ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 957 จักรดาราพยากรณ์
“ถ้าเช่นนั้นผู้แซ่หลิ่วก็ไม่เกรงใจ” หลิ่วหมิงได้ยินก็ยิ้มแล้วเก็บกำไลเก็บของเข้าไปในแขนเสื้อ
การร่วมมือครั้งนี้เห็นชัดว่าทั้งสองฝ่ายล้วนพึงพอใจอย่างยิ่ง
“ในเมื่อเรื่องเหล่านี้จบลงแล้ว ข้ากับเจ้าก็แยกกันตรงนี้เถิด” หลานซือคำนับน้อยๆ ให้หลิ่วหมิง แล้วเอ่ยออกมา
“สหายหลานตามสบาย การเดินทางมายังเศษซากโลกบนครั้งนี้ยังเหลือเวลาอีกนาน ไม่แน่ข้ากับเจ้าอาจยังมีวาสนาร่วมมือกันอีกก็ได้” หลิ่วหมิงคำนับกลับแล้วเอ่ยอย่างแฝงความนัยเช่นเดียวกัน
“เรื่องนี้แน่นอน” หลานซือหัวเราะเบาๆ ขณะที่กำลังจะจากไปนางก็ลังเลเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยว่า
“จะว่าไป มีเรื่องหนึ่งหลังจากข้าคิดดูแล้วคิดว่าบอกสหายหลิ่วไว้จะดีกว่า เรื่องที่จี๋อิ่งกับคนของเผ่าพยัคฆ์เงินโจมตีนิกายเทียนกงกับพวกเจ้าเป็นเรื่องที่ตัดสินใจกะทันหัน เดิมทีพวกเขาจะมุ่งหน้าไปยังซากโบราณสถานสำคัญแห่งหนึ่ง ได้ยินว่าที่นั่นมีสมุนไพรจิตวิญญาณที่ยืดอายุขัยได้กับสมบัติล้ำค่าอื่นอีกไม่น้อย จากที่ข้ารู้มา ไม่ใช่เพียงเผ่าปีศาจ ยอดฝีมือจำนวนหนึ่งของเผ่ามนุษย์ก็เดินทางไปด้วย หากสหายหลิ่วสนใจจะไปดูสักหน่อยก็ได้ นี่คือที่ตั้งของโบราณสถานแห่งนั้น”
หลานซือเอ่ยพลางเรียกคัมภีร์หยกใสแวววาวชิ้นหนึ่งออกมาโยนให้หลิ่วหมิง
“สมุนไพรจิตวิญญาณยืดอายุขัย!” หลิ่วหมิงได้ยินสีหน้าพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อยขณะที่ยื่นมือออกไปรับคัมภีร์หยก
บนแผ่นดินจงเทียนขอเพียงเป็นสมุนไพรจิตวิญญาณที่ยืดอายุขัยได้ล้วนนับเป็นสมุนไพรจิตวิญญาณสุดยอดล้ำค่าที่แทบจะไม่มีคนเอาออกมาขาย
แม้จะเป็นหอการค้าขนาดใหญ่เช่นหอการค้าเชียนเหมิงก็มีสมุนไพรจิตวิญญาณยืดอายุขัยโผล่มาในงานประมูลสิบล้านปีครั้งเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกฝนระดับใด การยืดอายุขัยได้เล็กน้อยก็เป็นการเพิ่มความหวังที่จะเลื่อนระดับได้แล้ว
นับจากโบราณมาจนถึงปัจจุบันมีผู้ฝึกฝนผู้แข็งแกร่งไม่รู้เท่าไรที่บรรลุรู้แจ้งในอึดใจนั้นก่อนสิ้นอายุขัยแต่จนใจที่ไม่มีเวลาเก็บตัวฝึกฝนอีกแล้ว ในช่วงเวลานี้ถ้าหากมีอายุขัยเพิ่มสักสิบหรือยี่สิบปีก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเลื่อนระดับเพิ่มอายุขัยขึ้นอีกมากได้
“ดูท่าสหายหลิ่วจะสนใจ แต่สถานที่ซึ่งมีสมบัติเช่นนี้ก็น่าจะมีอันตรายเช่นกัน สหายรักษาตัวด้วย” หลานซือยิ้มน้อยๆ จากนั้นร่างกายก็ขยับวูบเดียวกลายเป็นแสงสีฟ้าสายหนึ่งแหวกท้องฟ้าจากไป
หลิ่วหมิงมองทิศทางที่หลานซือจากไป ในดวงตาฉายแววประหลาดใจจากนั้นสายตาก็จับอยู่บนร่างศพแห้งกรังของจี๋อิ่ง
เขางอนิ้วดีทีเดียวลูกไฟก็ร่วงลงบนศพของจี๋อิ่งแล้วเผามันจนไหม้เป็นจุณ
หลิ่วหมิงขยับร่างกำลังจะเลือกทิศทางหนึ่งเหาะจากไปเช่นกัน เพราะอย่างไรที่นี่ก็เกิดศึกใหญ่มาก่อน ใครจะรู้ว่าจะดึงดูดความสนใจของผู้ใดมาบ้าง
ทว่าเขาเพิ่งจะก้าวออกไปก้าวเดียว ทันใดนั้นเขาก็คิดบางสิ่งออก ร่างกายขยับเหาะมาถึงตำแหน่งที่มหาค่ายกลวิญญาณพฤกษาเคยตั้งอยู่
เขากวาดจิตสัมผัสผ่านบริเวณข้างเคียงจากนั้นก็ยกมือขึ้นกวัก ลูกแก้วกลมสีเทาขมุกขมัวสี่ลูกลอยออกมาจากใต้โคลนเลน มันก็คือสิ่งที่จี๋อิ่งใช้ตั้งเขตแดนสีเทานั่นเอง
เขตแดนปกป้องตัวเองที่จี๋อิ่งวางก่อนหน้านี้แข็งแกร่งอย่างยิ่ง ถึงตกอยู่ท่ามกลางมหาค่ายกลวิญญาณพฤกษา มันก็ทำอันใดเขาไม่ได้แม้แต่น้อย ลมปราณที่แผ่ออกมาจากลูกแก้วกลมสีเทาสี่ลูกในเวลานี้แผ่วจางอยู่บ้าง แต่หากสังเวยบำรุงเล็กน้อยน่าจะฟื้นสภาพกลับมาได้อยู่
หลิ่วหมิงมองสำรวจลูกแก้วกลมเหล่านี้ในมืออย่างละเอียดครู่หนึ่งก็พบว่าลูกแก้วกลมเหล่านี้เหมือนอาวุธจิตวิญญาณแต่ก็เหมือนธงค่ายกลกับแผ่นค่ายกลด้วย ทว่าเวลานี้ยังไม่เหมาะจะศึกษาอย่างละเอียด หลังจากเขาเก็บลูกแก้วกลมทั้งสี่ลูกไป ร่างกายก็เหาะขึ้นฟ้ากลายเป็นแสงสีดำเส้นหนึ่งแหวกท้องฟ้าจากไปทันที
เขาเหาะมาหลายพันลี้เต็มๆ ก่อนจะหยุดอยู่หน้ายอดเขาที่แลดูรกร้างแห่งหนึ่ง จากนั้นขุดถ้ำหยาบๆ ถ้ำหนึ่งแล้วเหาะเข้าไป เตรียมตัวจะพักรักษาตัวสักหน่อยพร้อมกับสำรวจข้าวของที่ได้จากชัยชนะครั้งนี้ไปด้วย
ในเวลาเดียวกัน ห่างจากสถานที่ซึ่งหลิ่วหมิงอยู่ไปไม่รู้กี่หมื่นลี้ เนินทรายขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากันทอดตัวเรียงรายกระจัดกระจายอยู่ทั่วทะเลทรายเวิ้งว้างแห่งหนึ่ง
เนินทรายเหล่านี้ลูกที่เล็กมีขนาดเท่าบ้าน ส่วนพวกที่ลูกใหญ่ประหนึ่งขุนเขา เมื่อสายลมกรรโชกพัดดังหวีดหวิวมาเป็นระยะ พวกมันก็เปลี่ยนตำแหน่งกับขนาดไป
บนท้องฟ้าเหนือทะเลทรายเวิ้งว้าง แสงดาวสีขาวเส้นหนึ่งเหาะมาแต่ไกลก่อนจะหยุดบนท้องฟ้าเหนือเนินทรายลูกหนึ่ง เมื่อแสงดาวระยิบระยับจางหายก็เผยร่างมนุษย์ในนั้นออกมา
เขาก็คือจินเทียนชื่อผู้สวมอาภรณ์สีทองนั่นเอง
เขาในเวลานี้ยืนเอามือไพล่หลังอยู่บนท้องฟ้า เสื้อผ้าหลวมถูกสายลมแรงพัดดังพรึบพรับ เขาหันกลับไปมองด้านหลังด้วยใบหน้าเรียบเฉย
ขอบฟ้าไกลออกไปมีแสงจิตวิญญาณกะพริบวิบวับ รุ้งสีเงินยาวหลายจั้งเส้นหนึ่งฉับพลันปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าพุ่งเร็วรี่มาหาเขาตรงนี้ รุ้งสีเงินรวดเร็วอย่างที่สุดพาเสียงหวีดแหลมฉีกกระชากอากาศมาด้วย หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งมันก็เหาะมาหยุดอยู่ห่างจากจินเทียนชื่อร้อยจั้ง จากนั้นลำแสงก็กะพริบเผยให้เห็นบุรุษกำยำผู้มีหัวเป็นพยัคฆ์ร่างกายสูงสองจั้งที่เปลือยท่อนบนผู้หนึ่ง เขาก็คือหู่ฉางยอดฝีมือเผ่าพยัคฆ์เงินที่ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับจี๋อิ่งก่อนหน้านี้นั่นเอง
“ท่านไล่ตามข้าไม่ลดละนานถึงสองวันเช่นนี้ ตอนนี้ที่แห่งนี้ไม่มีผู้ใดอยู่แล้ว จะบอกสาเหตุที่แท้จริงได้หรือไม่” จินเทียนชื่อจับจ้องคนผู้นี้แล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ
“เจ้าเป็นคนฉลาด ไยรู้อยู่แล้วแต่แสร้งถาม ข้าไม่เชื่อหรอกว่าด้วยการตอบสนองระหว่างพลังแห่งดวงดาว จนถึงตอนนี้เจ้าจะยังสัมผัสสิ่งใดไม่ได้เลย” หู่ฉางหัวเราะเหี้ยมเกรียมแล้วเอ่ยขึ้น
“ท่านคงจะเป็นตระกูลเผ่าพยัคฆ์นภาในยุคโบราณ ตอนนี้ดูท่าคงตัดสินใจแน่วแน่คิดจะกลืนกินข้าเพื่อสำเร็จร่างพลังเวทแห่งฟ้าดินในเศษซากโลกบนแห่งนี้สินะ! แต่ท่านมั่นใจปานนั้นจริงหรือว่าจะรั้งข้าไว้ได้?” จินเทียนชื่อสีหน้าไม่เปลี่ยนไปสักนิดราวกับว่ากำลังพูดเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง
“ฮ่าๆ พลาดจากเจ้าไป ข้าจะไปหาคนที่ฝึกฝนพลังแห่งดวงดาวได้จนถึงขั้นนี้ได้จากที่ไหนอีก! ส่วนเรื่องการสังหารเจ้า ไม่ต้องกังวลไป เจ้าจงจากไปอย่างวางใจเถอะ!” หู่ฉางหัวเราะลั่นเอ่ยขึ้น
สายเลือดเผ่าพยัคฆ์นภาโบราณที่เขาครอบครองอยู่กลืนกินพลังแห่งดวงดาวเป็นพื้นฐานของการฝึกฝน แต่บนแผ่นดินหมานฮวงผู้ที่ฝึกฝนพลังแห่งดวงดาวมีน้อยนิดไม่กี่คน นี่ทำให้เขาติดอยู่ระดับแก่นแท้ขั้นปลายมานานถึงหนึ่งร้อยปีเต็มไม่อาจเลื่อนระดับได้มาตลอด
วันนี้เมื่อเขาพบว่าจินเทียนชื่อครอบครองพลังแห่งดวงดาวอันบริสุทธิ์เช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรเขาย่อมไม่ปล่อยไป ต่อให้ต้องทิ้งงานใหญ่ที่เดิมทีเผ่าพยัคฆ์เงินกับเผ่าหมาป่าเงาวางแผนไว้ร่วมกันลงก่อน ก็ต้องสังหารจินเทียนชื่อให้ได้ เพื่อจะได้กลืนกินพลังแห่งดวงดาวในเลือดเนื้อของเขามาใช้กับตนเอง
เทียบกับการเข้าสู่ระดับดาราพยากรณ์แล้ว สมบัติยืดอายุขัยอันใดที่วางแผนไว้แต่เดิมล้วนเป็นเรื่องรองสำหรับเขา
สิ้นเสียงในดวงตาของหู่ฉางก็ฉายแววเหี้ยมเกรียม เขาพลิกมือเรียกสมบัติที่ทอแสงสีเงินเรืองรองหน้าตาเหมือนธรรมจักรชิ้นหนึ่งออกมาแล้วโยนขึ้นเหนือศีรษะพร้อมกับปากที่ท่องมนตร์
ธรรมจักรบนท้องฟ้าหมุนติ้วรอบหนึ่ง ทันใดนั้นเงาพยัคฆ์เขาเดียวร่างยักษ์ขนาดสิบกว่าจั้งตัวหนึ่งพลันโผล่ออกมมา มันอ้าปากคำรามก้องก่อนจะกลายเป็นแสงเรืองรองสีเงินเส้นหนึ่งดิ่งลงมา พุ่งวูบเดียวก็จมหายไปในกระหม่อมของหู่ฉาง
“จักรดาราพยากรณ์ของผู้มีพลังแข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์!” สองแขนที่เดิมทียกขึ้นมาอยู่แล้วของจินเทียนชื่อปรากฏแสงดาวสีขาวจุดแล้วจุดเล่าทอแสงขึ้นกลางฝ่ามือ เมื่อเห็นภาพนี้การเคลื่อนไหวที่มือของเขาพลันชะงักไปวูบหนึ่งอย่างห้ามไม่ได้ ก่อนที่เขาจะเผยสีหน้าตกตะลึงออกมาเป็นครั้งแรก
เวลานี้ใบหน้าของหู่ฉางมีสีหน้าทุกข์ทรมานเล็กน้อย เขาแหงนหน้าคำรามบ้าคลั่งหลังจากนั้นลวดลายสีเงินยวงบนร่างพลันกะพริบรัว จากนั้นลวดลายจิตวิญญาณสีเงินสายแล้วสายเล่าก็เริ่มปรากฏขึ้นบนใบหน้า เสียงเปรี๊ยะดังออกมาจากในร่าง ลมปราณเพิ่มพูนกะทันหัน ชั่วพริบตาแข็งแกร่งขึ้นหนึ่งเท่ากว่าแล้วยังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วไปเรื่อยๆ
หลังผ่านไปเจ็ดถึงแปดลมหายใจ หู่ฉางก็กลายเป็นบุรุษร่างยักษ์สูงเจ็ดถึงแปดจั้งผู้หนึ่ง ร่างกายของเขาใหญ่กว่าต้นไม้ในป่าสีเหลืองเมื่อตอนแรกเกินหนึ่งเท่า ในเวลาเดียวกันความแข็งแกร่งของลมปราณที่แผ่ออกมาก็เหนือกว่าจินเทียนชื่อถึงเจ็ดแปดเท่า
เปรี้ยง!
“ฮ่าๆ แม้การอาศัยพลังของจักรดาราพยากรณ์ ข้าจะยืมพลังของบรรพบุรุษในเผ่ามาได้เพียงเศษเสี้ยว แต่สังหารเจ้าระดับแก่นแท้เผ่ามนุษย์ตัวเล็กๆ คนหนึ่งก็เป็นการใช้มีดฆ่าวัวมาเชือดไก่โดยแท้” หู่ฉางหัวเราะบ้าคลั่ง แสงสีเงินซัดออกมาจากแผ่นหลัง เงาพยัคฆ์เงินเขาเดียวร่างยักษ์ปรากฏออกมาอีกครั้งแล้วอ้าปากพ่นอสนีบาตสีเงินที่กลายร่างเป็นเพลิงสีเงินดวงแล้วดวงเล่าโถมกระหน่ำเข้าใส่จินเทียนชื่อ จุดที่พวกมันพุ่งผ่านคลื่นความร้อนซัดสาดกลางอากาศ พลังน่าตะลึงอย่างที่สุด
จินเทียนชื่อในยามนี้หลังจากสีหน้าเปลี่ยนไปมาไม่หยุดหลายรอบก็ถอนหายใจแล้วหลับตาลง สองแขนที่อยู่หน้าร่างขยับวาดเหมือนไม่มีรูปแบบแม้แต่น้อย แสงดาวจุดแล้วจุดเล่าส่องสว่าง
ภาพประหลาดบังเกิดขึ้นแล้ว!
เพลิงอสนีบาตที่ร่วงลงมาถึงหนึ่งจั้งเบื้องหน้าเขาพลันถูกพลังล่องหนสายหนึ่งชักนำให้ทยอยแหวกผ่านไปสองฟากฝั่งทันที
เสียงระเบิดเปรี้ยงดังขึ้นตรงนั้นตรงนี้!
เพลิงอสนีบาตสีเงินร่วงลงบนเนินทรายใหญ่น้อยสองฟากหลังร่างเขา ชั่วขณะหนึ่งทรายปลิวฟุ้งกระจายจนรอบด้านขมุกขมัวไปหมด!
หู่ฉางเห็นเช่นนี้พลันโกรธจัด เงาพยัคฆ์เงินเขาเดียวด้านหลังคำรามก้องสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน จากนั้นกลายเป็นแสงสีเงินเส้นหนึ่งกระโจนเหาะผ่านร่างเขาไปด้านหน้า
จุดที่แสงสีเงินพุ่งผ่านอากาศล้วนบิดเบี้ยว!
เวลานี้เองจินเทียนชื่อฉับพลันลืมตาสองข้างขึ้น สองแขนหยุดขยับ ค่ายกลแสงสีเงินค่ายกลหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าแล้วเริ่มหมุน
ทันใดนั้นอสนีบาตก็ผ่าลงมาทั้งที่ฟ้าแจ้ง ท้องฟ้ามืดสนิท หลังจากนั้นแสงวิบวับจุดแล้วจุดก็ปรากฏออกมา ก่อนที่จะร่วงกราวลงมายังค่ายกลแสงเบื้องล่างราวกับน้ำหลาก
ตอนนี้เองจินเทียนชื่อพลันตวาดลั่น สองมือตั้งท่าเคล็ดวิชา รอบร่างปรากฏลวดลายจิตวิญญาณห้าสีหน้าตาเหมือนโซ่เส้นแล้วเส้นเล่า พวกมันส่องสว่างวูบหนึ่งแล้วแตกกระจายจนหมดสิ้น
แรงกดดันจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าหู่ฉางพุ่งขึ้นฟ้าออกมาจากในร่างของเขา พร้อมกันนั้นอักขระสีทองนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นบนร่าง แสงสีทองแสบตาหมื่นสายพุ่งออกไปทั่วทุกสารทิศ
เวลานี้แสงสีเงินที่แปลงมาจากเงาพยัคฆ์เงินเขาเดียวเพิ่งกระโจนมาถึงสิบจั้งหน้าร่างเขา หลังของมันถูกแสงสีทองสาดใส่ก็ร้องครวญครางแล้วระเบิดไปในทันใด
ธรรมจักรสีเงินที่เดิมทีหมุนไม่หยุดเหนือศีรษะของหู่ฉางส่งเสียงดังแครกแล้วแตกเป็นสองเสี่ยงดีดออกไปสองฝั่ง
หู่ฉางกระอักเลือดคำหนึ่งออกมาจากปาก สีหน้าซีดเผือดอย่างยิ่งในพริบตา
“ไม่มีทาง นี่ไม่ใช่พลังแห่งดวงดาวบริสุทธิ์ เจ้าคือ…”
ยอดฝีมือแห่งเผ่าพยัคฆ์เงินผู้นี้ร้องลั่นด้วยความหวาดผวา ร่างกายพุ่งเร็วรี่ถอยออกไปด้านหลัง พร้อมกันนั้นอาวุธนานาชนิดหลายชิ้นก็บินออกมาจากในแขนเสื้อ พวกมันส่องสว่างวูบหนึ่งเกิดเป็นแสงเรืองรองหลากสีหลายชั้นกลืนร่างเขาเข้าไปด้านใน
ทว่าแสงสีทองที่ระเบิดออกมาจากบนร่างจินเทียนชื่อเร็วเหนือจินตนาการ เพียงพัดวูบเดียวก็กลบแสงเรืองรองที่ปกป้องร่างของหู่ฉางรวมทั้งตัวเขาเข้าไป จากนั้นพัดโถมต่อไปทั่วทุกสารทิศ
“ไม่…”
ท่ามกลางแสงสีทองเสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นครั้งหนึ่งแล้วขาดหายไป
ชั่วขณะหนึ่งทะเลทรายเวิ้งว้างทั้งผืนเต็มไปด้วยแสงสีทองเรืองรองโดยมีจินเทียนชื่อเป็นศูนย์กลาง
ผ่านไปเพียงหนึ่งลมหายใจแสงสีทองก็หดเล็กลงอย่างรวดเร็วราวกับคลื่นไหลย้อนกลับ ท้ายที่สุดก็กะพริบวูบหนึ่งก่อนจะหายไป ร่างของจินเทียนชื่อเผยออกมาจากความว่างเปล่าอีกครั้ง
เวลานี้เนินทรายทั้งหมดในอาณาเขตหมื่นจั้งที่มีเขาเป็นศูนย์กลางระเหยหายไปไร้ร่องรอย สิ่งที่ปรากฏแทนที่คือแอ่งรูปวงกลมขนาดยักษ์แห่งหนึ่ง
ผิวหน้าของพื้นที่แอ่งกระทะแห่งนี้ไหม้เกรียม แต่เรียบกริบอย่างยิ่ง
“แค่กๆ เข้ามาในเศษซากโลกบนเป็นเวลาสั้นๆ เท่านี้ก็พบคนที่ตึงมือขนาดนี้แล้ว หากเป็นเช่นนี้ผนึกบนร่างดูท่าคงจะทานไว้ได้ไม่นานนัก” จินเทียนชื่อกวาดสายตาไปรอบด้าน เขาไอเบาๆ หลายครั้งแล้วพึมพำกับตนเองพร้อมรอยยิ้มขื่น