ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 966 ร่างแยกหุ่น
“เปรี้ยง” “เปรี้ยง” เสาน้ำทอแสงสีฟ้าวูบวาบแล้วทยอยระเบิดทีละต้น พริบตาเดียวก็กลายเป็นน้ำทะเลซัดสาดโถมออกไปสี่ด้านแปดทิศ
สมาชิกทั้งหมดของเผ่ามนุษย์กับเผ่าปีศาจสองฝั่งสีหน้าเปลี่ยนไปทันที พวกเขาต่างใช้เคล็ดวิชาของตนพุ่งถอยไปด้านหลัง ในเวลาเดียวกันนั้นรอบร่างก็มีเกราะคุ้มกันชั้นแล้วชั้นเล่ากั้นน้ำออกไป
ชั่วครู่หลังจากนั้นพื้นที่ว่างใกล้ๆ ก็ถูกน้ำทะเลถาโถมท่วมทับจนเหมือนทะเลสาบขนาดย่อม
วิชาที่ใช้พลังเวทเรียกน้ำมหาศาลออกมาเช่นนี้ไม่ได้แปลกประหลาด แต่เพียงพลิกฝ่ามือก็สร้างนครน้ำใหญ่โตเช่นนี้ออกมาได้อย่างหลิ่วหมิงออกจะน่าตกตะลึงอยู่บ้าง
ใจกลางของน้ำทะเล หลิ่วหมิงเผยสีหน้าพึงพอใจออกมาเล็กน้อย เขากวักมือข้างหนึ่ง ธงคำสั่งพลันแหวกอากาศดังฟึบกลับมาจากนั้นจมหายเข้าไปในแขนเสื้อของเขา
เหตุที่เขาเรียกผืนน้ำกว้างใหญ่เช่นนี้ออกมาได้ ด้านหนึ่งเป็นคุณงามความดีของธงคำสั่งผืนนี้ ส่วนอีกด้านหนึ่งเพราะรอบด้านเป็นเขาหิมะรกร้างซึ่งมีน้ำไม่หมดไม่สิ้น ดังนั้นใช้วิชาเพียงนิดเดียว พลังจึงส่งผลเป็นเท่าทวี
ในเวลาเดียวกันนี้บนร่างของบุรุษจมูกอินทรีก็มีเกราะแสงสีน้ำเงินชั้นหนึ่งกางกั้นน้ำทะเลรอบด้านอยู่นานแล้ว พร้อมกับที่ร่างกายพุ่งถอยออกไปหยุดอยู่ห่างหลายสิบจั้ง เขามองน้ำทะเลผืนใหญ่รอบด้าน สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยแต่ฟื้นกลับเป็นปกติในทันใด
“คิดไม่ถึงว่าผู้ฝึกฝนระดับแก่นเสมือนจากเผ่ามนุษย์ตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะมีพลังเวทมหาศาลเช่นนี้ แต่เจ้าคิดว่าการต่อสู้ในน้ำจะทำให้ได้เปรียบงั้นหรือ ไร้เดียงสาเกินไปแล้วจริงๆ!” บุรุษจมูกอินทรีหัวเราะหยันแล้วพลิกมือข้างหนึ่งหงายขึ้น ทันใดนั้นยันต์ซึ่งทอแสงสีฟ้าแผ่นหนึ่งพลันปรากฏขึ้นในมือ จากนั้นเขาจึงพลิกมือตบลงบนหน้าอก
แสงสีฟ้าสว่างวูบหนึ่ง ยันต์ก็จมหายเข้าไปในร่างเขาอย่างไร้ร่องรอย ในเวลาเดียวกันนั้นรอบร่างพลันเกิดประกายน้ำชั้นหนึ่ง เกราะแสงสีน้ำเงินถูกเก็บกลับไป
ครั้งนี้ทั้งสองคนไม่พูดอันใดกันมากอีก พวกเขาประจันหน้ากันอยู่ไกลๆ เพียงชั่วอึดใจ ปีกบนแผ่นหลังก็ขยับกระพือพร้อมกัน กลายเป็นลำแสงสีเงินกับสีน้ำเงินสองสายพุ่งเร็วรี่ชนกันดังกึกก้อง
เสียงดังสนั่นสะเทือนฟ้า น้ำทะเลปั่นป่วนอย่างรุนแรงโดยมีจุดที่พลังเวทของทั้งสองคนปะทะกันเป็นศูนย์กลาง คลื่นยักษ์ท่วมฟ้าลูกแล้วลูกเล่าก่อตัวขึ้นเป็นระยะแล้วเกิดเป็นวังน้ำวนยักษ์ลูกแล้วลูกเล่าในพริบตา
ผู้ฝึกฝนแซ่ซุนที่ชมการต่อสู้อยู่กลอกตาไปมองรอบด้านเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าความสนใจของทุกคนถูกการต่อสู้ของหลิ่วหมิงกับบุรุษจมูกอินทรีดึงไปหมดแล้ว เขาจึงก้มหน้าลง แสงสีทองสายหนึ่งแล่นผ่านในดวงตาไป
บุรุษจมูกอินทรีถูกหลิ่วหมิงยื้อเอาไว้จนไม่มีเวลาว่างแบ่งสมาธิ บุรุษกำยำผิวดำจากเผ่าหมีเถื่อนก็ไม่ระวัง ตอนนี้เป็นโอกาสดีที่จะลงมือ!
เขาลอบทำท่ามือของเคล็ดวิชาในแขนเสื้อ แสงเรืองๆ สว่างขึ้นวูบหนึ่ง ในมือพลันมีหุ่นมนุษย์ขนาดเท่ากำปั้นตัวหนึ่งปรากฏขึ้น ใบหน้าของมันทอแสงเรืองๆ ทันใดนั้นดวงตาที่เปล่งแสงสีเหลืองคู่หนึ่งก็โผล่ออกมา
ในเวลาเดียวกันนี้ห่างออกไปหลายพันลี้ ณ ตีนเขาหิมะที่ตั้งตระหง่านสูงเสียดฟ้าลูกหนึ่ง เสาหินสีน้ำเงินสูงหลายสิบจั้ง หนาหนึ่งจั้งสองต้นยืนตั้งอยู่ใกล้กับตัวภูเขา
บนเสาหินสลักยันต์ตัวใหญ่ตัวเล็กเอาไว้นับไม่ถ้วน พวกมันทอแสงหลากสีสันระยิบระยับ
ตรงกลางระหว่างเสาหินสองต้นคือหุบเขาแห่งหนึ่ง เกราะแสงสีเหลืองขมุกขมัวรูปไข่ไก่ผืนหนึ่งล้อมหุบเขาทั้งหมดไว้อย่างแน่นหนา
แสงสีเหลืองแสบตาพุ่งตรงขึ้นสู่ท้องฟ้าดูเด่นสะดุดตายิ่งนักท่ามกลางผืนดินที่มีแต่น้ำแข็งกับหิมะสีขาวโพลนรอบด้าน
ที่แห่งนี้ก็คือทางเข้าของซากโบราณสถาน
ด้านข้างเสาหินสองต้นฝั่งซ้ายและขวามีผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจแยกกันยืนอยู่ฝั่งละสองตน ฝั่งซ้ายคือเผ่าหมีสองตน ส่วนฝั่งขวาคือเผ่าอินทรีสองตน
พลังของเผ่าปีศาจทั้งสี่ตนล้วนอยู่ในช่วงระดับผลึกขั้นปลาย นับว่าเป็นผู้ที่มีพลังระดับต่ำในหมู่ผู้ที่เดินทางเข้ามาในเศษซากโลกบนครั้งนี้ แต่ก็เพราะสาเหตุนี้ พวกเขาจึงถูกส่งมาเฝ้าทางเข้าซากโบราณสถาน
แม้ทั้งสี่ตนรับผิดชอบเฝ้าดูที่แห่งนี้ แต่ท่าทางพวกเขาล้วนเบื่อหน่ายอยู่บ้าง บางครั้งยังมีคนหาวหวอด
“ไม่รู้จริงๆ ว่าพี่ใหญ่คิดอย่างไร ทางเข้าซากโบราณแห่งนี้แข็งแกร่งยิ่งนัก ไม่มีทางถูกคนเปิดในเวลาสั้นๆ ได้แน่นอน แล้วยังจะส่งพวกเรามาเฝ้าที่นี่อีก” ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจหมีรูปร่างบึกบึนคนหนึ่งชะเง้อมองไปรอบด้านอย่างขอไปทีพลางบ่นงึมงำ
“ก็นั่นสิ การประลองกับเผ่ามนุษย์พวกนั้นวันนี้ ข้าเองก็อยากไปชมบ้าง คิดไม่ถึงว่าจะถูกส่งมาเฝ้าประตู น่าเบื่อแท้!” ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจหมีอีกตนหนึ่งบิดขี้เกียจขณะที่โอดครวญ
ผู้ฝึกฝนเผ่าอินทรีสองตนที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งได้ยินคำพูดของปีศาจเผ่าหมีสองตน พวกเขาก็สบตากันแล้วแค่นหัวเราะอย่างไร้เสียง
ทว่าสิ่งที่ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจเหล่านี้ไม่ได้สังเกตก็คือห่างจากทางเข้าซากโบราณสถานไปหลายร้อยจั้ง มีเงาคนสีน้ำตาลทองร่างหนึ่งผุดขึ้นมาจากใต้พื้นดินอย่างเชื่องช้า
เงาคนผู้นี้ผลุบๆ โผล่ๆ คล้ายร่างจิตวิญญาณ แต่กลับไม่เผยลมปราณออกมาแม้แต่น้อยจนเหมือนศิลาก้อนหนึ่ง ทว่าส่วนใบหน้าที่พร่ามัวนั้นดูคล้ายผู้ฝึกฝนแซ่ซุนอยู่แปดส่วน เพียงแต่ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกแม้แต่น้อย
เงาคนสีเหลืองกวาดสายตามองรอบด้านอย่างเร็วไว หลังจากนั้นจึงแฝงตัวเข้าไปใต้พื้นดิน โผล่ออกมาบนพื้นเพียงครึ่งศีรษะ มันสำรวจชั้นจำกัดยักษ์ที่ปากทางเข้าโบราณสถานครั้งหนึ่งอย่างละเอียด ดวงตาเปล่งแสงสีเลือดที่แทบจะสังเกตไม่เห็นขึ้นมาวูบหนึ่ง
อึดใจหลังจากนั้นเงาคนสีเหลืองพลันอ้าปาก ไอหมอกสีแดงอ่อนทะลักออกมาจากปากไม่ขาดสาย แสงหลากสีที่ส่องลงมาจากเสาศิลาของชั้นจำกัดตรงปากทางเข้าทำให้สังเกตเห็นยากยิ่งขึ้น
ไอหมอกแผ่ไปรอบด้านอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาเพียงเจ็ดถึงแปดลมหายใจมันก็กลืนเข้ากับอากาศจนหมดสิ้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจหมีตนหนึ่งคล้ายจะรู้สึกได้ เขาขยับจมูกยุกยิก แต่จากนั้นบนใบหน้ากลับปรากฏสีหน้ามึนเมาเล็กน้อย
“เจ้ากำลังทำอะ…” เผ่าหมีอีกตนหนึ่งเหมือนจะสังเกตเห็นอาการที่แปลกไปของสหายแล้ว เขาคิดจะเอ่ยถาม ทว่าพูดมาได้ครึ่งเดียวก็เผยสีหน้ามึนเมาออกมาเช่นเดียวกัน ราวกับว่าเขาจมดิ่งลงไปในห้วงฝันหวานสักเรื่องแล้ว
ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจอินทรีทั้งสองตนประสาทดมกลิ่นทื่อกว่าเผ่าหมีอยู่มาก พวกเขาสูดไอหมอกสีโลหิตเข้าไปไม่น้อยอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวจนไม่ได้สติ ดวงตาเลื่อนลอยเช่นเดียวกัน
ผ่านไปอีกครู่หนึ่งเงาคนสีเหลืองจึงแทรกออกมาจากพื้นดินอย่างเชื่องช้า มันกวาดสายตาผ่านร่างผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจทั้งสี่ตน บนใบหน้ายังคงเรียบเฉย แต่เมื่อแสงสีเหลืองรอบร่างไหลเคลื่อนอยู่พักหนึ่ง ร่างกายก็ค่อยๆ ก่อตัวชัดเจน
ทันใดนั้นมันพลันกางสองมือออก แสงสีน้ำเงินส่องสว่างบนฝ่ามือจากนั้นธงค่ายกลหนาตั้งหนึ่งก็ปรากฏขึ้น
ฟึบ! ฟึบ!
นิ้วมือของมันดีดราวกับโบยบิน แสงรัศมีสีน้ำเงินส่องสว่าง ธงค่ายกลผืนแล้วผืนเล่าทะยานออกไปร่วงลงบนพื้นดินใกล้กับเสาศิลาสีน้ำเงินทั้งสองต้น เรียงเป็นลำดับบางอย่างจนเรียบร้อย
เพียงชั่วครู่ธงค่ายกลทั้งหมดก็ปักลงบนพื้นก่อตัวเป็นค่ายกลรูปร่างแปลกประหลาดค่ายกลหนึ่ง หน้าตาคล้ายคลึงกับค่ายกลเคลื่อนย้ายที่พบเห็นบ่อยครั้งบนแผ่นดินจงเทียนอยู่เล็กน้อย แต่ก็ไม่เหมือนกันเสียทั้งหมด
หลังจากนั้นเสียงดังหวีดหวิวเบาๆ ก็ดังออกมาจากปากของร่างแยกสีเหลือง มันอ้าปากพ่นแสงสีเหลืองหลายสิบสายออกมาอย่างต่อเนื่อง
แสงสีเหลืองแต่ละสายร่วงลงบนธงค่ายกลอย่างแม่นยำ แสงสีน้ำตาลทองก็ส่องสว่างขึ้นวูบหนึ่ง หลังจากนั้นธงค่ายกลทั้งหมดก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยในพริบตา
ครู่ต่อมาแสงสีเหลืองหลายสิบสายก็พุ่งออกมาจากใต้พื้น พวกมันเลื้อยไปหาเสาศิลาสีน้ำเงินสองต้นดุจเถาวัลย์สีเหลือง จากนั้นหายวับกลืนเข้าไปด้านใน
หลังจากเงาสีเหลืองทำทุกสิ่งนี้เสร็จสิ้น แสงสีเหลืองพลันสว่างวูบบนร่างมันอีกหนแล้วมุดเข้าไปใต้ดินหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เวลาชั่วจิบชาหลังจากนั้น แววตามึนเมาในดวงตาของผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจทั้งสี่ตนก็ค่อยๆ จางหายไป พวกเขาฟื้นคืนกลับมา ทว่าทั้งสี่ตนคล้ายจะลืมเลือนเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไปอย่างประหลาด พวกเขายังคงคุยเล่นเฝ้าทางเข้าซากโบราณสถานต่อไปดังเดิม
……
ใต้ทะเลโลหิตบนโลกมนุษย์ บนแท่นบูชาสีดำที่รายล้อมด้วยยอดเขามหึมาห้าลูก เงาคนสูงใหญ่ที่ถูกโซ่นับไม่ถ้วนพันธนาการอยู่ร่างหนึ่งกำลังมองขึ้นไปเหนือทะเลโลหิตด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความดุร้าย
“คำนวณเวลาดูก็น่าจะใกล้แล้วสินะ! ขอเพียงได้สิ่งนั้นมา ข้าก็จะไปจากสถานที่บัดซบนี่ได้ ใช่แล้ว ในที่สุดก็จะไม่ต้องหลบซ่อนอยู่ในสถานที่ไร้แสงตะวันชั่วนิรันดร์อีกต่อไป ใครกล้าทำงานใหญ่ของข้าเสียเรื่อง ข้าจะทำลายทั้งสำนักทั้งเผ่าให้สิ้นซาก สักคนก็ไม่เว้น…” เงาคนผู้มีเส้นผมสีเลือดทั้งศีรษะพึมพำด้วยเสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน
……
ณ ลานประลองของเผ่ามนุษย์กับเผ่าปีศาจที่เศษซากแห่งโลกบน
ผู้ฝึกฝนแซ่ซุนเงยหน้าขึ้นอย่างเชื่องช้าแล้วกวาดสายตามองผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์กับเผ่าปีศาจทั้งหลายรอบด้าน ดวงตาฉายแววเย้ยหยันเล็กน้อยจากนั้นก็มองไปที่การประลองบนลานต่อเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
เวลานี้ท่ามกลางดินแดนแห่งผืนน้ำเบื้องหน้าทุกคน แสงสีเงินสายหนึ่งกับแสงสีน้ำเงินสายหนึ่งกำลังโรมรันอยู่ด้วยกัน เดี๋ยวผละแยกเดี๋ยวเข้าปะทะว่องไวดุจสายฟ้าแลบ เสียงอสนีบาตฮึมฮำดังขึ้นเป็นพักๆ
เปรี้ยง!
แสงสองสายปะทะกันอย่างรุนแรงแล้วผละจากกันอีกครั้ง
หลิ่วหมิงกับบุรุษจมูกอินทรีมองกันจากไกลๆ ทั้งสองคนล้วนหอบหายใจเล็กน้อย
เวลานี้ทั้งสองคนสภาพสะบักสะบอมอยู่บ้าง เสื้อผ้าบนร่างมีรอยขาดหลายตำแหน่ง เห็นรอยเลือดอยู่เลือนราง
บุรุษจมูกอินทรีหน้าตาถมึงทึง เขาเป็นสมาชิกเผ่าตนสำคัญของเผ่าอินทรีทะลวง แล้วยังพลังระดับแก่นแท้ขั้นปลาย แต่ดันถูกเผ่ามนุษย์ระดับแก่นเสมือนคนหนึ่งไล่ตามความเร็วที่ตนเชื่อมั่นที่สุดทัน
แม้เขาจะมีวิธีการบางอย่างลดผลกระทบที่เกิดจากดินแดนแห่งผืนน้ำรอบด้านให้น้อยลงที่สุดได้ แต่อย่างไรสภาพก็ยังด้อยกว่าอยู่บนพื้นดินขั้นหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นจิตสัมผัส ปฏิกิริยาตอบสนองหรือความเร็วก็ลดลงไปบ้างไม่มากก็น้อย
แต่เมื่อย้อนกลับไปมองเผ่ามนุษย์คนนั้น หลังจากปีกเนื้อสีเงินคู่นั้นบนร่างเปล่งแสงสีฟ้าอ่อนชั้นหนึ่งออกมา เขากลับอยู่ที่นี่ราวกับปลาได้น้ำ ความเร็วเพิ่มขึ้นกว่าอยู่บนท้องฟ้าเกือบครึ่งเท่า
บุรุษจมูกอินทรีขบคิดอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นประกายแสงสีทองก็แล่นผ่านดวงตาไป ปีกทั้งคู่บนแผ่นหลังกระพืออย่างรุนแรง ร่างกายลากยาวจนกลายเป็นประหนึ่งอสรพิษตัวยาวไร้กระดูกแลดูแปลกประหลาด เสียงระเบิดดังกึกก้องขึ้นครั้งหนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็ปรากฏกายขึ้นตรงหน้าหลิ่วหมิง
เขาตวาดลั่นแล้วขยับสองแขน กรงเล็บคมกริบสีดำคู่หนึ่งตะปบเข้าใส่หลิ่วหมิงอย่างรุนแรง
“ฟึบ” “ฟึบ” ท้องฟ้าเหนือร่างหลิ่วหมิงสั่นไหว เงากรงเล็บมหึมาสีดำขลับคู่หนึ่งครอบพื้นที่หลายสิบจั้งไว้ข้างใต้จนทำให้หลิ่วหมิงเกิดความรู้สึกประหลาดว่าอาจหลบไม่พ้น
ทว่าหลิ่วหมิงกลับไม่ได้มีสีหน้าตกตะลึงคล้ายกับว่าคาดคิดไว้ก่อนแล้ว เขาถอยหลังก้าวหนึ่งอย่างไม่ลนลาน แสงสีเงินบนแผ่นหลังส่องสว่าง แสงสีฟ้าครามสายแล้วสายเล่าโผล่ออกมาจากปีกเนื้อ
เสียงน้ำดังซู่ซ่าขึ้นครั้งหนึ่ง ทันใดนั้นเงาร่างของหลิ่วหมิงก็บิดแล้วหายไปไร้ร่องรอยท่ามกลางสายน้ำอย่างรวดเร็ว ทำให้อีกฝ่ายตะปบพลาดเป้า
บุรุษจมูกอินทรีเห็นภาพนี้พลันยิ้มหยัน ปีกทั้งคู่บนแผ่นหลังสะบัดเพียงครั้งเดียว แสงสีน้ำเงินพลันส่องสว่าง คมดาบสายลมขนาดเท่าฝ่ามือมากมายนับไม่ถ้วนพุ่งเร็วไวออกมาจากปีก
คมดาบสีน้ำเงินเลี้ยวไปทางเดียวกันอย่างพร้อมเพรียงพร้อมกับเสียงแหวกอากาศ เป้าหมายก็คือจุดที่ดูเหมือนจะว่างเปล่าห่างไปสิบกว่าจั้ง
ทันใดนั้นแสงสีเงินพลันสว่างวูบ ร่างของหลิ่วหมิงบังเอิญปรากฏตัวขึ้นตรงนั้นพอดี เขาดูเหมือนกำลังจะรุกประชิดเข้าไป ทว่าชั่วพริบตากลับถูกดาบสายลมมากมายล้อมไว้ตรงกลาง