนเห็นภาพตรงหน้า ใบหน้าก็เผยสีหน้าตกตะลึงระคนยินดี
ไม่นานนักไอปีศาจสายแล้วสายเล่าก็ถูกสูบออกจากร่างของโอวหยางฉินเข้าไปในวงแหวนสีดำจนหมด
เมื่อไอปีสาจสายสุดท้ายถูกวงแหวนสีดำดูดไป ในที่สุดปราณสีดำที่วนเวียนอยู่บนใบหน้าของโอวหยางฉินก็สลายหายไปหมดสิ้น แม้สีหน้ายังคงซีดเผือดอยู่บ้าง แต่ก็ฟื้นกลับมาเป็นปกติแล้ว
“เอาล่ะ ขับไอปีศาจออกหมดแล้ว แม่นางโอวหยางพักผ่อนสักพักก็น่าจะฟื้นตัวได้” หลิ่วหมิงปล่อยมือแล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ
“ขอบคุณพี่หลิ่วมาก!” ดวงหน้างามของโอวหยางฉินผงกศีรษะเล็กน้อยเอ่ยขอบคุณเสียงเบา
“แม่นางฉินไม่ต้องเอ่ยขอบคุณ ข้ารับปากแล้วว่าจะพยายามสุดกำลังปกป้องทั้งสองท่านให้ปลอดภัยในเศษซากแห่งโลกบนแห่งนี้ สิ่งเหล่านี้ล้วนสมควรทำ” หลิ่วหมิงยิ้มน้อยๆ แล้วไม่ได้เอ่ยอันใดมากอีก เดินไปนั่งที่มุมอีกข้างหนึ่งโดยไม่สนใจใคร
เขาพลิกมือข้างหนึ่งเล่นวงแหวนสีดำในมือ บนใบหน้าเผยสีหน้าตื่นเต้นยินดีออกมาจางๆ
จากการทดลองครั้งนี้ เขาพอจะเข้าใจประโยชน์อย่างอื่นของสมบัติชิ้นนี้ได้เลือนรางแล้ว
ไม่ต้องสงสัยสักนิดว่าวงแหวนชิ้นนี้เป็นสมบัติที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเอาชนะไอปีศาจโดยเฉพาะ ทว่าเขาเหมือนจะยังควบคุมไม่ได้ดั่งใจ
แต่เขาเชื่อว่าขอเพียงศึกษาเพิ่ม เขาจะต้องควบคุมสมบัติชิ้นนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบแน่นอน
ในใจหลิ่วหมิงคิดเช่นนี้ จากนั้นมือก็พลิกเก็บวงแหวนสีดำไป เขาเรียกโอสถจินหยวนเม็ดหนึ่งออกมากินจากนั้นเริ่มนั่งทำสมาธิโคจรปราณ
สามวันให้หลังบนภูเขาขนาดเล็กสูงสิบกว่าจั้งลูกหนึ่งใกล้ที่พักชั่วคราวของนิกายยอดบริสุทธิ์ ชายหนุ่มชุดสีทองผู้หนึ่งกับชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินผู้หนึ่งกำลังยืนเอามือไพล่หลังมองไปยังยอดเขาเตี้ยๆ ที่ทอดยาวไร้ขอบเขตไกลออกไป
ทั้งสองคนก็คือจินเทียนชื่อกับหลิ่วหมิง
“วิชาของศิษย์น้องหลิ่วตอนสู้ศึกใหญ่กับมนุษย์ปีศาจครานี้ทำให้ศิษย์พี่คนนี้ตกตะลึงยิ่งนักอีกครั้ง” จินเทียนชื่อเอ่ยขึ้นช้าๆ
“ศิษย์พี่จินชมเกินไปแล้ว ข้าก็เพียงโชคดีเท่านั้น หากไม่ได้ศิษย์พี่ทำร้ายมนุษย์ปีศาจผู้นั้นจนบาดเจ็บหนัก ข้าก็คงไม่มีโอกาสทำสำเร็จ ไม่ทราบว่าต่อไปศิษย์พี่วางแผนไว้อย่างไร?” หลิ่วหมิงส่ายศีรษะตอบ
“ศิษย์น้องหลิ่วถ่อมตัวยิ่งนัก! เจ้าก็คงค้นพบแล้วว่าตอนนี้เข้ามาในเศษซากแห่งโลกบนได้ไม่ถึงหนึ่งเดือนกว่า กลุ่มอำนาจใหญ่ต่างๆ ก็เริ่มเข่นฆ่ากันแล้ว มนุษย์ปีศาจแห่งแผ่นดินว่านหมัวเจ้าก็เคยพบแล้ว พวกเขาไม่เพียงพลังแข็งแกร่ง ร่างกายยังครอบครองไอปีศาจแท้ จัดการยากยิ่งนัก ศิษย์นิกายปีศาจลี้ลับเหล่านั้นด้อยกว่าไกลอย่างที่เทียบกันไม่ได้ ส่วนผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจที่พวกฉิวหลงจื่อพบ หากข้าเดาไม่ผิดก็น่าจะมาจากแผ่นดินหมานฮวง พรสวรรค์และพลังยอดเยี่ยมยิ่งนักเช่นกัน ยามนี้กำลังพลของพวกเราเสียหาย คงได้แต่ถอยทัพพักอยู่ที่นี่ชั่วคราว รอสักสิบวันครึ่งเดือนให้อาการบาดเจ็บของศิษย์ส่วนมากฟื้นตัวก่อนค่อยคิดการอย่างอื่น” จินเทียนชื่อถอนหายใจเอ่ยขึ้น
“ก็คงได้แต่ทำเช่นนี้แล้ว ยังดีที่ดูจากประสบการณ์ครั้งก่อน พวกเรายังอยู่ในเศษซากแห่งโลกบนได้อีกนาน เวลาเท่านี้ยังเสียไปได้” หลังจากหลิ่วหมิงฟังแล้วก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า
“ตอนนี้ยังไม่ต้องพูดถึงสิ่งเหล่านี้ ในเมื่อศิษย์น้องหลิ่วไม่เป็นอะไรมาก ช่วงเวลานี้ก็ไม่จำเป็นต้องพักไปพร้อมกับพวกเราที่นี่ แม้เทือกเขาแห่งนี้จะแลดูรกร้าง แต่มีสายแร่ของแร่ชนิดหนึ่งที่เรียกว่าแร่อุกกาบาตอยู่” จินเทียนชื่อฉับพลันเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เอ่ยขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มจางๆ
“แร่อุกกาบาตหรือ? ข้าไม่เคยได้ยินชื่อแร่ชนิดนี้มาก่อน ศิษย์พี่จินโปรดชี้แนะ” หลิ่วหมิงได้ยินก็งงงัน
“แร่อุกกาบาตเป็นวัตถุดิบที่มีประโยชน์อย่างยิ่งชนิดหนึ่งในการหลอมธงค่ายกลระดับสูงรวมถึงการวางค่ายกลจำนวนหนึ่ง หากในค่ายกลผสานวัตถุดิบนี้เข้าไปก็จะอาศัยพลังแห่งดวงดาราปริมาณหนึ่งมาเสริมส่งทำให้พลังของค่ายกลเพิ่มมากขึ้นได้ แร่อุกกาบาตเป็นทรัพยากรที่นิกายสายในขาดแคลนยิ่งนัก ได้ยินมาว่าช่วงก่อนหน้านี้ศิษย์น้องกวาดทำภารกิจบนป้ายประกาศลี้ลับ น่าจะเคยเห็นภารกิจที่เกี่ยวข้องกันอยู่บ้าง” จินเทียนชื่อดวงตาทอประกายเจิดจ้าแล้วเอ่ยออกมาพร้อมหัวเราะเบาๆ
หลิ่วหมิงฟังแล้วก็นึกขึ้นได้ ก่อนหน้านี้ตนเคยเห็นภารกิจตามหาสายแร่อยู่บนป้ายประกาศลี้ลับจริงๆ นอกจากนี้หินแร่ที่ขาดแคลนจำนวนหนึ่งก็แลกแต้มคุณูปการได้ยังค่อนข้างมาก หลายแสนไปจนถึงล้านแต้มล้วนมีทั้งสิ้น แต่ติดปัญหาอยู่ที่สายแร่เหล่านี้หาร่องรอยยากอย่างที่สุด อีกทั้งนิกายสายในยังไม่มีข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้ เขาคาดว่าค่อนข้างจะเปลืองเวลา จึงทำเพียงสอบถามนิดหน่อยแล้วตัดสินใจเลิกสนใจภารกิจจำพวกนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่เคยศึกษาอย่างละเอียด
“แร่ชนิดนี้ค่อนข้างหายาก เพราะข้ามีสัมผัสที่เฉียบไวต่อพลังแห่งแสงดาวจึงสัมผัสได้ว่ามีแร่ชนิดนี้อยู่ใกล้ๆ เพียงแต่ไม่รู้ตำแหน่งที่แม่นยำของมัน คนที่เคลื่อนไหวตามลำพังได้ในกลุ่มตอนนี้มีไม่มาก ยามนี้ข้าไม่อาจแยกร่างได้ หากศิษย์น้องหลิ่วยินดีไปค้นหา ยามแลกเปลี่ยนเป็นแต้มคุณูปการกับนิกายน่าจะได้มาจำนวนไม่น้อย” จินเทียนชื่อยื่นข้อเสนอให้หลิ่วหมิงด้วยใบหน้านิ่งสงบ
“ในเมื่อศิษย์พี่จินเป็นฝ่ายชี้แนะ ศิษย์น้องย่อมไม่ปล่อยเรื่องดีเช่นนี้ไป ข้าจะเดินทางไปสักเที่ยวแล้วกัน” หลิ่วหมิงใคร่ครวญเล็กน้อยก็ไม่รู้สึกว่ามีปัญหาประการใดจึงตกลงในทันที
“ดียิ่ง แผ่นค่ายกลนี้น่าจะสัมผัสที่ตั้งของหินแร่ล้ำค่าจำนวนหนึ่งได้ ศิษย์น้องเอาไปใช้ก่อนเถิด แต่จงจำไว้ว่าหากพบศัตรูที่แข็งแกร่งอย่าปะทะตรงๆ” จินเทียนชื่อขยับนิ้วเบาๆ เรียกแผ่นค่ายกลสีเงินอ่อนแผ่นหนึ่งออกมา มันหมุนติ้วกลางอากาศแล้วร่วงลงบนมือของหลิ่วหมิง
“ศิษย์พี่จินวางใจ ศิษย์น้องเข้าใจผลดีผลร้ายในเรื่องนี้ดี” หลิ่วหมิงพยักหน้ารับแผ่นค่ายกลมาจากนั้นเอ่ยอย่างจริงจัง
“มีศิษย์น้องหลิ่วออกโรง ข้าก็วางใจแล้ว ศิษย์น้องพยายามรีบไปรีบกลับเถิด หากพบเรื่องไม่คาดฝันอันใดให้กลับมาทันที ไม่ได้มาก็ไม่เป็นไร พยายามรักษาตนเองให้ปลอดภัยไว้ก่อน” จินเทียนชื่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย
หลิ่วหมิงย่อมรับปากเต็มปากเต็มคำ ร่างกายขยับกลายเป็นแสงสีดำสายหนึ่งแหวกท้องฟ้าจากไปไกลทันที
จินเทียนชื่อยืนอยู่ที่เดิมมองลำแสงของหลิ่วหมิงมุ่งไปไกล สองตาหรี่ลงเล็กน้อยไม่รู้ว่าคิดสิ่งใดอยู่
“ศิษย์พี่จิน ท่านจะวางใจปล่อยศิษย์น้องหลิ่วให้เดินทางตามลำพังจริงหรือ ไม่กลัวเขาพบกับผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจแห่งแผ่นดินหมานฮวงเหล่านั้นรึ?” ทันใดนั้นด้านหลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งใกล้ๆ ก็มีเสียงถอนหายใจดังขึ้น จากนั้นเงาคนร่างหนึ่งก็ขยับไหว ฉิวหลงจื่อผู้สะพายกระบี่ยาวไว้บนหลังเดินออกมา
“ฮ่ะๆ หากกระทั่งผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจกลุ่มหนึ่งยังจัดการไม่ได้ หลังจากนี้ศิษย์น้องหลิ่วจะกลายเป็นศิษย์ลับของนิกายเราได้อย่างไร” จินเทียนชื่อเอ่ยทั้งที่ไม่หันหน้ากลับมา เหมือนกับไม่รู้สึกผิดคาดแม้แต่น้อย
“นี่ก็ใช่ หากไม่ใช่เพราะตอนนั้นลูกกลอนกระบี่ของศิษย์พี่ถูกทำลายอย่างคาดไม่ถึง หลังจากนั้นถูกศัตรูที่แข็งแกร่งมากมายลอบเล่นงานล้อมโจมตีทำให้พลังร่วงหล่นจากระดับดาราพยากรณ์มาเป็นปุถุชนจนต้องฝึกฝนใหม่อีกครั้ง แค่มนุษย์ปีศาจระดับดาราพยากรณ์คนเดียวจะอยู่ในสายตาของศิษย์พี่ได้อย่างไร จินเลี่ยหยางแห่งนิกายยอดบริสุทธิ์ในยามนั้นคืออันดับหนึ่งของศิษย์ลับ ในยามนั้นมีใครไม่รู้บ้าง” ฉิวหลงจื่อได้ยินก็ถอนหายใจเอ่ยขึ้นมา