ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 976 ผลจื่อหยวน
“สมบัติที่สัมผัสลมปราณมนุษย์ปีศาจได้…หรือว่าจะเป็นมุกผลึกมาร” ใบหน้าสีเลือดเอ่ยเสียงแหลม
“ตอนนี้ถึงตาข้าถามแล้ว เจ้ามาจากที่ใดแล้วเข้ามาในเศษซากโลกบนได้อย่างไร” หลิ่วหมิงเอ่ยถามอย่างเย็นชา
“เจ้าหนู เจ้าไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมสืบถามความเป็นมาของข้า ข้าก็เข้ามายังเศษซากโลกบนแห่งนี้จากแผ่นดินจงเทียนเหมือนพวกเจ้า เพียงแต่ช่วงเวลาก่อนหน้านี้ข้าสิงอยู่ในร่างศิษย์ตระกูลอีกคนหนึ่งปะปนเข้ามา จะว่าไปแล้วเจ้ากับข้าก็ไม่มีความแค้นลึกล้ำอันใด เจ้าหนู เจ้าสนใจจะร่วมมือกับข้าไหม?” ใบหน้าสีเลือดฉับพลันเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“ร่วมมือกับเจ้า?” หลิ่วหมิงฟังแล้วก็อึ้งไปชั่วขณะ
“ไม่ผิด แม้ระดับพลังของเจ้าจะต่ำไปบ้าง แต่ก็นับว่ามีสติปัญญาเหนือผู้อื่น เจ้าช่วยข้าเอาของสิ่งหนึ่งมาจากในซากโบราณสถานแห่งนี้ ข้าจะมอบผลประโยชน์ที่เจ้าคาดไม่ถึงแก่เจ้า” ถ้อยคำของใบหน้าสีเลือดเต็มไปด้วยการล่อลวง
“อ้อ ไหนเจ้าลองว่ามาก่อนสิ” หลิ่วหมิงฟังแล้วหรี่ตาลง แต่ตอบกลับไปอย่างนิ่งสงบยิ่ง
“ฮ่าๆ ง่ายดายยิ่ง ข้ามีชีวิตมานับอนันต์ ล่วงรู้วิชาลับมหัศจรรย์มากมายนับไม่ถ้วน ตัวอย่างเช่นวิชาลับแบ่งวิญญาณวิชานี้ ขอเพียงเจ้าฝึกจนเป็นก็แบ่งดวงวิญญาณได้ตามใจ เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้ร่างจริงโชคร้ายสิ้นชีพก็มีชีวิตต่อไปได้ นอกเหนือจากนี้ข้ายังรู้วิชาลับสูตรโอสถนับไม่ถ้วนที่ช่วยให้เจ้าเลื่อนเข้าสู่ระดับแก่นแท้ได้สำเร็จ แล้วยังมี…” ใบหน้าสีเลือดพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ คล้ายกับว่าขอเพียงหลิ่วหมิงพยักหน้าก็จะได้ผลประโยชน์ไม่หมดไม่สิ้นในทันที
“อืม ฟังดูไม่เลว” ดวงตาหลิ่วหมิงเปล่งประกายวูบหนึ่งคล้ายสนใจเล็กน้อยจริงๆ
“นั่นแน่นอน สหายน้อย เจ้ากับข้าร่วมมือกันย่อมเป็นตัวเลือกที่ชาญฉลาด เอาเช่นนี้สหายน้อยเจ้าหากายเนื้อที่เหมาะสมสักร่างหนึ่งให้ข้าก่อน ข้าจะถ่ายทอดวิชาลับแบ่งวิญญาณนี้ให้เจ้าทันที…” ใบหน้าสีเลือดแย้มยิ้ม กระทั่งคำเรียกขานหลิ่วหมิงก็เปลี่ยนไปด้วย
ทันใดนั้นใบหน้าหลิ่วหมิงก็เผยรอยยิ้มเย้ยหยันออกมา มือขวาฉับพลันยกขึ้นกำอากาศ ตาข่ายสายฟ้าสีม่วงหุบเข้าหากันในพริบตา
“บึ๊ม” ใบหน้าสีเลือดกรีดร้องได้ครั้งเดียวก็ถูกแสงอสนีบาตสีม่วงนับไม่ถ้วนรุมล้อมจนกลายเป็นฝุ่นปลิวไป
สาเหตุที่หลิ่วหมิงเปลืองน้ำลายคุยกับใบหน้าสีเลือดมาจนถึงตอนนี้ สาเหตุสำคัญก็เพื่อสืบหาตัวตนของเงาโลหิตและตรวจสอบว่าเขายังมีร่างแยกอื่นอยู่บนเศษซากโลกบนแห่งนี้หรือไม่
จากคำพูดของใบหน้าสีเลือดเขาจึงเดาเรื่องราวที่อยากรู้ส่วนใหญ่ออกแล้ว
ส่วนการร่วมมือ เขาถามตัวเองดูแล้วพบว่าเขาไม่มีอารมณ์มาเล่นตลบหลังไปมากับตาแก่ที่อยู่มาไม่รู้เป็นเวลาเท่าไรคนหนึ่ง หากไม่ทันระวังสักเล็กน้อยคงแตกดับไม่อาจหวนคืน
ซุนเผิงผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้จากสำนักเฮ่าหรานผู้ได้ชื่อว่าชาญฉลาดด้านกลยุทธ์ผู้นั้นเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด
ด้วยตำแหน่งฐานะและระดับพลังของเขา หากไม่ได้ถูกผู้ที่เรียกตนเองว่าปรมาจารย์โลหิตผู้นี้ล่อลวง จะถูกอีกฝ่ายยึดครองกายเนื้อง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไร
ความคิดเหล่านี้ปรากฏขึ้นในใจหลิ่วหมิงเพียงแวบเดียวเท่านั้น สายตาก็มองกลับไปที่ร่างผู้ฝึกฝนแซ่ซุน หลังจากก้มตัวค้นหาอยู่รอบหนึ่งได้แหวนเก็บของวงหนึ่งมา เขาก็ทะยานร่างเหาะออกจากหลุม ร่อนลงหน้าทางเข้าซากโบราณสถาน
ยามนี้ชั้นจำกัดนอกซากโบราณสถานถูกคนจากทั้งสองเผ่าร่วมแรงกันทำลายไปแล้ว บนหน้าผาหินด้านหลังเสาศิลาสีน้ำเงินสองต้นปรากฏโพรงถ้ำสีดำสนิทแห่งหนึ่งกับบันไดสีขาวที่ทอดยาวลงไปใต้ดิน
ในโพรงถ้ำมีกลิ่นดินอบอวลลอยออกมา ด้านในมีแสงเรืองรองเล็ดลอดออกมาอยู่เลือนรางชวนให้คนจินตนาการ
หลิ่วหมิงยืนอยู่หน้าปากถ้ำ เผยสีหน้ายินดีเล็กน้อย แต่ยังไม่ทันเดินเข้าไปในถ้ำเขาก็ครุ่นคิด
ทันใดนั้นเขาก็ตบมือข้างหนึ่งลงข้างเอว ปราณสีดำก้อนหนึ่งลอยออกมาจากในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณ มันหมุนติ้วแล้วหยุดนิ่งเผยหญิงสาวผู้มีผ้าตาข่ายสีดำคลุมร่างคนหนึ่ง
“นายท่าน!” เซียเอ๋อร์กะพริบตาปริบๆ แล้วคำนับหลิ่วหมิงอย่างอ่อนช้อย
“เซียเอ๋อร์ สำรวจถ้ำแห่งนี้แทนข้าหน่อย หากมีอันตรายอย่าบุ่มบ่ามให้ออกมาทันที” หลิ่วหมิงสั่งเรียบๆ
“เจ้าค่ะ!” เซียเอ๋อร์บิดเอวบาง เมฆสีเหลืองลอยออกมาจากร่างก่อนที่จะส่องสว่างวูบหนึ่งแล้วมุดลงไปใต้ดินทันที
หลิ่วหมิงพลิกมือเรียกโอสถเม็ดหนึ่งออกมากิน แล้วเรียกหินจิตวิญญาณระดับสูงก้อนหนึ่งออกมากำไว้ในมือเพื่อฟื้นฟูพลังเวท
หลังจากเวลาหนึ่งเค่อเต็มๆ ในสมองของหลิ่วหมิงก็ได้ยินเสียงของเซียเอ๋อร์ เขาเปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อยแล้วก้าวเท้าเดินไปทางปากถ้ำ เดินลงไปตามบันไดสีขาวอย่างช้าๆ
ถ้ำเอียงลงไปใต้ดินแต่ไม่มีทางแยก ด้านในมืดสนิทไปหมด หลิ่วหมิงเดินอย่างระมัดระวังพลางแผ่จิตสัมผัสออกไปสังเกตความเคลื่อนไหวรอบด้านอยู่ตลอดเวลา
ยังดีที่เป็นเหมือนที่เซียเอ๋อร์ส่งกระแสจิตบอก ในอุโมงค์นอกจากความชื้นกับสายลมร้อนที่พัดพากลิ่นดินมาเป็นระยะก็ไม่มีสิ่งผิดปกติแม้แต่น้อย
ยิ่งเดินลงไป ลมร้อนชื้นก็ยิ่งพัดมาถี่ๆ ทำให้คนยากจินตนาการว่าอุโมงค์จะมุ่งไปยังสถานที่เช่นไร
เดินไปราวหนึ่งก้านธูป บันไดก็ค่อยๆ กลายเป็นทางราบ อุโมงค์ที่เดิมทีคับแคบเริ่มกว้าง ต่อให้คนหลายคนเดินเคียงไหล่กันก็ไม่มีปัญหา แต่สายลมร้อนที่พัดมาปะทะใบหน้ากลับยิ่งร้อนระอุยิ่งกว่าเดิม
หลิ่วหมิงคำนวณในใจดู เวลานี้เขาคงอยู่ลึกลงมาใต้ดินหลายร้อยจั้งแล้ว เดินต่อไปอีกสักพักในที่สุดอุโมงค์ก็หายไป ประตูศิลาที่ปิดอยู่ครึ่งหนึ่งปรากฏเบื้องหน้าเขา
หลิ่วหมิงผลักประตูศิลา ทันใดนั้นตรงหน้าก็ปรากฏบึงน้ำใต้ดินอันกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง
พื้นที่ใต้ดินแห่งนี้สูงถึงสองร้อยจั้ง รอบด้านกว้างหลายหมู่ บนผาหินรอบด้านฝังหินแร่ไม่ทราบชื่อที่ส่องประกายระยิบระยับอยู่ไม่น้อย พวกมันส่องรอบด้านจนสว่างไสว
ทอดสายตามองไป ทุกหนทุกแห่งล้วนเป็นบึงน้ำสีดำสนิทที่มีฟองอากาศผุดขึ้นมา สายลมร้อนชื้นสายแล้วสายเล่าก่อตัวขึ้นเหนือบึงน้ำส่งกลิ่นเน่าเหม็น
นอกจากนี้ปราณจิตวิญญาณแห่งฟ้าดินในพื้นที่ใต้ดินแห่งนี้เหมือนจะเข้มข้นกว่าด้านนอกหลายเท่า นี่ทำให้หลิ่วหมิงอดประหลาดใจไม่ได้
เมื่อสายตาของหลิ่วหมิงมองต่อไปเบื้องหน้าอีกเล็กน้อย หัวใจก็พลันกระตุก
เหนือบึงน้ำที่อยู่ห่างร้อยกว่าจั้งด้านหน้าคือกำแพงหินเรียบลื่นผืนหนึ่ง บนนั้นมีตาน้ำพุขนาดเล็กหลายแห่งที่มีน้ำพุผุดไหลออกมาจากด้านในไม่ขาด
“ตาน้ำพุจิตวิญญาณ?” หลิ่วหมิงพึมพำกับตนเอง ปราณจิตวิญญาณที่แผ่ออกมาจากในน้ำพุนี้เข้มข้นอย่างที่สุด มันคงเป็นต้นกำเนิดปราณจิตวิญญาณอันเข้มข้นในที่แห่งนี้
ทว่าจากนั้นความสนใจของเขาก็เคลื่อนไปที่อื่นอย่างรวดเร็ว เพราะบนหน้าผาหินข้างใต้ตาน้ำพุ มีต้นไม้เล็กสูงราวหนึ่งจั้งกว่าที่กิ่งก้านบิดโค้งดูทรงพลังและสีม่วงใสแวววาวทั้งต้นอยู่
เขาเห็นปราณจิตวิญญาณสายแล้วสายเล่าที่แผ่ออกมาจากในตาน้ำพุไหลเข้าไปรวมตัวตรงรากของต้นไม้น้อยต้นนั้น หลังจากถูกต้นไม้น้อยนั่นดูดซับเข้าไป พวกมันก็ไหลเคลื่อนเข้าไปในผลไม้ขนาดเท่ากำปั้นสีม่วงเข้มสามลูกนั่นที่อยู่บนกิ่งไม้
“นี่มันผลจื่อหยวน! ดูจากสภาพน่าจะอายุสามหมื่นปีแล้ว เพียงกินเข้าไปหนึ่งผล อย่างน้อยก็เพิ่มอายุขัยได้หนึ่งถึงสองร้อยปี” หลิ่วหมิงกวาดจิตสัมผัสไปรอบด้าน เมื่อไม่พบปีศาจอสูรเฝ้าต้นผลไม้อยู่จึงขยับกายไม่กี่หนร่อนลงเบื้องหน้าต้นผลไม้สีม่วง สายตาจับจ้องผลไม้สีม่วงสามผลด้วยแววตาร้อนแรง
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก็หยิบกล่องหยกใบหนึ่งออกมาแล้วเด็ดผลไม้ทั้งสามลูกใส่ลงไปในกล่องหยกอย่างระมัดระวัง
เขามองผลไม้สามลูกที่อยู่ในกล่องด้วยสายตาเป็นประกาย เขาเคยเห็นบันทึกเกี่ยวกับผลจื่อหยวนในหอเก็บคัมภีร์ของนิกายยอดบริสุทธิ์ ของสิ่งนี้ไม่ต้องหลอมเป็นโอสถก็กินเข้าไปได้เลย แต่ต้องใช้เวลาในการดูดกลืนฤทธิ์ยาของมันนานสักหน่อย อีกทั้งฤทธิ์ยาก็ดีสู้หลังจากปรุงเป็นโอสถแล้วไม่ได้อยู่มาก
เขาลังเลเล็กน้อยก่อนจะเก็บกล่องหยกไป
ยามนี้อยู่บนเศษซากแห่งโลกบน แต่ละวันล้วนล้ำค่ายิ่งนัก อย่าเสียเวลากับเรื่องนี้เลย
แม้หลังจากมอบเกินครึ่งให้นิกายเหลือไว้เพียงหนึ่งผล หากใช้ดีๆ ก็ปรุงโอสถจื่อหยวนได้หนึ่งเตา
หลิ่วหมิงกวาดสายตาไปรอบด้านอีกครั้ง พร้อมกับที่จิตสัมผัสครอบคลุมไปทั่วพื้นที่ใต้ดินแห่งนี้ในพริบตา ค้นหาอย่างละเอียดรอบหนึ่ง
หลังจากนั้นครู่หนึ่งบนใบหน้าเขาก็เผยสีหน้าผิดหวังออกมาเล็กน้อย
ที่แห่งนี้นอกจากต้นผลจื่อหยวนนี้ก็มีเพียงหญ้าจิตวิญญาณธรรมดาที่งอกอยู่กลางบึงน้ำจำนวนหนึ่งเท่านั้น แม้ส่วนหนึ่งจะอายุไม่น้อย แต่ก็ไม่ใช่ของที่หายากอันใดบนแผ่นดินจงเทียน สำหรับเขาแล้วไม่มีค่านัก
“เผ่าปีศาจเหล่านั้นสู้อุตส่าห์วางแผนการลับเพียงเพื่อต้องการผลจื่อหยวนสามผลเท่านี้หรือ?” เขาพึมพำกับตนเองประโยคหนึ่ง
“เอ๋ เซียเอ๋อร์เล่า?” ขณะที่หลิ่วหมิงครุ่นคิด ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่าหลังจากเข้ามายังที่แห่งนี้ยังไม่เห็นเงาของเซียเอ๋อร์เลย
ดังนั้นเขาจึงตั้งสมาธิรีบติดต่อเซียเอ๋อร์ผ่านจิต
ตอนนี้แมงป่องกระดูกกับหัวบินล้วนเป็นอสูรเลี้ยงตัวสำคัญของเขา พวกมันมีศักยภาพอย่างยิ่ง จะสูญเสียไปไม่ได้เด็ดขาด
“นายท่าน ข้าสัมผัสได้ถึงสถานที่พิเศษแห่งหนึ่งใต้ดิน ข้ากำลังมุ่งไปตรวจสอบที่นั่น…” เซียเอ๋อร์ส่งข้อความขาดๆ หายๆ ผ่านจิตมา
หลิ่วหมิงได้ฟังก็ตกตะลึง เมื่อครู่เขาใช้จิตสัมผัสที่แข็งแกร่งตรวจสอบบริเวณหลายร้อยจั้งที่นี่แล้วรอบหนึ่งไม่พบสิ่งผิดปกติแม้แต่น้อย
หรือสถานที่พิเศษที่เซียเอ๋อร์ว่าจะอยู่ลึกลงไปใต้ดินมากกว่านั้น?
หลังจากเขาครุ่นคิดเช่นนี้ก็แผ่จิตสัมผัสไปใต้ดินต่อทันที แต่ค้นหาไปถึงใต้ดินลึกพันจั้ง นอกจากหินแร่หลายก้อนก็ยังคงไม่พบสิ่งใด
จิตสัมผัสในยามนี้ของหลิ่วหมิงลงไปใต้ดินลึกพันจั้งถึงขีดสุดแล้ว ใต้ดินไม่เหมือนใต้ทะเล ลมปราณแต่ละชนิดปนเปสับสน ยิ่งเคลื่อนลึกลงไปใต้ดิน คลื่นพลังจากแกนกลางพิภพก็ยิ่งส่งผลกับจิตมาก
ผู้ฝึกฝนทั่วไปใช้ยันต์ดำดินแทรกลงไปใต้ดินสองสามร้อยจั้งก็ถึงขีดสุดแล้ว หากลงไปลึกกว่านี้จะอันตรายยิ่งนัก เมื่อยันต์ดำดินหมดฤทธิ์ ทั้งร่างจะถูกฝังทั้งเป็นอยู่ใต้ดิน ต่อให้เป็นระดับผลึกหรือผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ก็ยังรุกถอยลำบาก
เซียเอ๋อร์ดำดินลงไปได้ลึกเช่นนี้ก็เพราะพลังธาตุดินที่ติดตัวมาแต่กำเนิด
เมื่อหลิ่วหมิงเห็นว่าจิตสัมผัสหาสิ่งใดไม่พบจึงไม่สิ้นเปลืองกำลังต่อ เขารั้งจิตสัมผัสกลับมาแล้วยืนนิ่งรออยู่ที่เดิม
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยามเต็ม พื้นดินริมบึงน้ำก็มีแสงสีเหลืองสายหนึ่งโผล่ออกมา มันสว่างวูบหนึ่งแล้วกลายเป็นหญิงสาวชุดตาข่ายสีดำนางหนึ่ง เซียเอ๋อร์นั่นเอง
“นายท่านข้าหาสถานที่แห่งหนึ่งพบข้างใต้ ด้านในเหมือนจะมีสมบัติไม่น้อย” เซียเอ๋อร์เพิ่งปรากฏกายก็บอกให้หลิ่วหมิงฟังอย่างอดใจรอไม่ไหว
“ดี พาข้าไปดูซิ” หลิ่วหมิงฟังแล้วก็เอ่ยขึ้นอย่างยินดี
เซียเอ๋อร์พยักหน้า ร่างกายเปล่งแสงสีเหลืองสายหนึ่งล้อมหลิ่วหมิงไว้ด้านในแล้วมุดหายลงไปใต้ดิน
หลิ่วหมิงเพิ่งเคยถูกเซียเอ๋อร์พาดำดินลงมาเป็นครั้งแรก ความรู้สึกแตกต่างจากยามเขาใช้ยันต์ดำดินก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง เมื่อแสงสีเหลืองที่ส่องออกมาจากร่างเซียเอ๋อร์สัมผัสถูกดินโคลนรอบด้าน ดินโคลนก็พลันเกิดลายคลื่นดุจสายน้ำไหลในทันที
ผืนดินแข็งแกร่งฉับพลันกลายเป็นสายน้ำสีเหลือง เซียเอ๋อร์จึงพาเขาแหวกโคลนเลนดำลงไปเบื้องล่างเช่นนี้ ความเร็วน่าตะลึงประหนึ่งอยู่กลางสายธาร อีกทั้งไม่มีแรงต้านแม้แต่น้อย นี่ทำให้หลิ่วหมิงลอบประหลาดใจอย่างห้ามไม่ได้
พวกเขาดำลงมาพบพื้นที่ซึ่งเป็นศิลาแข็งอย่างรวดเร็วยิ่งนัก
จะว่าไปแล้วพลังดำดินนี้ของเซียเอ๋อร์ก็มหัศจรรย์อย่างแท้จริง กระทั่งศิลาแข็งแกร่งลึกใต้ดินเช่นนี้ก็พุ่งผ่านไปได้ แค่ความเร็วช้าลงเล็กน้อยเพียงสามส่วนเท่านั้น