ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 939 ชุดเกราะจักรกล
ได้ยินเยี่ยโจ่งบอกเช่นนี้ ไม่ว่าจะมองอย่างไร การเข้าไปในร่างอสูรยักษ์ค้นหาเตาหล่อหลอมจิตวิญญาณก็เป็นงานที่อันตรายยิ่งนัก
“ทุกท่านไม่จำเป็นต้องกังวลนัก แม้อสูรตัวนี้ภายนอกจะทนทานประหนึ่งหินผา แต่ภายในร่างย่อมไม่มีทางเป็นเช่นนั้น ขอเพียงค้นหาเตาหล่อหลอมจิตวิญญาณได้ทันเวลาแล้วส่งการโจมตีจากภายในร่างอสูรยักษ์ตัวนั้น ข้าไม่เชื่อว่ามันจะไม่เจ็บปวดอย่างที่สุดจนอ้าปากอีกครั้ง” เวินเจิงที่เงียบมาตลอดฉับพลันเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเย็นชา
“ศิษย์น้องเวินพูดไม่ผิด อีกอย่างเกรงว่าคงไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้แล้ว” จินเทียนชื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยอย่างเชื่องช้า
แม้การเดินทางครั้งนี้จำเป็นต้องเสี่ยงอันตรายอยู่บ้าง แต่ทุกคนในที่นี้ล้วนเข้าใจหลักการที่ว่าไม่เข้าถ้ำเสือไหนเลยจะได้ลูกเสือ
“ไม่ปิดบังทุกท่าน ในเมื่อนิกายของเราพกชุดเกราะสองชุดนั่นเข้ามาในเศษซากแห่งโลกบน ความจริงก็หมายความว่าเลือกวิธีนี้เป็นหนึ่งในตัวเลือกสุดท้ายแล้ว เมื่อพวกพี่จินเห็นว่าเป็นไปได้เช่นกัน ถ้าเช่นนั้นก็เลือกวิธีนี้เถิด” เยี่ยโจ่งส่งกระแสจิตหารือกับศิษย์นิกายเทียนกงคนอื่นพักหนึ่งแล้วก็เอ่ยขึ้นเช่นนี้
“ดีมาก ถึงเวลาพวกเราแบ่งงานร่วมมือกัน ให้ศิษย์นิกายท่านห้าคนควบคุมหุ่นห้าธาตุชุดนี้ตั้งค่ายกลกักขังชั้นจำกัด สหายเยี่ย ศิษย์น้องเวินกับข้ารับผิดชอบโจมตีอสูรตัวนี้ดึงความสนใจของมัน ศิษย์น้องหลิ่ว ศิษย์น้องหลัว พวกเจ้าสองคนเข้าไปในร่างอสูรตัวนี้ค้นหาเตาหล่อหลอมจิตวิญญาณ”
จินเทียนชื่อวางแผนทั้งหมดอย่างรวดเร็วบอกกับทุกคน
หลังจากหลิ่วหมิงครุ่นคิดเล็กน้อยก็พยักหน้า หลัวเทียนเฉิงก็เผยสีหน้ากระเหี้ยนกระหือรือออกมาและตกปากรับคำทันทีอย่างไม่คิดแม้แต่นิด
ศิษย์นิกายเทียนกงคนอื่นเห็นว่าตนไม่ต้องเสี่ยงอันตรายเข้าไปในร่างของอสูรยักษ์ย่อมไม่พูดอันใดเช่นกัน
“ศิษย์พี่จิน ข้าเชี่ยวชาญวิชาสาปสังหาร อยู่ภายในร่างของอสูรตัวนี้จะสำแดงพลังได้มากกว่า ข้าสามารถเข้าไปในร่างอสูรตัวนี้ค้นหาเตาหลอมล้ำค่าด้วยได้หรือไม่?” เวินเจิงเลิกคิ้วเรียวแล้วเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าไม่ยินยอมอยู่บ้าง
“ศิษย์น้องเวิน วิชาคำสาปของเจ้าทรงพลังมากยิ่งนัก การดึงรั้งอสูรตัวนี้ด้านนอกขาดเจ้าไปไม่ได้ แต่ศิษย์น้องหลิ่วกับศิษย์น้องหลัวกายเนื้อแข็งแกร่งอย่างยิ่ง เข้าไปข้างในจึงเหมาะสมกว่า” จินเทียนชื่อเอ่ยอย่างนิ่งสงบ
เวินเจิงฟังแล้วก็เหล่มองหลิ่วหมิงกับหลัวเทียนเฉิงครั้งหนึ่งแล้วไม่พูดอะไรเพิ่มอีก
จากนั้นคณะเดินทางก็ปรึกษารายละเอียดของแผนการ จากนั้นเหาะรวดเร็วไปทางตะวันออกตามการนำทางของเยี่ยโจ่งเป็นเวลาสองวันเต็ม หลังจากข้ามเขาหิมะที่ทอดยาวแถบใหญ่ก็โผล่มาที่ชายป่าอันไร้ขอบเขตผืนหนึ่ง
ทุกคนทยอยหยุดอยู่บนท้องฟ้าเหนือยอดเขาแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากป่าหลายสิบลี้
เมื่อทอดสายตามองไปก็เห็นป่าผืนนี้เบื้องหน้าเป็นสีน้ำตาล ไม่รู้ว่าเหตุใดมองไปแล้วต้นไม้แต่ละต้นจึงโล่งเตียน บนนั้นมีใบไม้สีเหลืองหน้าตาประหลาดจำนวนหนึ่งติดอยู่หรอมแหรม ส่วนด้านตะวันออกเฉียงใต้ของป่ามีภูเขาดินสีน้ำตาลหม่นกินพื้นที่ราวหลายสิบหมู่นูนขึ้นมาจากพื้นราบ
ภูเขาดินทั้งลูกสภาพไม่เป็นระเบียบ บนตัวภูเขาเป็นหลุมเป็นบ่อนูนเว้าไม่เรียบ ตรงสันเขามีเสาศิลานูนขึ้นมาต้นแล้วต้นเล่าเรียงเป็นแถวอย่างเป็นระเบียบ รอบภูเขาดินเต็มไปด้วยหมอกสีเทาจางๆ ชั้นหนึ่งทำให้ภูเขาดินทั้งลูกแลดูพร่ามัว เพิ่มบรรยากาศลึกลับให้สถานที่แห่งนี้หลายส่วน
ดวงตาของหลิ่วหมิงจับจ้องอยู่ที่ภูเขาดินลูกนั้นนานแล้ว แม้ไอหมอกสีเทาด้านบนไม่ได้แผ่คลื่นพลังจิตวิญญาณออกมาแต่มันกลับทำให้เขารู้สึกประหลาดลึกล้ำไม่อาจหยั่งบางประการ สีหน้าเขาเปลี่ยนไปทันที
“เจ้านั่น คงจะเป็นอสูรยักษ์ป่าเถื่อนที่สหายเยี่ยพูดถึงกระมัง” ดวงตาจินเทียนชื่อทอแสงดาวสีขาวชั้นหนึ่งออกมากวาดผ่านป่าที่อยู่ไกลๆ ท้ายที่สุดสายตาก็จับจ้องอยู่บนภูเขาดินลูกนั้นแล้วเอ่ยถามขึ้นกะทันหัน
“ศิษย์พี่จินตาดีดุจคบไฟ จากคำบรรยายในบันทึกของนิกาย น่าจะเป็นอสูรตัวนี้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ดูจากสภาพแล้ววันนี้อสูรตัวนี้คงกำลังหลับอยู่ หลังจากนี้ตอนพวกเราขยับเข้าใกล้จำต้องเก็บปราณทั่วร่างให้ได้มากที่สุด อสูรตัวนี้ไวต่อคลื่นพลังเวทยิ่งนัก การเคลื่อนไหวรุนแรงเพียงเล็กน้อย ก็ทำให้มันตกใจตื่นได้แล้ว” หลังจากเยี่ยโจ่งเพ่งมองภูเขาดินลูกนั้นอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หลัวเทียนเฉิงกับเวินเจิงได้ยิน ใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ พวกเขามองสำรวจ “ภูเขาดิน” ลูกนั้นอย่างละเอียดบ้าง
หลังจากทุกคนสังเกตอยู่อีกพักหนึ่ง เยี่ยโจ่งถึงเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง
“ทุกสิ่งให้ดำเนินไปตามแผนที่วางไว้ก่อนหน้านี้ แต่มีจุดหนึ่งที่ต้องระวัง ในเมื่อข่าวการมาเอาสมบัติครั้งนี้รั่วออกไปแล้ว ก็เป็นไปได้อย่างมากว่าคนของกลุ่มอำนาจอื่นจะมาถึงแถวนี้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนของเผ่าปีศาจน่าจะหมายตาอสูรตัวนี้อยู่เช่นกัน จงระวังให้มาก”
ทุกคนได้ยินก็มีสีหน้าหวาดหวั่นแล้วพากันพยักหน้า
“นี่คือชุดเกราะจักรกลเต็มตัวสองชุด แค่ต้องกรอกพลังเวทเข้าไปด้านในก็ใช้ได้แล้ว แต่แนะนำให้พี่หลิ่วกับพี่หลัวสวมมันตรงนี้ปรับตัวสักหน่อยจะดีกว่า แล้วก็ยังมีมุกกลมสองเม็ดนี้อีก พวกมันคือมุกระบุตำแหน่ง สามารถสัมผัสตำแหน่งที่แน่ชัดของเตาหลอมชิ้นนี้ได้อย่างแม่นยำในขอบเขตร้อยจั้ง” เยี่ยโจ่งแบ่งกระบอกโลหะสีดำสองกระบอกกับมุกกลมสีทองอร่ามสองเม็ดให้หลิ่วหมิงและหลัวเทียนเฉิง หลังจากอธิบายกับทั้งสองคนคร่าวๆ รอบหนึ่งก็พาศิษย์นิกายเทียนคงอีกหกคนที่เหลือเดินไปยังกองหินระเกะระกะด้านข้างบอกว่าจะเตรียมตัวหารือเรื่องการวางค่ายกลห้าธาตุสักหน่อย
หลิ่วหมิงกำกระบอกโลหะสีดำด้วยมือข้างเดียว หลังจากกะน้ำหนักดูเล็กน้อย เขาก็รู้สึกว่าหนักอยู่บ้าง
ชุดเกราะจักรกลชุดนี้หนักไม่แพ้มุกพลังวารีลูกหนึ่งสักนิด ผู้ฝึกฝนที่กายเนื้อไม่แข็งแกร่งพอ หากสวมชุดเกราะที่หนักเช่นนี้เข้าไป หากไม่ใช้พลังเวทกระทั่งก้าวเดินก็คงทำไม่ได้
เขาครุ่นคิดเช่นนี้แล้วเงยหน้ามองหลัวเทียนเฉิง เขาเหมือนจะค่อนข้างสนใจชุดเกราะของนิกายเทียนกงชุดนี้ กำลังก้มหน้าดูแล้วดูอีกไม่หยุดเช่นเดียวกัน
จินเทียนชื่อมองจนพวกเยี่ยโจ่งเดินเข้าไปในกองหินระเกะระกะแล้วจึงสะบัดแขนเสื้อ ธงค่ายกลขนาดเล็กสีเหลืองอ่อนเจ็ดแปดผืนทอแสงจิตวิญญาณพุ่งรวดเร็วไปสี่ด้านแปดทิศทยอยปักลงบนพื้นดินล้อมเป็นรูปสี่เหลี่ยม
จากนั้นเขาก็ท่องมนตร์แล้วยกมือขึ้น แสงเปลวเพลิงสีขาวหลายเส้นพุ่งเข้าไปในธงค่ายกลรอบด้านในพริบตา ธงค่ายกลทอแสงจิตวิญญาณวูบหนึ่งแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ครู่ต่อมาค่ายกลสีขาวจางๆ ค่ายกลหนึ่งก็ลอยออกมาล้อมทั้งสี่คนไว้ด้านใน
“นี่คือค่ายกลกักพลังจิตวิญญาณ ขอเพียงอยู่ในเขตของค่ายกลนี้ คลื่นพลังเวททั้งหมดจะไม่ส่งไปด้านนอก ศิษย์น้องหลิ่วกับศิษย์น้องหลัวทำความคุ้ยเคยกับชุดเกราะจักรกลนี่สักหน่อยเถอะ ไม่ต้องกังวลว่าจะปลุกอสูรยักษ์ตัวนั้น” จินเทียนชื่อเอ่ยเช่นนนี้
พวกหลิ่วหมิงย่อมเอ่ยขอบคุณ
“ที่นี่มีแต่พวกเราสี่คน ข้าจะพูดตามตรง ตอนที่ไปเอาสมบัติ ศิษย์น้องหลิ่ว ศิษย์น้องหลัวต้องระวังให้มาก แม้คนของนิกายเทียนกงจะบอกว่าอสูรยักษ์ตัวนั้นด้อยสติปัญญา เพียงแค่หนังหยาบเนื้อหนาเท่านั้น แต่อย่างไรอสูรตัวนี้ก็อยู่มาอย่างน้อยหลายหมื่นปี ใครก็ไม่รู้รายละเอียดแน่ชัดว่าสภาพมันเป็นอย่างไร พวกเจ้าหาโอกาสเข้าไปในร่างมันได้เป็นดีที่สุด แต่หากทำไม่ได้จริงๆ ก็ไม่ต้องฝืน เอาชีวิตตนเองเป็นสำคัญ” จินเทียนชื่อเอ่ยกำชับอย่างจริงจัง
“ขอบคุณศิษย์พี่จินยิ่งที่เตือน!” หลัวเทียนเฉิงประสานหมัดเอ่ยขึ้นทันที
“เรื่องนี้แน่นอน!” หลิ่วหมิงพยักหน้าเช่นกัน
“แล้วก็อีกเรื่องหนึ่ง การไปเอาเตาหล่อหลอมจิตวิญญาณครั้งนี้ งานที่ศิษย์น้องหลิ่วกับศิษย์น้องหลัวทำค่อนข้างอันตราย หากเอาเตาหล่อหลอมจิตวิญญาณมาได้สำเร็จ ของตอบแทนที่นิกายเทียนกงมอบให้ ศิษย์น้องทั้งสองแต่ละคนจะได้สามส่วน ข้ากับศิษย์น้องเวินได้คนละสองส่วน” หลังจากจินเทียนชื่อคิดครู่หนึ่งก็เอ่ยต่อ
หลิ่วหมิงกับหลัวเทียนเฉิงสบตากันครั้งหนึ่ง แต่ละคนต่างพยักหน้า เวินเจิงที่อยู่ด้านข้างท่าทางเหมือนไม่ยินยอมอยู่บ้าง แต่เห็นสามคนที่เหลือล้วนตกลงแล้วจึงไม่ได้พูดอะไรมาก
“ถ้าเช่นนั้นก็ดี พวกเจ้าสองคนทำความคุ้นเคยกับชุดเกราะนี่สักหน่อยเถอะ ศิษย์น้องเวิน เจ้ากับข้าไปสำรวจสภาพรอบๆ กันสักหน่อย ดูสิว่ามีกลุ่มอำนาจนิกายอื่นซ่อนตัวอยู่บริเวณนี้แล้วหรือไม่” จินเทียนชื่อกำชับพวกหลิ่วหมิงหลายประโยคแล้วเหาะออกจากค่ายกลกักพลังจิตวิญญาณไปกับเวินเจิง
ทันทีที่ทั้งสองคนจากไป หลัวเทียนเชิงก็กวาดสายตามองหลิ่วหมิงอย่างเย็นชาแล้วเดินไปนั่งลงอีกด้านหนึ่งของค่ายกลกักพลังจิตวิญญาณ
หลิ่วหมิงยิ้มน้อยๆ แล้วสนใจแต่ศึกษาชุดเกราะจักรกลในมือเช่นกัน
ในเวลาเดียวกันที่กองหินระเกะระกะด้านข้างไม่ไกล รอบตัวเยี่ยโจ่งกับศิษย์นิกายเทียนกงคนอื่นก็มีชั้นจำกัดกั้นเสียงสีเหลืองขมุกขมัวชั้นหนึ่งล้อมอยู่ด้วย พวกเขาจงใจหลบเลี่ยงคนของนิกายยอดบริสุทธิ์เพื่อลอบหารือเช่นเดียวกัน
“อาจารย์อาเล็ก ข้าทำตามที่ท่านสั่งแล้ว ตอนเข้ามาที่นี่ข้าลอบใช้ยันต์ตอบสนองของนิกาย ตอนนี้ยืนยันได้ว่านอกจากพวกเราแล้วไม่มีใครอื่นอยู่ใกล้บริเวณร้อยลี้ของอสูรยักษ์” ศิษย์ร่างกำยำที่หน้าตาซื่อบื้อคนหนึ่งในนั้นเอ่ยกับเยี่ยโจ่งอย่างเคารพ
“ถ้าเช่นนั้นก็ดี!” เยี่ยโจ่งได้ยินสีหน้าก็ผ่อนคลายลง
“อาจารย์อาเล็ก ท่านว่าพวกคนที่นิกายยอดบริสุทธิ์ส่งมานี่จะพึ่งได้หรือไม่? อย่างไรเมื่อค่ายกลหุ่นห้าธาตุนี้ถูกใช้งานย่อมเกิดความเคลื่อนไหวไม่น้อย หากผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจพวกนั้นมาหาถึงที่ พวกเราถูกศัตรูกระหน่ำหน้าหลังเกรงว่าคงจะต้านไว้ไม่ไหว…” ศิษย์ที่หูแหลมคางยื่นอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างกังวล
“จากที่ศิษย์พี่จ้าวบอก จินเทียนชื่อผู้นำคณะครั้งนี้ของนิกายยอดบริสุทธิ์เป็นคนที่มีความเป็นมาใหญ่โต พลังลึกล้ำหยั่งไม่ถึง พวกเราเพียงรับผิดชอบทำงานของตนเองให้ดีก็พอ ส่วนเรื่องอื่นต้องแล้วแต่ลิขิตฟ้า อีกอย่างสามคนที่เขาพามา พลังของหลิ่วหมิงก็แข็งแกร่งอย่างที่สุดเช่นกัน ตอนนั้นเขาแสดงความสามารถอันโดดเด่นในงานชุมนุมประตูสวรรค์ ส่วนหลัวเทียนเฉิงข้าก็เคยเห็นการต่อสู้ของเขากับตาตนเอง แม้พลังเพียงระดับผลึกขั้นกลาง แต่เขาครอบครองร่างจิตวิญญาณตูเทียนในตำนาน พลังทัดเทียมระดับแก่นแท้ ดังนั้นกล่าวโดยรวมแล้วพวกเรามั่นใจกับการมาเอาสมบัติครั้งนี้ได้ไม่น้อย” เยี่ยโจ่งอธิบายกับทุกคนช้าๆ
ศิษย์ของนิกายเทียนกงทั้งหลายได้ฟังคำอธิบายนี้ก็โล่งอกขึ้นมาก
จะว่าไปแล้วหลังจากศิษย์นิกายเทียนกงเหล่านี้เข้ามาในเศษซากของโลกบน ไม่นานก็พบการลอบจู่โจมจากมนุษย์ปีศาจและเผ่าปีศาจตามต่อกัน สูญเสียกำลังพลไปแต่สิ่งที่หามาได้น้อยยิ่งกว่าน้อย สมบัติล้ำค่าสักชิ้นก็ยังไม่ได้มา หากได้เตาหล่อหลอมจิตวิญญาณชิ้นนี้มาเข้ากระเป๋า ถ้าเช่นนั้นการเดินทางมายังเศษซากแห่งโลกบนครั้งนี้ก็นับว่าไม่เสียเปล่า หลังกลับไปนิกายคงได้รางวัลก้อนโต
ในค่ายกลกักพลังจิตวิญญาณอีกด้านหนึ่งหลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิปล่อยจิตสัมผัสออกไปศึกษากระบอกโลหะสีดำอย่างละเอียด
กระบอกนี้มีขนาดแค่ค่อนฝ่ามือเท่านั้น ผิวเรียบลื่นอย่างยิ่ง ด้านในมีหินผลึกสีดำก้อนแล้วก้อนเล่าที่ทอแสงสีดำเรืองๆ ฝังไขว้ตัดกันอยู่
หลิ่วหมิงเคยเห็นวิชาหุ่นของนิกายเทียนกงมาไม่น้อย ตั้งแต่หุ่นสี่ทิศ หุ่นมนุษย์ทองแดงยักษ์ที่เผิงเยวี่ยควบคุมไปจนถึงหุ่นมนุษย์ หุ่นพลังจิตวิญญาณในมือของชิงหลิงที่ทะเลทรายกุ่ยโม่เป็นต้น ไม่มีตัวไหนที่ฝีมือการประดิษฐ์ไม่ล้ำเลิศจนทำให้คนยากจะจินตนาการ
การสร้างชุดเกราะจักรกลกับการสร้างหุ่นแม้แตกต่างแต่ยอดเยี่ยมเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ในเมื่อเป็นสิ่งที่นิกายเทียนกงออกแบบเป็นพิเศษย่อมไม่มีทางเป็นของธรรมดา
จะว่าไปแล้วเขาก็ไม่นับว่าไม่คุ้นกับชุดเกราะจักรกล ตั้งแต่ที่เขาเป็นศิษย์จิตวิญญาณคนหนึ่งบนแผ่นดินอวิ๋นชวนเขาก็เคยเห็นมันมาก่อนแล้ว
หลังจากหลิ่วหมิงครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้ เขาก็ทำตามที่เยี่ยโจ่งว่าทดลองเคลื่อนพลังเวทในร่างรวมไปที่ปลายนิ้วอย่างเชื่องช้าแล้วจิ้มเบาๆ ไปบนกระบอกโลหะ