ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 941 ค่ายกลหุ่นเทพห้าธาตุ
เสียง “เปรี้ยง” ดังสนั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดินครั้งหนึ่ง
สี่เท้าของอสูรยักษ์ที่รูปร่างเหมือนเต่ากระทืบลงบนเกราะแสงห้าสีในพริบตา กำแพงเกราะทั้งหมดสั่นไหวอย่างรุนแรงในทันที แสงรัศมีห้าสีที่เกี่ยวกระหวัดกันกะพริบวูบวาบท่าทางคลอนแคลนเหมือนจะถล่ม
ร่างกายมโหฬารของอสูรยักษ์ถูกพลังมหาศาลสายหนึ่งกระแทกกลับไปทันที ร่างกายมหึมาลากไปบนพื้นเกิดเป็นร่องลึกเส้นหนึ่ง
หลังจากอสูรยักษ์ตั้งหลักได้ มันก็สะบัดศีรษะมหึมาสองครั้งเหมือนมึนงงอยู่บ้างเพราะถูกกระแทก
พริบตาที่อสูรยักษ์พุ่งชน ร่างกายของศิษย์นิกายเทียนกงห้าคนรอบด้านก็สั่นสะท้านเล็กน้อยเช่นเดียวกัน พวกเขารีบสะบัดธงค่ายกลในมือ ยิงเคล็ดวิชาสายแล้วสายเล่าจมลงไปในค่ายกลใต้เท้าอีกครั้ง เกราะแสงห้าสีจึงมั่นคงขึ้นบ้าง
“อาศัยจังหวะตอนนี้แหละ!” เยี่ยโจ่งที่ลอยอยู่กลางท้องฟ้าตะโกนเสียงดัง ปากท่องเคล็ดวิชาหลายประโยคแล้วอ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์คำหนึ่งลงบนแผ่นค่ายกลห้าสีที่กำลังหมุนวนอย่างเร็วไวอยู่
แผ่นค่ายกลห้าสีฉับพลันระเบิดแสงรัศมีแล้วส่งเสียงสั่นสะเทือนดังอื้ออึงออกมาพักหนึ่ง คลื่นปราณจิตวิญญาณรุนแรงรวมตัวจากสี่ด้านแปดทิศก่อตัวเป็นพายุหมุนพลังจิตวิญญาณขนาดมหึมาลูกหนึ่ง ชักนำให้ท้องนภาทั้งผืนสั่นไหวอย่างรุนแรง แม้หลิ่วหมิงจะยืนอยู่ไกลออกไปก็ยังสัมผัสได้ว่าอากาศเบื้องหน้าสั่นไหว
ศิษย์นิกายเทียนกงห้าคนที่อยู่รอบด้านยกมือขึ้นทันที ธงค่ายกลในมือมีแสงจิตวิญญาณเส้นหนาเส้นหนึ่งพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว
ม่านแสงห้าสีเปล่งแสงรัศมีเจิดจ้า ยันต์บนม่านแสงเริ่มกะพริบวูบวาบรัวเร็ว
เสียง “ปัง” ดังขึ้นครั้งหนึ่ง!
ม่านแสงห้าสีรูปครึ่งวงกลมทั้งหมดก็พังทลายกลายเป็นประกายแสงแวววาว ทว่าครู่ต่อมาประกายแสงทั้งหมดกลับผนึกตัวรวมกันกลายเป็นแถบแสงห้าสีแถบแล้วแถบเล่าพาดสลับถักทอกันเหมือนตาข่ายยักษ์พันธนาการร่างกายของอสูรยักษ์ไว้อย่างแน่นหนา
อสูรยักษ์เพิ่งตระหนักได้ว่าสถานการณ์ท่าจะไม่ดีแล้ว กระดูกแหลมที่เหมือนเสาศิลาหลายสิบแท่งบนแผ่นหลังมีไอหมอกสีเทาแถบใหญ่ผุดออกมาในทันใด ร่างกายมโหฬารดิ้นรนอย่างรุนแรงจนพื้นดินใกล้ๆ สั่นสะเทือนรุนแรงดังครืดคราด
แม้แถบแสงที่เกิดจากชั้นจำกัดจะเป็นเส้นเรียวเล็กอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับขนาดร่างของอสูรยักษ์ แต่มันทนทานเหนือกว่าที่ผู้คนคาดคิด ไม่ว่าอสูรยักษ์จะขยับดิ้นรนอย่างไร มันก็ยังพันธนาการอสูรไว้กับที่อย่างแน่นหนา
ในเวลาเดียวกันหุ่นธาตุห้าตัวในค่ายกลที่เดิมทีสูงไม่กี่สิบจั้งก็มียันต์ที่เป็นสัญลักษณ์ของห้าธาตุก่อตัวขึ้นกลางหน้าอก จากนั้นร่างกายก็เริ่มขยายขนาดขึ้นทีละนิดอีกครั้ง พร้อมกับที่เยี่ยโจ่งและศิษย์นิกายเทียนกงอีกห้าคนขยับอย่างต่อเนื่อง
สองสามลมหายใจหลังจากนั้น หุ่นทั้งห้าตัวก็ขยายใหญ่จนสูงร้อยจั้ง รอบร่างส่องแสงเจิดจ้าสีแดง เหลือง ฟ้า เขียว ทองห้าสีไม่หยุด
ครู่ต่อมาศิษย์นิกายเทียนกงห้าคนก็ทำท่าเคล็ดวิชาอย่างพร้อมเพรียงแล้วยิงยันต์ตัวหนึ่งลงบนร่างหุ่นยักษ์
หุ่นขนาดยักษ์สีฟ้าตัวที่อยู่ใกล้หลิ่วหมิงกับหลัวเทียนเฉิงที่สุดร้องคำราม ยันต์รูปร่างเหมือนหยดน้ำตรงหน้าอกกะพริบวูบวาบไม่กี่ครั้ง เสาแสงสีฟ้าหนาเท่าถังน้ำสี่เส้นก็พุ่งออกมาตามต่อกัน พุ่งเข้าใส่หุ่นสี่ตัวที่เหลืออย่างรวดเร็ว
ในเวลาเดียวกันหุ่นตัวอื่นก็เคลื่อนไหวแบบเดียวกัน ลำแสงต่างสีสันพุ่งออกมาจากตัวพวกมันด้วย
ชั่วพริบตาค่ายกลแสงรูปดาวห้าแฉกที่ตัดกันไปมาค่ายกลหนึ่งก็ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วยิ่งนัก มันส่องสว่างขึ้นอีกครั้งแล้วพาแสงจิตวิญญาณห้าสีร่วงลงมาขังอสูรยักษ์รูปร่างเหมือนเต่าไว้ด้านในทั้งตัว
ม่านแสงห้าสีกับค่ายกลแสงห้าแฉกแสดงพลังของชั้นจำกัดสองชั้นออกมาพร้อมกัน กำราบอสูรยักษ์ให้มันฟุบหมอบลงไปกับพื้นได้ทันที
สองตามหึมาของอสูรยักษ์ฉายแววตระหนกลนลานออกมาเล็กน้อย มันอ้าปากพ่นกระแสลมสีดำเหลือบม่วงมากมายเข้าใส่หุ่นสีแดงที่อยู่ตรงกันข้ามมันทันที พลังดุดันจนทำให้คนที่ล้อมอยู่หวาดหวั่นอยู่ในใจ!
แม้อสูรยักษ์ตัวนี้จะสติปัญญาต่ำเตี้ยมากขนาดไหน เวลานี้มันก็เข้าใจว่าหุ่นห้าตัวนี้รอบร่างคือกุญแจสำคัญของค่ายกลนี้ ขอเพียงทำลายได้สักตัว ตนย่อมเป็นอิสระ
พวกเยี่ยโจ่งย่อมไม่มีทางให้มันได้สมหวัง พวกเขาตวาดเบาๆ อย่างพร้อมเพรียงอีกหนและตั้งท่าเคล็ดวิชาในเวลาเดียวกันอีกครั้ง!
ขณะที่กระแสลมสีดำเหลือบม่วงอยู่ห่างจากหุ่นนักรบสิบกว่าจั้ง ใต้เท้ามันก็พลันมีแสงเรืองรองห้าสีแถบใหญ่พุ่งออกมาโถมเข้าใส่กระแสลมสีดำ
กระแสลมสีดำเหลืองม่วงส่วนหนึ่งถูกแสงเรืองรองห้าสีพุ่งชนจนทยอยพังทลายหายไป แต่ก็มีส่วนหนึ่งสะท้อนย้อนกลับมา
เสียงเปรี๊ยะดังอลหม่านขึ้นพักหนึ่ง!
กระแสลมสีดำเหลือบม่วงเหล่านี้ทยอยฟาดลงบนส่วนหัว ลำตัวและขาทั้งสี่ข้างของอสูรยักษ์จนร่างของมันสั่นสะท้าน แม้ไม่ทิ้งร่องรอยไว้บนผิว แต่มันก็เจ็บปวดจนไม่กล้าพ่นลมหายใจออกมาอีก
“ค่ายกลหุ่นเทพห้าธาตุไม่ธรรมดาจริงๆ! ตอนนี้ถึงตาพวกเราลงมือแล้ว ศิษย์น้องหยวน ศิษย์น้องเวินพวกเจ้าสองคนรับผิดชอบโจมตีสองฝั่งของหัวอสูรตัวนี้อย่างเต็มกำลัง ข้าจะรับผิดชอบโจมตีด้านหน้า ศิษย์น้องหลิ่ว ศิษย์น้องหลัว พวกเจ้าสองคนอยู่ด้านข้างรอจังหวะลงมือ หากอสูรยักษ์ตัวนี้เจ็บปวดจนอ้าปากก็พุ่งเข้าไปได้ทันที” จินเทียนชื่อเห็นเช่นนี้ก็หันมาสั่งทุกคน
ศิษย์น้องหยวนที่เขาเรียกก็คือศิษย์ชายคนนั้นที่เหลือของนิกายเทียนกง รูปร่างของเขาดูแล้วเตี้ยอยู่บ้าง แต่ร่างกายกำยำยิ่งนัก หลังจากได้ยินคำพูดของจินเทียนชื่อ เขากับเวินเจิงก็ขยับวูบเดียวแยกกันไปปรากฏตัวสองฝั่งของหัวอสูรยักษ์ จินเทียนชื่อก็ขยับร่างมาประจันหน้ากับหัวของอสูรตัวนี้เช่นเดียวกัน
อีกด้านหนึ่งหลิ่วหมิงกับหลัวเทียนเฉิงต่างกลายเป็นเงาสีดำสองร่าง พวกเขาโฉบวูบไม่กี่ครั้งก็ปรากฏตัวอยู่ไม่ไกลด้านหลังจินเทียนชื่อแล้วรออย่างนิ่งสงบ
จะว่าไปแล้วหัวของอสูรตัวนี้ก็ใหญ่ถึงหนึ่งหมู่กว่า เมื่อเทียบกันแล้วร่างกายของพวกจินเทียนชื่อก็ไม่ต่างจากมด แตกต่างกันอย่างยิ่งจริงๆ
อสูรยักษ์เห็นผู้คนเหาะเข้ามาใกล้ ดวงตาก็ฉายแววบ้าคลั่ง ร่างกายส่ายไปมา ดิ้นรนลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า พลางส่งเสียงคำรามดังสนั่นฟ้าขึ้นเรื่อยๆ ในเวลาเดียวกันแถบแสงห้าสีรอบตัวก็รัดแน่นขึ้นอีกหน่อย
เยี่ยโจ่งรวมถึงศิษย์นิกายเทียนกงห้าคนที่ควบคุมค่ายกลอยู่เวลานี้เหงื่อท่วมศีรษะ เม็ดเหงื่อใหญ่เท่าเมล็ดถั่วเหลืองไหลร่วงลงมาไม่หยุด เห็นชัดว่าการควบคุมค่ายกลกักขังห้าธาตุนี้ไม่ใช่เรื่องสบายอย่างใด แต่ผลาญพลังเวทรวมถึงพลังจิตมากอย่างที่สุด
หลังจากชายหนุ่มแซ่หยวนจากนิกายเทียนกงตั้งหลักได้ เขาก็ไม่พูดพร่ำยกสองแขนขึ้นมา แสงแวววาวสองสายพุ่งจากแขนเสื้อของเขาเข้าใส่ซีกซ้ายของหัวอสูรยักษ์ในทันใด
ท่ามกลางแสงแวววาวคือกระบี่บินจักรกลที่มีลวดลายค่ายกลสามสิบกว่าตัวเวียนวนอยู่สองเล่ม เล่มหนึ่งทอแสงสีแดงระยิบระยิบ อีกเล่มหนึ่งมีปราณสีฟ้าลอยวน
“สะบั้น”
ชายหนุ่มแซ่หยวนขยับนิ้วรวดเร็ว กระบี่บินสองเล่มบินวนรอบหนึ่งจากนั้นเสียงกลไกก็ดังขึ้นก่อนที่มันจะผสานร่างเป็นหนึ่งเดียว กลายเป็นคมดาบประหลาดสองสี สีแดงกับสีฟ้าเล่มหนึ่งในพริบตา มันขยับวูบเดียวพุ่งแหวกอากาศไกลสิบกว่าจั้งส่งเสียงดังหวีดหวิวซัดเข้าใส่ซีกซ้ายของส่วนหัวอสูรยักษ์!
เสียง “ฟึบ” แผ่วเบาดังลอยมา!
คมดาบยักษ์สะบั้นเกล็ดบนส่วนหัวของอสูรยักษ์แต่ไม่อาจฟันมันขาดได้แม้แต่น้อย มันดีดกระเด็นกลับมาพร้อมเสียงแผ่วเบา
ภาพที่น่าตะลึงเช่นนี้ไม่เพียงทำให้ชายหนุ่มแซ่หยวนตกใจสะดุ้งโหยง แต่พวกจินเทียนชื่อกับหลิ่วหมิงก็สีหน้าเปลี่ยนไปเช่นกัน
หนึ่งการโจมตีนี้ นอกจากทำให้หัวอสูรยักษ์สั่นไหวเล็กน้อยก็ไม่เกิดผลอื่นใดอีก
เวินเจิงที่อยู่อีกด้านหนึ่งเห็นสถานการณ์ก็ยิ้มเย็นชา พร้อมกันนั้นแขนข้างหนึ่งก็ชูขึ้นฟ้า ปากพร่ำคำสาปงึมงำจำนวนหนึ่งออกมา สองมือยิงเคล็ดวิชาหลายสายออกมาต่อเนื่อง ลูกบอลแสงสีเทาดำดวงแล้วดวงเล่าก่อตัวขึ้นก่อนจะทยอยกลายเป็นอีกาสีเทาอ่อนตัวแล้วตัวเล่ามากมายถึงสี่สิบแปดตัว!
อีกาสีเทาอ่อนทั้งหมดกระพือปีกสองข้างบินวนเหนือศีรษะของเวินเจิง จากนั้นรวมตัวกันกลายเป็นอีกาสีเทาอ่อนขนาดยักษ์ที่ประหนึ่งมีชีวิตตัวหนึ่งทันที
“ไป!”
เวินเจิงชี้นิ้วใส่ซีกขวาของหัวอสูรยักษ์ อีกาพิบัติขนาดยักษ์กระพือปีกทั้งสองข้างกลายเป็นแสงสีเทาอ่อนสายหนึ่งพุ่งรวดเร็วเข้าใส่
“กา!”
ขณะที่อีกาพิบัติอยู่ห่างจากรูหูขวาของอสูรยักษ์ไม่ถึงสิบกว่าจั้งนั่นเอง เสียงอีกากรีดร้องแหลมสูงเขย่าขวัญก็ดังออกมา
เสียง “เปรี้ยง” ดังขึ้นครั้งหนึ่ง!
อสูรยักษ์คล้ายจะถูกเสียงของคำสาปนี้สะกดไว้ หัวมหึมาส่ายไหวไม่กี่ครั้ง สองขาหลังก็พลันทรุดลงไปนั่งทำให้พื้นดินด้านล่างสั่นสะเทือนรุนแรง ทรายและหินปลิวกระจาย
อีกาพิบัติตัวนี้เหมือนจะใช้พลังทั้งหมดไปกับเสียงคำสาป มันจึงพังทลายกลายเป็นไอหมอกสีเทาอ่อนสายแล้วสายเล่ากระจายออกไป
การโจมตีของเวินเจิงกับชายหนุ่มแซ่หยวนกินเวลาทั้งหมดเพียงเจ็ดถึงแปดลมหายใจ จินเทียนชื่อกลับไม่ได้ขยับตัวเคลื่อนไหวใดๆ เขาเพียงมองอสูรยักษ์ไม่ละสายตาคล้ายกำลังรอโอกาสอันใดอยู่
ชายหนุ่มแซ่หยวนเหล่มองเวินเจิงครั้งหนึ่ง ในดวงตามีแววตาไม่พอใจปรากฏแวบหนึ่งก่อนจะหายไป จากนั้นมือข้างหนึ่งก็ตบถุงเก็บของข้างเอว ไอหมอกสีดำหลายสิบลูกพุ่งออกมากลายเป็นหุ่นกระดูกตัวแล้วตัวเล่าลอยเรียงรายอยู่หน้าร่างเขา
หุ่นกระดูกเหล่านี้แต่ละตัวสูงเกือบสิบจั้ง โครงกระดูกสีขาวทั่วร่างทอแสงจิตวิญญาณจางๆ ในมือแต่ละข้างถือขวานยักษ์ยาวเจ็ดแปดจั้งเล่มหนึ่งชูขึ้นฟ้า
ชายหนุ่มแซ่หยวนท่องมนตร์เป็นลำดับ สิบนิ้วที่มือทั้งสองข้างดีดรัว แสงสีน้ำเงินสายแล้วสายเล่าพุ่งออกมาแล้วทยอยจมลงไปยังผลึกกลางหน้าอกของหุ่นกระดูก
กลางหน้าอกของหุ่นกระดูกทั้งหลายส่องแสงเจิดจ้า สองมือกำขวานยักษ์เงื้อไปหลังหัวแล้วฟันลงมาสุดแรง
เสียงแหวกอากาศดังสนั่นขึ้นทันที ประกายแสงสีขาวยาวเจ็ดถึงแปดจั้งสายแล้วสายเล่าพุ่งเสียงดังหวีดหวิวออกมาจากบนคมขวาน
จากนั้นเสียงเปรี้ยงปร้างราวกับสายฝนกระทบใบตองก็ดังออกมา!
แสงขวานพุ่งโจมตีอสูรยักษ์ไม่หยุดแต่มันก็ยังไม่มีวี่แววบาดเจ็บแม้แต่น้อย มันเพียงเอนไปทางขวาเล็กน้อยแล้วสะบัดหัวไม่กี่ครั้งเท่านั้น
เวินเจิงเห็นเช่นนี้ก็ไม่ยอมแพ้แม้แต่นิด ปากท่องคำสาปงึมงำไม่หยุดพร้อมกับที่สองแขนกางออก สร้างอีกาพิบัติสีเทาอ่อนตัวแล้วตัวเล่าพุ่งมืดฟ้ามัวดินเข้าใส่รูหูขวาของอสูรยักษ์ซ้ำไปมาพร้อมกับเสียงร้องต้องสาปที่ดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างต่อเนื่อง
ไม่ว่าการโจมตีของชายหนุ่มแซ่หยวนจะดุดันเช่นไรหรือคำสาปของเวินเจิงจะแข็งแกร่งเช่นไรก็ทำร้ายอสูรยักษ์หนังหยาบเนื้อหนาตัวนี้ให้บาดเจ็บจริงๆ ไม่ได้
อสูรยักษ์ถูกโจมตีไม่หยุดเช่นนี้ก็ส่งเสียงฟึดฟัดออกมาจากจมูกต่อเนื่อง ขาคู่หน้าของมันตะกุยดินสีเหลืองบนพื้นดินขึ้นมาไม่หยุด กระดูกแหลมบนแผ่นหลังมีไอหมอกสีเทารวมตัวมากขึ้นเรื่อยๆ
ทันใดนั้นร่างกายของมันก็สั่นอย่างรุนแรง ไอหมอกสีดำหนาทึบบนแผ่นหลังหมุนเร็วไวพักหนึ่งก็กลายเป็นคมดาบปราณสีดำมากมาย แผ่ขยายไปสี่ด้านแปดทิศอย่างบ้าคลั่ง
เสียง “ปัง” “ปัง” ดังขึ้นต่อเนื่องหลายครั้ง!
ครั้งนี้แถบแสงห้าสีที่พันธนาการรอบตัวมันถูกคมดาบปราณสีดำตัดจนทยอยพังทลาย
เยี่ยโจ่งรวมถึงศิษย์นิกายเทียนกงห้าคนเห็นสถานการณ์ก็ตกใจจนสะดุ้งโหยง
แต่เวลานี้เองอสูรยักษ์ก็คำรามลั่นแล้วก้มหน้าลง ขาหน้าตะกุยพื้นดินอย่างแรง ส่วนขาหลังกระทืบทีหนึ่ง ใช้เขาเดี่ยวบนหัวพุ่งชนค่ายกลแสงด้านบน
เสียงเปรี้ยงดังสนั่น!