ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 972 เหตุการณ์พลิกผันไม่หยุดหย่อน
พร้อมกับที่ทุกคนใช้วิชาไม่หยุด เสียงครืนก็ดังออกมาจากในหุบเขาที่ซากโบราณสถานตั้งอยู่อย่างต่อเนื่อง
แต่ไม่ว่าอาวุธจิตวิญญาณหรือวิชาลับชนิดใดก็ไม่อาจสร้างความเสียหายให้แก่ม่านแสงมหึมาตรงกลางระหว่างเสาศิลาสีน้ำเงินสองต้นนี้ได้มากนัก แสงเรืองรองหลากสีโถมเข้าใส่อย่างบ้าคลั่งแต่กลับไม่เกิดสิ่งใดขึ้นทั้งสิ้นดั่งตุ๊กตาวัวโคลนจมลงไปในทะเล
เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วยามเต็ม ม่านแสงสีน้ำเงินมหึมาผืนนี้เพียงบวมออกมาข้างนอกเล็กน้อยเมื่อเทียบกับตอนแรกเท่านั้น นอกเหนือจากนี้ก็ไม่เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด
เมื่อเห็นเช่นนี้ ผู้ฝึกฝนสองฝั่งก็ล้วนสูดลมหายใจเสียงดัง
“ทั้งสองท่านไม่ลงมือ คิดจะเปลืองเวลาที่นี่สักหลายวันหลายคืนจริงหรือ?” ทันใดนั้นผู้ฝึกฝนแซ่ซุนก็เอ่ยกับพวกสยงเยวี่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“คนแซ่ซุน เจ้าก็ไม่ลงมือเหมือนกันไม่ใช่รึ” สยงเยวี่ยแค่นเสียงหยันอย่างไม่ยี่หระ
บุรุษจมูกอินทรีมองผู้ฝึกฝนแซ่ซุนด้วยสายตาเย็นชาแล้วหันไปมองการทำลายค่ายกลที่ดำเนินอยู่ไม่ไกล ดวงตาฉายแววครุ่นคิดจางๆ
“ดูท่าพวกเราต่างยังระแวงกันไม่น้อย แต่ที่นี่เกิดเสียงดังเช่นนี้ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าคงจะดึงดูดคนของกลุ่มอำนาจอื่นมา ข้าคิดว่าทั้งสองฝ่ายควรวางความระแวง ร่วมแรงกันทำลายชั้นจำกัดก่อนค่อยว่ากัน” หลังจากผู้ฝึกฝนแซ่ซุนเสนอ เขาก็ไม่สนใจว่าผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจสองคนจะตกลงหรือไม่ เขาขยับร่างกายวูบเดียวปรากฏตัวบนท้องฟ้าหน้าม่านแสงสีน้ำเงิน ห้านิ้วกางออก กระจกผนึกแสงที่ทอแสงสีขาวขมุกขมัวปรากฏขึ้นตรงกลางฝ่ามือ ประกายแสงสีขาวเส้นแล้วเส้นเล่าพุ่งออกมาจากปลายนิ้ว
ประกายแสงสีขาวทั้งหมดผนึกรวมกันกลายเป็นลำแสงสีขาวแวววาวหนาเส้นหนึ่งกลางท้องฟ้า
“พรวด!” จากนั้นก็จมเข้าไปที่จุดหนึ่งของม่านแสงสีน้ำเงิน
ผิวของม่านแสงสีน้ำเงินไหวกระเพื่อมแล้วพองขึ้นอีกเล็กน้อย แต่ยังไม่มีทีท่าว่าจะแตกสักนิด
สยงเยวี่ยกับบุรุษจมูกอินทรีสบตากันครั้งหนึ่ง หลังจากสนทนากันเสียงเบาหลายประโยค พวกเขาจึงพากันเหาะขึ้นฟ้ามาปรากฏตัวห่างจากม่านแสงสองสามจั้ง ปราณปีศาจทั่วร่างพวยพุ่งออกมา
“โฮก!”
ไอปีศาจพวยพุ่งกลายเป็นเงาหมียักษ์ตัวหนึ่งอยู่หลังร่างสยงเยวี่ย มันแหงนหน้าคำรามบ้าคลั่งครั้งหนึ่งแล้วอ้าปากพ่นลูกบอลเพลิงสีแดงฉานสามลูกออกมา!
แต่ละลูกเริ่มแรกมีขนาดเพียงเท่าศีรษะ แต่ระหว่างทางพวกมันกลับขยายใหญ่อย่างรวดเร็วระหว่างที่โต้สายลม “ฟู่!” เพียงพริบตาเดียวก็มีขนาดมหึมาเท่าบ้าน แล้วพุ่งตรงเข้าใส่ม่านแสงสีน้ำเงิน
ทันทีที่ลูกบอลเพลิงสีแดงฉานสามลูกสัมผัสถูกม่านแสงสีน้ำเงิน คลื่นสั่นสะเทือนอันรุนแรงพลันเข้าจู่โจม ม่านแสงทั้งผืนเริ่มสั่นคลอน เงาต้นไม้โบราณขนาดมโหฬารต้นหนึ่งที่แทบจะอัดเต็มม่านแสงสีน้ำเงินทั้งผืนค่อยๆ ปรากฏขึ้นมา
เสียงแสกสากดังขึ้นไม่ขาด
ใบไม้สีน้ำเงินลอยว่อนออกมาจากกิ่งของต้นไม้โบราณกลายเป็นแสงสีน้ำเงินสายแล้วสายเล่าฟาดฟันลูกบอลเพลิงสีแดงฉานกระจุยในพริบตา การโจมตีของคนอื่นก็ถูกแสงสีน้ำเงินกลบจนมิด ถูกกำจัดไปกว่าครึ่งเช่นเดียวกัน
หลิ่วหมิงควบคุมกระบี่ขู่หลุ่นในมือให้โจมตีไปพลางก็มองเงาต้นไม้โบราณไปพลาง ขณะที่ในใจนึกสงสัย
ดูจากปรากฏการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นกับชั้นจำกัดนี้ หรือว่ามันจะเกี่ยวข้องอันใดกับตราประทับชิ้นนั้นในมือหลานซือ?
ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังครุ่นคิดอย่างเร็วไวอยู่นั้น บุรุษจมูกอินทรีก็ลงมือ
เขากางแขนทั้งสองข้างออกดุจพญาอินทรีแล้วสะบัด ขนนกสีเทาเส้นแล้วเส้นเล่าบินออกมาจากในแขนเสื้อ พวกมันหมุนติ้วอยู่กลางอากาศรอบหนึ่งพลันกลายเป็นพายุหมุนสีเทา
“ฟู่ๆ” พายุหมุนมากมายปะทะกับใบไม้สีน้ำเงินแล้วทยอยระเบิด พลังน่าตะลึงอย่างที่สุด
เมื่อผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ทั้งสามเข้าร่วม สมาชิกของทั้งสองฝั่งก็ฮึกเหิม โจมตีต่ออย่างสุดกำลัง
เป็นเช่นนี้ผ่านไปอีกราวครึ่งชั่วยาม ใบไม้ที่ลอยว่อนออกมาจากต้นไม้โบราณสูงเสียดฟ้าบนม่านแสงสีน้ำเงินก็เริ่มลดน้อยลง ภาพสัญลักษณ์ที่เดิมทีสีครามเขียวก็เริ่มเหี่ยวเฉาเป็นสีเหลืองเล็กน้อย
ทุกคนที่ล้อมโจมตีอยู่เห็นว่าการโจมตีได้ผลอย่างชัดเจน บนใบหน้าล้วนเผยสีหน้ายินดี
เสียงระเบิดดังระรัวเช่นนี้ต่ออีกเกือบครึ่งชั่วยาม ภาพสัญลักษณ์ต้นไม้บนม่านแสงสีน้ำเงินก็ยิ่งเหี่ยวเฉา ม่านแสงนูนออกมาด้านนอกจนแทบจะกลายเป็นทรงกลม สภาพเหมือนจวนเจียนจะพังทลาย
ทันใดนั้นเสียง “ฟู่” ก็ดังขึ้น ม่านแสงสีน้ำเงินสั่นอย่างรุนแรง ภาพสัญลักษณ์ต้นไม้โบราณทั้งต้นพังทลายพร้อมเสียงดังกึกก้อง แล้วหายไปจากบนม่านแสงในพริบตา
“ครืน” ม่านแสงสีน้ำเงินกลายเป็นละอองแสงสีน้ำเงินจุดแล้วจุดเล่าพังทลายสลายไป ในเวลาเดียวกันนั้นแสงเรืองรองหลากสีสันสายแล้วสายเล่าก็ระเบิดออกมาจากด้านหลังม่านแสง
แสงเรืองรองไม่มีพลังโจมตีแต่เจิดจ้าแสบตา พวกมันพุ่งไปทั่วฟ้า ทุกคนไม่ทันระวัง ชั่วขณะหนึ่งจึงไม่อาจมองเห็นภาพด้านหลังม่านแสงสีน้ำเงินได้ชัด พวกเขาทยอยพุ่งถอยหลังอย่างระมัดระวัง
ขณะที่คนส่วนใหญ่กำลังยุ่งจนมือไม้เป็นพัลวันอยู่นั่นเอง ผู้ฝึกฝนแซ่ซุนกลับหัวเราะลั่นแล้วพลิกมือข้างหนึ่งอย่างไม่ลังเล ป้ายหยกแผ่นหนึ่งปรากฏขึ้น จากนั้นแสงสีทองเจ็ดสายก็บินตามต่อกันออกมาจากบนนั้น ทยอยจมเข้าไปในเสาศิลายักษ์สีน้ำเงินสองต้น
ทันใดนั้นเสาศิลาสองต้นพลันสั่นไหวโงนเงน กลางอากาศบริเวณใกล้ๆ ฉับพลันเกิดค่ายกลแสงสีน้ำนมขนาดหนึ่งหมู่กว่าค่ายกลหนึ่งล้อมทั้งเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจไว้ด้านใน
“ฟุบ” “ฟุบ” หลังจากเสียงทุ้มต่ำหลายครั้งดังขึ้น เผ่าปีศาจเจ็ดตนเช่นสยงเยวี่ยเป็นต้นยังไม่ทันตอบสนอง รอบร่างพลันมีแสงสีทองล้อมรอบแล้วกลายเป็นเสาแสงสีทองเจ็ดต้นพุ่งขึ้นท้องฟ้าหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
“ปัง” ค่ายกลแสงสีขาวพังทลายสลายไปในพริบตา
“เกิดอะไรขึ้น พวกหัวหน้าถูกเคลื่อนย้ายไปแล้ว!”
“คนแซ่ซุน เจ้าเล่นตุกติกอะไร!”
“เจ้าพวกกระจอกเผ่ามนุษย์พวกนี้เล่นโกง สังหารพวกเขา!”
ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจที่เหลือเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ย่อมตกตะลึงและโกรธเกรี้ยว หลังจากตวาดเสียงดังต่างๆ นานาก็พากันพุ่งเข้าใส่ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์ด้านนี้
“เหอะ!”
ผู้ฝึกฝนแซ่ซุนไม่ตอบคำถามของผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจแม้แต่น้อย เขายกมือข้างหนึ่งขึ้น พู่กันหยกสีขาวด้ามหนึ่งลอยออกมา
พู่กันหยกเปล่งแสงสีขาวสว่างจ้า บนผิวมีลวดลายจิตวิญญาณปรากฏในทันใด มันขยายอย่างรวดเร็วจนใหญ่หนึ่งจั้งกว่า ปลายพู่กันแหลมคมประหนึ่งคมดาบ เพียงสะบัดวูบเดียว เงาพู่กันใหญ่หลายสิบจั้งด้ามหนึ่งพลันปรากฏแล้วกวาดเข้าใส่ปีศาจอินทรีสองตนที่อยู่หน้าสุด
ปีศาจอินทรีสองตนเหวี่ยงสองแขนออกมาพร้อมกัน ไอหมอกสีเทาสองสายผนึกรวมกันกลายเป็นเงากรงเล็บมากมายเข้าขวางเงาพู่กันหยก
เสียงปังๆ ดังสนั่น!
เงากรงเล็บทั่วท้องฟ้าไม่มีกำลังต่อต้านแม้แต่น้อย พวกมันสลายกลายเป็นหมอกควันสีเทาเต็มฟ้าในพริบตา
เวลานี้ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจทั้งสองเพิ่งเผยสีหน้าตะลึงงัน แต่เงาพู่กันหยกอยู่ใกล้เพียงตรงหน้าแล้ว
ด้วยความหวาดผวา กระทั่งอาวุธจิตวิญญาณทั้งสองก็ไม่ทันได้เรียกออกมา พวกเขารีบกระตุ้นปราณแกร่งคุ้มครองร่างขัดขวาง
แต่ทุกสิ่งนี้ล้วนเปล่าประโยชน์
“ฟุบ” “ฟุบ” เงาของพู่กันหยกกวาดไปกลับเพียงรอบเดียวก็ตบผู้ฝึกฝนเผ่าอินทรีสองตนกลายเป็นเถ้าธุลี!
ผู้ฝึกฝนแซ่ซุนสังหารผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจทั้งสองได้อย่างสบายๆ เช่นนี้ทำให้ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจที่เหลือซึ่งกำลังคิดจะพุ่งเข้ามาตกตะลึง พวกเขาต่างชะงักหยุดอยู่กับที่และมองหน้ากัน สีหน้าเหมือนไม่ว่าจะรุกหรือถอยล้วนค่อนข้างลำบาก
“สหายทั้งหลาย แผนการของพวกเราสำเร็จแล้ว ตอนนี้อย่าได้ปล่อยเผ่าปีศาจเหล่านี้ไปแม้แต่ตนเดียว!” หลังจากผู้ฝึกฝนแซ่ซุนหัวเราะอย่างเย็นชาก็เรียกพวกหลิ่วหมิง แล้วกวาดพู่กันยักษ์กลางอากาศใส่กลุ่มปีศาจอีกครั้ง
ปีศาจหมีตนหนึ่งกรีดร้องจากนั้นถูกเงาพู่กันยักษ์ชนปลิวออกไป เลือดสดพ่นกระเซ็นออกมาจากปาก
ผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์คนอื่นเห็นเช่นนี้ย่อมยินดีอย่างยิ่งพากันลงมือโจมตี
ความคั่งแค้นที่สั่งสมมาจากการต่อสู้ก่อนหน้านี้พอดีได้ใช้โอกาสนี้ระบาย!
“พวกเราสู้ตายกับเผ่ามนุษย์ต่ำช้าพวกนี้!”
กลุ่มผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจย่อมไม่ยอมนิ่งเฉยรอความตาย พวกเขาบางตนกลายร่างเป็นสภาพครึ่งปีศาจ บางตนกลับร่างที่แท้จริง เข้าต่อสู้กับกลุ่มผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์
หลิ่วหมิงกวักมือข้างหนึ่งกลางอากาศ กระบี่น้อยสีม่วงเล่มหนึ่งพลันปรากฏขึ้นมา “ฟึบ” แล้วพุ่งเข้าหาผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจหมีเถื่อนที่กลายสภาพเป็นครึ่งปีศาจอย่างรวดเร็ว
กระบี่ขู่หลุนนั่นเอง!
ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจหมีเถื่อนตนนั้นเห็นกระบี่บินฟันมาก็คำรามอย่างโกรธเกรี้ยว ปราณปีศาจรอบร่างพวยพุ่ง ขนสีน้ำตาลงอกอย่างรวดเร็วหุ้มทั้งร่างไว้ข้างใน
“ปัง!”
แสงกระบี่สีม่วงตกต้องบนร่างผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจตนนี้ก็เฉือนได้เพียงขนสีน้ำตาลกระจุกใหญ่กับเนื้อบางส่วนทำให้ร่างของมันเซไปวูบหนึ่ง
เวลานี้เองลูกแก้วกลมสีเหลืองขมุกขมัวลูกหนึ่งพลันพุ่งรวดเร็วออกมาจากด้านข้างแล้วระเบิดกลายเป็นหมอกควันสีเขียวขยายตัวล้อมปีศาจหมีตัวนั้นไว้ด้านในภายในพริบตา
ปีศาจหมีกรีดร้อง ทันทีที่เส้นขนสีน้ำตาลอันแข็งแกร่งอย่างยิ่งบนร่างสัมผัสถูกหมอกควันเหล่านี้ก็ส่งเสียงดังชี่ แล้วทยอยม้วนหงิกงอ
หลิ่วหมิงฉวยโอกาสจี้ดัชนีจากไกลๆ
กระบี่ขู่หลุนบินวนรอบหนึ่งแล้วกลายเป็นรุ้งยาวสีม่วงพุ่งผ่านช่วงเอวของปีศาจหมีไปอีกครั้ง ครั้งนี้ฟันมันขาดครึ่งท่อนอย่างง่ายดาย เลือดกองโตสาดพรมลงมาจากท้องฟ้า
หลิ่วหมิงมองจุดที่ลูกแก้วกลมพุ่งมา คนที่ลงมือช่วยก่อนหน้านี้ก็คือชายหนุ่มแซ่หลี่ผู้นั้นนั่นเอง
ตระกูลหลี่หนึ่งในแปดตระกูลเชี่ยวชาญแมลงพิษและหมอกลวงตาสารพัดชนิด สมคำร่ำลือจริงๆ
ชายหนุ่มผู้นี้ยิ้มพลางพยักหน้าให้หลิ่วหมิงเล็กน้อย จากนั้นเลื่อนสายตาไปมองผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจไม่กี่ตนที่เหลืออยู่
ภาพเช่นเดียวกันนี้เกิดขึ้นตรงจุดอื่นเป็นระยะ
เนื่องจากผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจที่เป็นแกนนำเจ็ดคนจู่ๆ หายไปจึงทำให้กำลังพลของผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจลดฮวบ กระบวนทัพสับสนถูกผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์สังหารจนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก
ตั้งแต่ต้นจนจบกินเวลาเพียงชั่วจิบชาก็มีผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจครึ่งหนึ่งบาดเจ็บ และมีเจ็ดแปดตนตายอย่างน่าอนาถ
“สหายซุน เหมือนจะมีคนมุ่งมาทางนี้!” ทันใดนั้น ไม่รู้ใครร้องตะโกนขึ้นมา
ทุกคนที่กำลังสังหารอย่างเมามันได้ยินล้วนมองไปอย่างหวาดหวั่น
แล้วพวกเขาก็เห็นที่ขอบฟ้าไกลออกไป มีลำแสงเจ็ดสายกำลังเหาะมาอย่างดุดัน ลำแสงสีดำสายหนึ่งกับสีน้ำตาลสายหนึ่งในนั้นค่อนข้างสะดุดตา!
“คนแซ่ซุน เจ้ากล้าเล่นโกง! วันนี้ข้าจะฉีกร่างเผ่ามนุษย์ต่ำช้าอย่างพวกเจ้าเป็นหมื่นชิ้น!” เสียงคำรามเกรี้ยวกราดดังออกมาจากลำแสงสีน้ำตาล
เสียงนี้คุ้นหูทุกคนยิ่งนัก ไม่ใช่สยงเยวี่ยบุรุษกำยำผิวดำระดับแก่นแท้ของเผ่าปีศาจแล้วยังจะเป็นใครได้อีก?
บนใบหน้าหลิ่วหมิงปรากฏความประหลาดใจขึ้นมาแวบหนึ่ง ด้วยจิตสัมผัสอันแข็งแกร่งของเขา กวาดผ่านไปครั้งเดียวก็แน่ใจว่าผู้ที่รีบเร่งเหาะมาอย่างรวดเร็วคือยอดฝีมือเผ่าปีศาจที่สมควรถูกเคลื่อนย้ายจากไปเจ็ดตนนั้น
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น!” อู่หงถามผู้ฝึกฝนแซ่ซุนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ข้าวางค่ายกลเคลื่อนย้ายระยะไกลไว้แล้วแท้ๆ ไม่รู้เช่นกันว่าเกิดปัญหาที่ใด หรือเป็นเพราะผลกระทบจากชั้นจำกัดอื่นในซากโบราณสถานจึงไม่อาจเคลื่อนย้ายพวกเขาไปยังสถานที่ไกลเกินไปได้?” บนใบหน้าของผู้ฝึกฝนแซ่ซุนเต็มไปด้วยความตกตะลึงระคนสงสัยเช่นกัน
ชั่วเวลาที่สนทนากันเพียงไม่กี่ประโยค ลำแสงเจ็ดสายก็อยู่ห่างพวกเขาในระยะไม่กี่ร้อยจั้งแล้ว
ทุกคนไม่มีเวลาสนใจผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจที่หนีกระเจิงไปเหล่านั้นอีกต่อไป พวกเขาขยับเข้ามาใกล้ผู้ฝึกฝนแซ่ซุนเล็กน้อย สีหน้าของแต่ละคนล้วนเปลี่ยนไปมา
อย่างไรเสียหากพูดถึงพลัง อีกฝ่ายก็มีผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ขั้นปลายถึงสองคน ต่อให้มีกันเพียงเจ็ดตน พลังก็ยังเหนือกว่าเหล่าผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์
อีกทั้งผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจที่เดิมทีหนีตายกันไปเหล่านั้น หลังจากหนีไปได้ระยะหนึ่งก็พากันพุ่งเร็วรี่กลับมาอย่างดีอกดีใจด้วย