ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 961 ใช้แผนซ้อนแผน
หลังจากผู้ฝึกฝนแซ่ซุนแนะนำคนทั้งหมดจบ เขาก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
“จะว่าไปแล้วคราวนี้สหายหลิ่วช่างมาได้เหมาะเจาะ เมื่อครู่พวกเรากำลังหารือเรื่องการประลองกับเผ่าปีศาจอยู่พอดี”
“การประลอง?” หลิ่วหมิงได้ยินก็งุนงง
“ไม่ผิด เมื่อวานเผ่าปีศาจฉับพลันเปลี่ยนท่าทีแข็งกร้าวก่อนหน้านี้มาเป็นเสนอให้ร่วมมือกันเปิดซากโบราณสถานค้นหาสมบัติด้านในด้วยกัน แต่การแบ่งสรรสมบัติ อีกฝ่ายเสนอให้แบ่งสมบัติออกเป็นเจ็ดส่วนเท่าๆ กันแล้วใช้การประลองหนึ่งต่อหนึ่งเจ็ดรอบเป็นตัวกำหนดผลลัพธ์” ผู้ฝึกฝนแซ่ซุนอธิบายช้าๆ
“เหอะ พวกเขามีหรือจะเจตนาดี ไม่ใช่เพราะเมื่อวันก่อนศิษย์พี่ซุนสู้กับระดับแก่นแท้สองตนจนไม่ทันระวังได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย วันนี้พวกเขาถึงเสนอการประลองเช่นนี้หรือ หน้าไม่อายจริงๆ!” ศิษย์สำนักเฮ่าหรานที่มีไฝสีดำเม็ดหนึ่งบนหน้าแค่นเสียงเหอะออกมา
“ใช่แล้ว ศิษย์พี่ซุน หากพวกเราตกลงรับข้อเสนอนี้ ไม่เท่ากับพวกเราตัดชุดแต่งงานให้พวกเขา ประเคนสมบัติในซากโบราณสถานมอบให้พวกเผ่าปีศาจหรือ?” ผู้ฝึกฝนอายุน้อยอีกคนหนึ่งของสำนักเฮ่าหรานอ้าปากเอ่ย
เมื่อคำนี้เอ่ยออกมา คนอื่นที่นั่งอยู่ล้วนสีหน้าเคร่งขรึม
ทุกคนที่นั่นต่างรู้ว่าสาเหตุสำคัญที่พวกเขาต้านเผ่าปีศาจมาได้จนถึงตอนนี้ก็เพราะอาศัยจำนวนคนกับข้อได้เปรียบทางกลศึก และการต้านที่ว่านี้ก็เป็นเพียงสถานการณ์ฉากหน้าเท่านั้น การต่อสู้ระหว่างกันพวกเขาชนะน้อยแต่แพ้มาก อีกทั้งเผ่าปีศาจจะสนใจเผ่ามนุษย์เฉพาะตอนที่อีกฝ่ายลอบจู่โจมยามพวกเขาทลายชั้นจำกัดเท่านั้น พวกเขาจึงยังไม่ได้สู้เอาเป็นเอาตายอย่างแท้จริงจนป่านนี้
วันนี้ผู้ที่พลังแข็งแกร่งที่สุดของพวกเขาบาดเจ็บ ไม่มีใครรับมือผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้สองตนของอีกฝ่ายได้แล้ว การประลองห้ารอบที่เหลือเผ่ามนุษย์ไม่แน่ว่าจะคว้าชัยชนะมาได้ถึงครึ่ง อย่างไรผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจจากแผ่นดินหมานฮวงก็มีกายเนื้อแข็งแกร่ง สู้หนึ่งต่อหนึ่งได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด
ยามนี้หลิ่วหมิงจึงกระจ่างใจ ที่แท้สาเหตุที่ตอนแรกศิษย์สำนักเฮ่าหรานสองคนนั้นกระตือรือร้นอยากให้ตนเข้าร่วมพันธมิตรเช่นนั้นก็คงเพราะคิดว่าตนจะชนะได้สักรอบหนึ่ง
“ศิษย์น้องทั้งสองอย่าเพิ่งรีบร้อน เรื่องนี้ข้าใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนแล้วรู้สึกว่าพอทำได้ ประการแรกหลายวันนี้พวกเราสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างรุนแรงไม่ลดละ ต่างฝ่ายต่างเสียหายหนักพอสมควร ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว แต่ละฝ่ายจะกำจัดอีกฝั่งให้ได้อย่างสิ้นเชิงในเวลาอันสั้นหรือเร่งรีบหนีไปจากที่นี่ก็ล้วนทำไม่ได้ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงจะปล่อยให้กลุ่มอำนาจอื่นฉกฉวยประโยชน์ ประการที่สองในเมื่ออีกฝ่ายคิดจะเอาเปรียบพวกเรา ไยพวกเราไม่เป็นเรือลอยตามน้ำแล้วใช้แผนซ้อนแผน?” ผู้ฝึกฝนแซ่ซุนโบกมือไปหาทุกคนแล้วเอ่ยด้วยท่าทางมีเลศนัย
เมื่อเอ่ยคำนี้ออกมาบนใบหน้าของทุกคนก็เผยสีหน้าสงสัยออกมานิดๆ สายตารวมไปอยู่บนร่างผู้ฝึกฝนแซ่ซุนรอคำอธิบายต่อ
“ฮ่าๆ จะว่าไปแล้วก็บังเอิญ พอดีข้ารู้จักวิชาลับชั้นจำกัดอันเร้นลับวิชาหนึ่งที่ทำสัญลักษณ์ให้คนที่กำหนดจากนั้นใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายชนิดพิเศษที่ข้าวางไว้ส่งเฉพาะคนที่ถูกประทับเครื่องหมายไปที่อื่นได้” ผู้ฝึกฝนแซ่ซุนหัวเราะฮ่าๆ แล้วเอ่ยขึ้น
“ถูกเคลื่อนย้ายไปที่อื่นหรือ?” คนที่เหลือต่างประหลาดใจ
“ไม่ผิด เพราะสัญลักษณ์นี่ไม่มีพลังโจมตีอื่นใดดังนั้นจึงไม่มีทางถูกพบอย่างสิ้นเชิง เพียงแต่เวลาในการทำสัญลักษณ์ค่อนข้างนาน อย่างน้อยต้องใช้เวลาหนึ่งก้านธูป แผนของข้าก็คือข้าจะวางชั้นจำกัดที่จำเป็นไว้ในสถานที่ประลองให้เรียบร้อยล่วงหน้า เมื่อทุกคนขึ้นประลองขอจงยืดเวลาให้ได้นานที่สุด ซื้อเวลาเพื่อประทับสัญลักษณ์เข้าไปบนร่างของอีกฝ่ายระหว่างประลอง ส่วนข้าจะใช้วิชาร่างแยกลอบเข้าไปที่ปากทางเข้าซากโบราณสถานอย่างเงียบๆ ระหว่างการประลองแล้ววางค่ายกลเคลื่อนย้ายระยะไกลที่ตอบสนองกับสัญลักษณ์ไว้รอบๆ คราวนี้ทันทีที่พวกเราทำลายชั้นจำกัด ข้าก็จะกระตุ้นค่ายกลเคลื่อนย้ายนั่น เผ่าปีศาจมีทั้งหมดสิบกว่าคน เมื่อผู้ฝึกฝนที่เป็นกำลังหลักเจ็ดคนถูกเคลื่อนย้ายจากไปกะทันหัน คนที่เหลือย่อมไม่มีค่าให้กลัว รอเจ็ดคนนี้เร่งรีบเดินทางล้านกว่าลี้กลับมา ซากโบราณสถานก็ถูกพวกเรากวาดจนเกลี้ยงไปนานแล้ว” ผู้ฝึกฝนแซ่ซุนกวาดสายตามองใบหน้าของทุกคนแล้วเอ่ยปากอธิบายอย่างเชื่องช้า
“ศิษย์พี่ซุนไม่เสียทีเป็นมันสมองแห่งสำนักเฮ่าหราน แผนนี้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก!” บุรุษรูปร่างผอมสูงคนหนึ่งฟังแล้วดวงตาเป็นประกาย สะบัดแขนเสื้อเอ่ยชม
หลังจากทุกคนขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกว่าไม่ติดปัญหาอันใดจึงพากันพยักหน้าแสดงออกว่าเห็นด้วย
แม้หลิ่วหมิงคิดเช่นกันว่าแผนการนี้เป็นไปได้ แต่ในใจก็ยังรู้สึกว่ามีปัญหาบางอย่างอยู่เลือนราง แต่บอกไม่ถูกว่ามีปัญหาที่ตรงไหน หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งเขาจึงพยักหน้าด้วย
“การประลองกับเผ่าปีศาจอันตรายยิ่งนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มของอีกฝ่ายมีผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้สองตน หากพวกเราตายในการประลองขึ้นมา นั่นคงไม่ใช่แผนการสำเร็จแต่ไม่อาจได้ส่วนแบ่งสมบัติล้ำค่าในโบราณสถานแห่งนี้รึ?” ในตอนนี้เองผู้ฝึกฝนชุดขาวจากนิกายปีศาจลี้ลับก็เอ่ยปากจี้ถามหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ผู้ที่เข้าประลองอันตรายอยู่บ้างจริงๆ แม้ตอนที่อีกฝ่ายเสนอให้ประลองจะบอกไว้อย่างชัดเจนว่าขอเพียงฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายยอมแพ้จะไม่ทำร้ายเอาชีวิต แต่ในเมื่อผลลัพธ์ของการประลองส่งผลต่อส่วนแบ่งสมบัติ คิดว่าทั้งสองฝ่ายก็คงต่อสู้เอาชีวิตเป็นเดิมพัน เรื่องนี้ข้าได้แต่รับปากทุกท่านว่าหากเป็นผู้เข้าร่วมประลอง ยามแบ่งสมบัติจะได้รับเพิ่มขึ้นจำนวนหนึ่ง ส่วนเรื่องที่อีกฝ่ายมีผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้สองตน ตนหนึ่งในนั้นย่อมเป็นข้าขึ้นประลองเอง ส่วนอีกคนหนึ่งที่จะขึ้นประลองกับศัตรูคงต้องมีกายเนื้อแข็งแกร่งจนยื้อเวลาให้ได้ถึงหนึ่งก้านธูป หากสหายท่านใดยินดี หลังจากขบคิดเรียบร้อยแล้วก็บอกกับข้า ขอเพียงทำสัญลักษณ์ใส่อีกฝ่ายสำเร็จ ยามแบ่งสมบัติคนผู้นี้ย่อมได้เพิ่มจากที่ได้อยู่เดิมอีกหนึ่งส่วน” ระหว่างที่พูดสายตาของผู้ฝึกฝนซุนก็เปล่งประกายวิบวับ ท้ายที่สุดมาหยุดอยู่บนร่างของหลิ่วหมิง
ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์คนอื่นที่นั่นก็ล้วนสีหน้านิ่งขรึมไม่พูดไม่จา บางคนในนั้นก็หันสายตามาทางหลิ่วหมิงอย่างตั้งใจแต่เหมือนไม่ตั้งใจด้วย
แม้ต้องยื้อเวลาเท่านั้น แต่ความจริงในใจทุกคนล้วนรู้ดีว่าผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ที่มาปรากฏตัวในเศษซากโลกบนได้ย่อมไม่ใช่ระดับแก่นแท้ธรรมดาทั่วไป จะยื้อเวลาให้ได้หนึ่งก้านธูปไม่ใช่เรื่องที่ผู้ฝึกฝนระดับแก่นเสมือนธรรมดาจะทำได้
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ทว่าเขากลับไม่ได้เอ่ยปากออกมาทันที
“หากผู้ใดยินดีเข้าร่วมประลองก็บอกข้าได้ตอนนี้ หรือจะกลับไปคิดสักหน่อยวันพรุ่งนี้ค่อยตอบข้าก็ไม่สาย ใช่แล้วลืมบอกทุกคนไปว่าวันนัดประลองระหว่างทั้งสองเผ่าคือสองวันหลังจากนี้ นอกเหนือจากนี้หากทุกคนมีความคิดอื่นใดล้วนเอ่ยที่นี่ได้” ผู้ฝึกฝนแซ่ซุนเห็นทุกคนไม่เอ่ยปากก็พูดเสริมขึ้นมา
หลังจากเวลาผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป ผู้ฝึกฝนหลายคนที่นั่งอยู่ก็แสดงตัวว่ายินดีเข้าร่วมประลอง แต่ไม่มีผู้ใดยินดีสู้กับผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้อีกตนหนึ่งของเผ่าปีศาจ
จากนั้นทุกคนก็หารือรายละเอียดเกี่ยวกับการต่อสู้อีกเล็กน้อยแล้วตัดสินใจว่าจะยื้อเวลาเพิ่มอีกสองสามวัน พร้อมกันนั้นจะส่งคนจำนวนหนึ่งไปลาดตระเวนใกล้ๆ เพิ่ม หวังว่าจะชักชวนยอดฝีมือเผ่ามนุษย์อีกจำนวนหนึ่งมาเข้าร่วมพันธมิตรเผ่ามนุษย์ชั่วคราวนี้ได้
ผ่านไปเช่นนี้เป็นเวลาหนึ่งชั่วยามกว่า ทุกคนก็จบการประชุมครั้งนี้แล้วทยอยลุกขึ้นขอตัวจากไป
พริบตาเดียวในห้องโถงก็เหลือเพียงผู้ฝึกฝนแซ่ซุนกับหลิ่วหมิง
สาเหตุที่หลิ่วหมิงถูกรั้งไว้ลำพัง ไม่ต้องบอกทุกคนก็รู้ดีแก่ใจ
“สหายหลิ่ว คิดว่าเจ้าคงเดาสาเหตุที่ข้ารั้งเจ้าไว้ได้อยู่แล้วกระมัง” ผู้ฝึกฝนแซ่ซุนเห็นทุกคนจากไปหมดแล้วก็เอ่ยตรงไปตรงมาอย่างไม่เกรงใจ
“ข้าย่อมรู้ความหมายของศิษย์พี่ซุน โปรดวางใจ ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจระดับแก่นแท้อีกตนมอบให้ผู้แซ่หลิ่วรับมือเถิด แม้ข้าจะมีหวังชนะไม่มาก แต่แค่ยื้อเวลาครึ่งเค่ออย่างไรก็ไม่มีปัญหา” หลิ่วหมิงเอ่ยเสียงเรียบ
“ดี ดียิ่งนัก! ข้ารู้อยู่แล้วว่าสหายหลิ่วจะต้องรับปากเรื่องนี้ ในงานประตูสวรรค์สหายหลิ่วแสดงความสามารถโดดเด่น พลังทัดเทียมระดับแก่นแท้ตั้งแต่ตอนนั้น เชื่อว่าศึกนี้อาจจะชนะก็เป็นได้” ผู้ฝึกฝนแซ่ซุนได้ยินก็ดีใจยิ่งกว่าที่หวัง
“งานประตูสวรรค์เป็นเรื่องเมื่อหลายปีก่อน ยามนั้นข้าเพียงโชคดีเล็กน้อยเท่านั้น หากไม่มีเรื่องอื่น ข้าก็ขอตัวก่อน” หลิ่วหมิงยิ้มน้อยๆ เอ่ยตอบ
“ได้! ก่อนหน้าประลองต้องสั่งสมกำลังให้ดี ข้าไม่รั้งสหายหลิ่วไว้แล้ว เจ้าขุดถ้ำชั่วคราวสักแห่งใกล้ๆ หากมีเรื่องใดข้าจะได้ส่งกระแสจิตแจ้งเจ้าได้อย่างรวดเร็ว” ผู้ฝึกฝนแซ่ซุนพยักหน้าแล้วเอ่ยอย่างเกรงใจอีกสองสามประโยค
หลังจากหลิ่วหมิงประสานมือให้ เขาก็ก้าวเร็วไวออกจากห้องโถงไป
ในเวลาเดียวกัน ณ ที่มั่นของเผ่าปีศาจมุมตะวันตกเฉียงเหนือของเขาหิมะ
ในถ้ำที่มืดสนิทไร้แสงสว่างแห่งหนึ่งเสียงสองเสียงกำลังพูดคุยกันอย่างลับๆ
“พี่อิง ท่านคิดอะไรอยู่ถึงเสนอให้ทำลายชั้นจำกัดร่วมกับเผ่ามนุษย์แล้วยังจะตัดสินสิทธิ์การครอบครองสมบัติด้วยการประลองอีก!” เสียงทุ้มทรงพลังเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น
“สหายสยงไม่ต้องร้อนใจ แม้บอกว่าจะประลองกันเจ็ดรอบ แต่ด้วยพลังของพวกเราจะแพ้ให้ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์พวกนั้นได้อย่างไร อีกอย่างอีกฝั่งมีผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้เพียงคนเดียว แล้วตอนนี้ยังได้รับบาดเจ็บอีก จากที่ข้ารู้มาพักนี้อีกฝ่ายไม่มียอดฝีมือคนอื่นมาเสริมทัพ พวกเราจะชนะห้าถึงหกรอบก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด” เสียงที่ฟังดูแหบพร่าอีกเสียงหนึ่งหัวเราะหยันเอ่ยขึ้นมา
“เหอะ ก่อนหน้านี้พวกเราคิดจะกวาดซากโบราณสถานแห่งนี้ก่อนจี๋อิ่งกับหู่ฉางสองคนจะมา แต่คิดไม่ถึงว่าจะพบผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ของแผ่นดินจงเทียนเหล่านี้เข้า ตอนนี้หวังให้พวกเขาสองคนมากำจัดเผ่ามนุษย์เสียให้หมดแต่พวกเขากลับหายเงียบราวกับระเหยไปแล้ว” เจ้าของเสียงทุ้มเข้มท่าทางโกรธเกรี้ยวอย่างยิ่ง
“จี๋อิ่งผู้นี้ถือดีอย่างที่สุด เกรงว่ามาถึงที่นี่คงมีแต่จะสร้างความยุ่งยากเพิ่ม มอบสมบัติหนึ่งในเจ็ดส่วนให้ก็ไม่แน่ว่าจะไล่เขาไปได้ ไม่สู้แบ่งให้เผ่ามนุษย์นิดหน่อยแล้วพวกเราไม่ต้องสู้ยืดเยื้อต่อจนปล่อยให้ถึงเวลาถูกผู้อื่นเข้ามาฉกฉวยผลประโยชน์” เสียงแหบพร่าแค่นเสียงดูแคลนแล้วเอ่ยขึ้นมา
“หากเป็นเช่นนี้ก็ได้แต่ทำเช่นนี้ แต่สมาชิกที่ออกไปสู้คงต้องใคร่ครวญให้ดีสักหน่อย”
หลังจากอีกเสียงหนึ่งแสดงออกว่าเห็นด้วย เพียงครู่เดียวเสียงพูดคุยในถ้ำก็เงียบกริบ
ด้านข้างฐานของผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์เป็นที่ราบซึ่งปกคลุมด้วยหิมะและน้ำแข็งแห่งหนึ่ง สุดปลายที่ราบคือยอดเขาขนาดเล็กสูงต่ำไม่เท่ากันลูกแล้วลูกเล่า ยอดเขาเหล่านี้ลูกที่สูงขนาดร้อยกว่าจั้ง ลูกที่เตี้ยกลับสูงไม่กี่จั้ง
แม้ที่แห่งนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของแดนน้ำแข็งขั้วโลก แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใดใต้หิมะสีขาวโพลนกลับไม่รู้สึกถึงความหนาวเย็นแม้แต่น้อย
ด้านในถ้ำที่แลดูธรรมดาแห่งหนึ่งใต้ยอดเขาน้อยที่ไม่สะดุดตาลูกหนึ่งในนั้น หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิเล่นลูกแก้วใสแวววาวลูกหนึ่งในมือ ใบหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดบางสิ่ง
ในเวลานี้เองลำแสงเส้นหนึ่งก็มุ่งเร็วรี่มายังถ้ำชั่วคราวที่หลิ่วหมิงขุด
“สหายหลิ่วอยู่ที่นี่หรือไม่ ข้าหลี่หย่งหงมาเยี่ยมคารวะ!” เสียงแหวกอากาศดังหวีดหวิวพร้อมกับเสียงกระแสจิตประโยคหนึ่งดังตามขึ้นมาติดๆ
หลิ่วหมิงอาศัยจิตสัมผัสอันแข็งแกร่งจึงค้นพบคนผู้นี้ตั้งแต่อยู่ห่างไปสิบกว่าลี้ เขาก็คือผู้ฝึกฝนแซ่หลี่จากแปดตระกูลใหญ่ที่อยู่ในห้องโถงประชุมด้วยกันก่อนหน้านี้นั่นเอง