ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 959 วิชาโล่โลหิต
หลังจากหลิ่วหมิงสัมผัสได้ว่าในทะเลจิตรับรู้เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังจิต เขาก็ลุกขึ้นนั่ง พลังเวทโหมขึ้นมาครั้งหนึ่งกระพือฝุ่นผงที่ติดบนเสื้อผ้าออก จากนั้นเขาก็นวดหว่างคิ้วที่ยังปวดอยู่นิดหน่อย
เขาพักผ่อนครู่หนึ่งก็สะบัดมือ วงแหวนกลมสีแดงเพลิงวงหนึ่งกับธงคำสั่งสีฟ้าใสผืนหนึ่งปรากฏขึ้นในมือเขา
นับตั้งแต่นำต้นแบบอาวุธเวทสองชิ้นนี้ออกมาจากในท้องอสูรยักษ์จนถึงตอนนี้ เขายังไม่เคยได้ตรวจดูดีๆ เลย หลังจากนี้เศษซากแห่งโลกบนคงจะอันตรายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้เพิ่มพลังได้แม้เพียงเล็กน้อยก็จำเป็นอย่างยิ่ง
ของสองชิ้นนี้กับกระบี่ขู่หลุนล้วนเป็นของที่ใช้คุมค่ายกลไหมครามจตุรทิศ น่าจะเป็นอาวุธระดับเดียวกัน แต่เห็นชัดว่าพวกมันไม่ถนัดมืออย่างกระบี่ขู่หลุนนัก
แต่หากทำพันธะอย่างง่ายไว้ ยามพบศัตรูแข็งแกร่งปล่อยออกมาป้องกันสักครั้งก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว
หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้แล้วสายตาก็จับจ้องบนวงแหวนกลมสีแดงเหลิง เขาอ้าปากพ่นแสงสีดำสายหนึ่งสิบนิ้วขยับดีดไม่หยุด เคล็ดวิชาสายแล้วสายเล่าพุ่งออกมาต่อเนื่อง แสงสีดำสายแล้วสายเล่าวนล้อมวงแหวนกลมแล้วค่อยๆ ผูกพันธะอย่างช้าๆ
วงแหวนกลมสีแดงเพลิงฉับพลันเปล่งแสงสีแดงแสบตาออกมา มันหมุนติ้วก่อนจะหยุดนิ่งแล้วปรากฏลวดลายสีแดงสามสิบหกชั้นพร้อมกับส่งเสียงวิ้งดังสนั่น
เขาผูกพันธะกับวงแหวนสีแดงเพลิงไปพลางก็ยกมืออีกข้างขึ้น นิ้วมืองอแล้วดีดใส่ธงคำสั่งฟ้าใสอีกด้านหนึ่ง พร้อมกับที่อ้าปากพ่นแสงสีดำอีกสายยกธงคำสั่งสีฟ้าใสให้ลอยขึ้นมา
ช่วงเวลาต่อจากนั้นหลิ่วหมิงก็ใช้ความสามารถในการแบ่งสมาธิทำสองสิ่ง แบ่งพลังจิตแยกเป็นสองส่วนห่อหุ้มต้นแบบอาวุธเวทสองชิ้นไว้
พลังจิตในตอนนี้ของเขาเพิ่มพูนขึ้นอย่างกะทันหันไม่น้อยจึงได้อาศัยโอกาสนี้ฝึกปรือพอดี
……
หลายวันหลังจากนั้นเหนือเทือกเขาทอดยาวร้างไร้ผู้คนแห่งหนึ่ง เรือหยกสีขาวลำหนึ่งแหวกผ่านท้องฟ้าไป หลิ่วหมิงอาศัยช่วงที่อยู่บนเรือศึกษาคัมภีร์เจินหลิงในมืออย่างละเอียด พร้อมกับที่แผ่จิตสัมผัสขนาดมโหฬารไปหลายร้อยลี้รอบด้าน สังเกตสภาพรอบด้านอยู่ตลอดเวลา
สองวันก่อนเขาทำพันธะกับต้นแบบอาวุธเวทสองชิ้นนั้นได้บางส่วนแล้ว เขาจึงเริ่มออกเดินทางไปยังซากโบราณสถานที่หลานซือบอกอย่างไม่หยุดแวะพัก
แม้เขาเคยคิดจะไปรวมตัวกับพวกจินเทียนชื่อก่อนแล้วค่อยวางแผน แต่ประการแรกเขาไม่รู้ว่าตอนนี้จินเทียนชื่ออยู่ที่ใด ส่วนพวกฉิวหลงจื่อก็อยู่ห่างจากตนไกลเกินไปหน่อย ไปกลับรอบหนึ่งสมบัติลับก็คงถูกคนแย่งชิงไปก่อนแล้ว
การเดินทางราบรื่นตลอดทาง เขาจึงใคร่ครวญเกี่ยวกับวิชาลับโล่โลหิตในคัมภีร์เจินหลิงอย่างเงียบๆ อยู่บนเรือเหาะ
วิชานี้จำเป็นต้องให้ผู้ฝึกฝนดึงโลหิตบริสุทธิ์ส่วนหนึ่งในร่างตนออกมาหลอมทุกวัน หลังจากนั้นสะสมโลหิตบริสุทธิ์ที่ถูกหลอมจนเข้มข้นไว้เป็นแกนโล่เฉพาะตัวที่ปกติจะซ่อนเร้นอยู่ในทะเลจิตวิญญาณ
เมื่อใช้มันยามเผชิญศัตรู มันจะก่อตัวเป็นโล่โลหิตที่แฝงพลังยิ่งใหญ่ชิ้นหนึ่งในพริบตา ไม่เพียงใช้มันปกป้องตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยังดูดซับพลังของโลหิตบริสุทธิ์ด้านในตัวมันมารักษาอาการบาดเจ็บจำนวนหนึ่งในเวลาอันสั้นในยามที่ร่างกายตนบาดเจ็บหนักได้อีกด้วย มีประโยชน์อย่างยิ่ง
วิชาลับนี้ดูคล้ายวิชาพฤกษาแห้งพบหยาดพิรุณของผู้อาวุโสขุยมู่ แล้วก็คล้ายคลึงกับวิชาสาปคืนกำเนิดของเวินเจิง แต่เนื่องจากการเติมโลหิตบริสุทธิ์ของตนไม่ใช่สิ่งที่จะถูกร่างกายตนต่อต้าน จึงแทบไม่มีผลร้ายอันใดตามหลัง แน่นอนความสามารถในการรักษาตัวก็ย่อมด้อยกว่าสองอย่างแรกอยู่มาก
ส่วนพลังของโล่โลหิตจะสำแดงออกมาได้จริงเท่าไร ส่วนสำคัญย่อมขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของโลหิตบริสุทธิ์ของตัวผู้ฝึกฝนเองกับปริมาณโลหิตบริสุทธิ์ที่ผสานเข้าไป
จากที่คัมภีร์บอกไว้ปริมาณโลหิตบริสุทธิ์ที่จำเป็นต้องใช้สำหรับการหลอมครั้งแรกมากกว่าหลายครั้งหลังๆ อยู่บ้าง แต่หากผู้ฝึกฝนไม่คำนึงถึงร่างกายตน ฝืนดึงโลหิตบริสุทธิ์ออกมามากเกินไปก็อาจทำให้ลมปราณเสียหายหนักเกินไปได้ ด้วยเหตุนี้การฝึกฝนวิชานี้ยามเริ่มต้นจึงค่อนข้างลำบาก แต่ช่วงหลังจะง่ายขึ้นมาก
หากเป็นผู้ที่มีร่างเนื้อแข็งแกร่ง จำนวนโลหิตบริสุทธิ์ที่ดึงออกมาได้ในแต่ละวันย่อมค่อนข้างมาก หากเพียรฝึกฝน ใช้เวลาสั้นๆ ไม่กี่วันก็หลอมโล่โลหิตอย่างง่ายออกมาได้แล้ว
นอกจากนี้แกนโล่ที่ซ่อนอยู่ในทะเลจิตวิญญาณจะสะสมโลหิตบริสุทธิ์ได้ไม่มากไปกว่าห้าสิบในร้อยของร่างต้นผู้ใช้วิชา จากการคำนวณของหลิ่วหมิงด้วยสภาพกายเนื้อของตน โล่โลหิตขั้นสมบูรณ์คงพอขวางการโจมตีเต็มกำลังของระดับแก่นแท้ขั้นปลายให้เขาถอยหนีอย่างราบรื่นได้
หากวันหน้าพลังสูงขึ้น กายเนื้อแข็งแกร่งขึ้น โล่โลหิตที่ก่อตัวขึ้นก็อาจขวางได้กระทั่งการโจมตีของผู้มีพลังแข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์
หลังจากหลิ่วหมิงศึกษาอย่างละเอียดหลายชั่วยามก็เก็บคัมภีร์หนังอสูรไป จากนั้นเดินมานั่งขัดสมาธิกลางเรือเหาะ เขายกมือข้างหนึ่งขึ้น ลูกแก้วเจินหลิงสี่ลูกพลันลอยออกมาก่อตัวเป็นเขตแดนสีเทา ล้อมเรือเหาะหยกจันทราทั้งลำเข้าไปด้านใน
เมื่อเตรียมการป้องกันเรียบร้อยแล้วเขาก็เอากระบี่น้อยเล่มหนึ่งออกมากรีดแผลแคบยาวเส้นหนึ่งกลางฝ่ามือ แล้วเคลื่อนพลังจิตวิญญาณทั่วร่างเค้นโลหิตบริสุทธิ์สีแดงคล้ำหยดแล้วหยดเล่าออกมาจากบาดแผล
หลังผ่านไปสิบกว่าลมหายใจ โลหิตบริสุทธิ์ก็ออกมามากเกือบครึ่งชามแล้วก่อตัวกลายเป็นลูกกลมสีเลือดใหญ่หนึ่งชุ่นลูกหนึ่งกลางอากาศภายใต้การควบคุมจากพลังเวทของเขา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้จึงทำตามที่คัมภีร์บอก เขายกมือขึ้นยิงเคล็ดวิชาหลายสายเข้าใส่โลหิตบริสุทธิ์ก้อนนี้ โลหิตบริสุทธิ์หมุนติ้วกลางอากาศ เคล็ดวิชาหลายสายจมเข้าไปขณะที่มันค่อยๆ จับตัวกลายเป็นลูกแก้วกลมสีเลือดที่มีขนาดเท่าหัวแม่มือลูกหนึ่ง
ในเวลานี้เองหลิ่วหมิงก็ท่องเคล็ดวิชาประหลาดงึมงำออกมาหลายประโยค เมื่อเขาอ้าปากอีกครั้งแสงสีเลือดสายหนึ่งก็พุ่งออกมาสูดลูกแก้วกลมสีเลือดเข้าปากดังฟึบแล้วกลืนลงไปอย่างรวดเร็ว
หลิ่วหมิงรู้สึกว่าร่างกายร้อนวูบแต่ไม่มีความรู้สึกผิดแปลกอย่างอื่นอีก
ทว่าเมื่อเขาใช้จิตสัมผัสกวาดทั่วร่าง เขาก็ค้นพบอย่างประหลาดใจว่าลูกแก้วกลมสีเลือดขนาดเท่าหัวแม่มือเม็ดนั้นกำลังนอนนิ่งอยู่ในทะเลจิตวิญญาณพร้อมกับหมุนตัวอย่างเชื่องช้า
บนลูกแก้วกลม แสงสีเลือดสายแล้วสายเล่าวนเวียนราวกับหมอกสีเลือดขนาดเล็กกลุ่มหนึ่ง มันแผ่ขยายและหดตัวตามการหมุนของลูกแก้วสีเลือด
เขาเพ่งจิตปล่อยจิตสัมผัสสายหนึ่งเข้าไปลองแตะลูกแก้วกลมสีเลือดในทะเลจิตวิญญาณเป็นระยะแต่ก็ไม่เกิดสิ่งอื่นใด
ผ่านไปเช่นนี้อีกหลายวัน แต่ละวันหลิ่วหมิงมักจะเรียกลูกแก้วกลมสีเลือดลูกนี้ออกมาจากทะเลจิตวิญญาณแล้วใช้วิชาลับผสานโลหิตบริสุทธิ์ของตนเข้าไปจำนวนหนึ่ง
หลังจากหลอมเช่นนี้ราวห้าถึงหกวัน ลูกแก้วกลมสีเลือดลูกนั้นในทะเลจิตวิญญาณก็เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยอย่างเงียบเชียบ จนยามนี้แลดูเหมือนโล่กลมขนาดจิ๋วสีแดงเข้มชิ้นหนึ่ง
วันนี้หลิ่วหมิงลืมตาตื่นจากการตัดขาดตนเองจากโลกภายนอกแล้วยื่นสองแขนไปด้านหน้า สิบนิ้วทำท่าเคล็ดวิชาจนตาลายหลังจากนั้นเขาก็เอ่ยออกมาเบาๆ คำหนึ่งว่า “จงออกมา!”
เสียงทุ้มแผ่วเบาแทบไม่ได้ยินดังออกมาจากในทะเลจิตวิญญาณ โล่น้อยสีเลือดชิ้นนั้นพุ่งออกจากปากมาลอยหมุนอยู่ตรงเบื้องหน้า
ฟึบ!
โล่น้อยสีเลือดหยุดชะงักไปเล็กน้อยกลางอากาศแล้วระเบิดออก โลหิตบริสุทธิ์สายแล้วสายเล่าทะลักออกมาจากด้านในกลายเป็นประกายแสงสีเลือดระยิบระยับ
สองลมหายใจหลังจากนั้นแสงบริเวณครึ่งจั้งรอบตัวหลิ่วหมิงก็ก่อตัวเป็นม่านแสงสีเลือดจางๆ ผืนหนึ่ง “หืม? นี่ก็คือวิชาโล่โลหิตหรือ”
หลิ่วหมิงดีดนิ้วหนึ่งครั้ง ปราณกระบี่ล่องหนที่บิดเป็นเกลียวสายหนึ่งก็ก่อตัวขึ้นระหว่างนิ้วจากนั้นพุ่งรวดเร็วเข้าไปหาม่านแสงสีเลือด
ภาพประหลาดบังเกิดขึ้นแล้ว!
ปราณกระบี่เกลียวโจมตีลงบนม่านแสงสีเลือดแต่มันส่องสว่างวูบเดียวก็จมหายไปด้านใน ม่านแสงไหวกระเพื่อมแค่ระลอกเดียวก็ไม่มีสิ่งผิดปกติอื่นใดอีก
หลังจากเขาครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ต่อยหนึ่งหมัดออกมาอย่างรุนแรง ม่านแสงสั่นไหวเล็กน้อยแล้วฟื้นคืนสภาพเดิม ไม่มีวี่แววจะเสียหายแม้แต่น้อยเช่นเดียวกัน
หลิ่วหมิงจึงพยักหน้า แม้การโจมตีสองครั้งนี้เขาใช้กำลังไม่ถึงหนึ่งส่วน แต่ผลลัพธ์นี้ก็ยังทำให้พึงพอใจอย่างยิ่ง หากใช้มันในช่วงเวลาสำคัญย่อมเพียงพอช่วยชีวิตน้อยๆ ของเขาแล้ว
เคล็ดวิชาในมือเขาเปลี่ยนไปทันที ม่านแสงสีเลือดฉับพลันหดตัวกลายเป็นโล่น้อยขนาดจิ๋วชิ้นหนึ่งอีกครั้ง แต่สีของมันหม่นลงกว่ายามที่เพิ่งเรียกออกมาอยู่บ้าง แสงสีเลือดกะพริบวูบหนึ่งมันก็จมลงไปในร่างของเขา
การฝึกฝนวิชาโล่โลหิตครั้งแรกผ่านไปด้วยดีเช่นนี้ นี่ทำให้หลิ่วหมิงอดดีใจอย่างยิ่งไม่ได้
เดิมทีเขายังกังวลอยู่ว่าปริมาณโลหิตบริสุทธิ์ในครั้งแรกจะควบคุมยากจนทำให้ผลลัพธ์ของการหลอมโล่โลหิตไม่ดี แต่เมื่อมีประสบการณ์ครั้งนี้แล้ว หลายวันหลังจากนี้เขาจึงดึงโลหิตบริสุทธิ์ออกมาหลอมโล่น้อยสีเลือดทุกวันไม่ขาด
วันนี้ในที่สุดเรือเหาะของหลิ่วหมิงก็มาถึงผืนนภาเหนือแผ่นดินสีขาวไร้ขอบเขตแห่งหนึ่ง
ที่แห่งนี้ก็คือสถานที่อันห่างไกลที่แผนที่ทำเครื่องหมายไว้ มันน่าจะร้างไร้คนถึงจะถูก ทว่าตลอดทางเขากลับพบการต่อสู้รุนแรงหลายครั้ง ผู้ที่ต่อสู้อยู่มีทั้งเผ่าปีศาจและเผ่ามนุษย์
ดูท่ากระดาษจะห่อไฟไม่มิด เรื่องที่ผืนดินน้ำแข็งแห่งนี้ซ่อนสมบัติไว้คงจะถูกผู้คนมากมายล่วงรู้แล้ว
หลิ่วหมิงหนีห่างจากการต่อสู้ที่พบระหว่างทางเหล่านี้อย่างไม่สนใจ เขามุ่งแต่เร่งเดินทางเท่านั้น
แต่ในใจเขาก็ยังมีความสงสัยอยู่เสี้ยวหนึ่ง เพราะสองฝั่งที่พบในการต่อสู้ตลอดทางไม่ใช่ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์จากแผ่นดินจงเทียนก็เป็นผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจจากแผ่นดินหมานฮวง ไม่ปรากฏวี่แววของมนุษย์ปีศาจหรือพวกต่างเผ่าอื่นเลย
เมื่อเรือเหาะที่หลิ่วหมิงโดยสารเหาะไปด้านหน้าไม่หยุด แผ่นดินหิมะที่เดิมทีราบเรียบเบื้องล่างก็ค่อยๆ สูงชัน ทอดสายตามองไปเริ่มเห็นภูเขาหิมะสูงตระหง่านตั้งเด่นอยู่ลูกแล้วลูกเล่า
เขาแผ่จิตสัมผัสไปด้านหน้าอย่างเร็วไวและพบว่าห่างออกไปร้อยลี้เบื้องหน้ามีภูเขาหิมะยักษ์สูงนับหมื่นจั้งอยู่ลูกหนึ่ง คลื่นพลังเวทที่ผสมปนเปกลุ่มหนึ่งแผ่ออกมาจากบริเวณใกล้ๆ อยู่เลือนราง
หลังจากเขาเหาะเข้าไปใกล้อีกหน่อย เขาก็พบว่าเผ่ามนุษย์กับเผ่าปีศาจจำนวนมากกำลังยึดครองสองฟากฝั่งของเขาหิมะเอาไว้ เผ่ามนุษย์อยู่ที่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนเผ่าปีศาจครองมุมตะวันตกเฉียงเหนือ
หลิ่วหมิงเก็บเรือเหาะหยกจันทราอย่างฉับไว จากนั้นเท้าก็เหยียบเมฆดำหยุดอยู่กลางท้องฟ้าพักหนึ่งก่อนจะกลายเป็นแสงสีดำเส้นหนึ่งเหาะเร็วรี่ไปยังทิศที่เผ่ามนุษย์อยู่
ขณะที่เขาเหาะพรวดเดียวผ่านระยะทางสิบกว่าลี้ กำลังจะพุ่งผ่านท้องฟ้าที่ดูเหมือนธรรมดาแห่งหนึ่งนั่นเอง ทันใดนั้นเบื้องหน้าก็เกิดคลื่นไหวกระเพื่อมราวกับผิวน้ำ
หลิ่วหมิงรู้สึกว่าทิวทัศน์เบื้องหน้าพร่ามัว เมื่อได้สติคืนมาเขาก็พบว่าตัวเองอยู่ในหุบเขาสูงชันสีเขียวขจีอันกว้างขวางแห่งหนึ่ง
สิ่งที่แตกต่างจากก่อนหน้านี้ก็คือบนเขาสองฝั่งมีเพียงส่วนยอดเขาเท่านั้นที่มีหิมะขาวโพลนทับถมอยู่ ทว่าภายในหุบเขาล้วนเต็มไปด้วยสีเขียว ต้นไม้ใบหญ้างอกงามราวกับแดนสวรรค์ที่หลบเร้นจากโลกภายนอก
ในตอนนี้เองลำแสงสีเหลืองกับสีน้ำเงินสองสายก็พุ่งออกมาจากในหุบเขา มุ่งมาหาหลิ่วหมิงอย่างรวดเร็ว
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วหยุดลำแสงทันที
“ผู้มาเยือนคือผู้ใด? กล้าล่วงล้ำพันธมิตรเผ่ามนุษย์!” ท่ามกลางหมอกเมฆสีเหลือง ผู้เฒ่าหางคิ้วตกที่สวมเสื้อผ้าของศิษย์สำนักเฮ่าหรานตวาดถามเสียงดัง