ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 985 พลังของมุกบรรพตธารา
หลิ่วหมิงเห็นเงาสีเขียวสังหารสหายของตน คิ้วก็ขมวดเล็กน้อย แต่ใบหน้าไม่มีสีหน้าหวาดกลัวแต่อย่างใด
พิจารณาจากลมปราณแล้ว พลังของมนุษย์ปีศาจผู้นี้เทียบจี๋อิ่งไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงร่างแยกโลหิตกับมนุษย์ปีศาจระดับดาราพยากรณ์ก่อนหน้านี้
มนุษย์ปีศาจเงาสีเขียวเห็นหลิ่วหมิงไม่เอ่ยวาจา ดวงตาพลันทอประกายเย็นเยียบ มือข้างหนึ่งคว้ามาด้านหน้าในทันใด เพลิงมารสีเขียวทั่วร่างทะลักออกมากลายเป็นกรงเล็บมารใหญ่ค้ำฟ้าขนาดเท่าภูเขาลูกย่อมๆ ข้างหนึ่งห่างไปเบื้องหน้าเขาหลายจั้ง แล้วกดลงมาหาหลิ่วหมิงพร้อมกับพายุดุดัน
ทั่วทั้งกรงเล็บมารมีเปลวเพลิงสีเขียวลุกโหม ตรงปลายนิ้วมีเปลวเพลิงสีเขียวหยกที่ยืดหดไม่หยุดพุ่งออกมา มันสะท้อนกำแพงแก้วผลึกรอบด้านให้เป็นประกายแสงสีเขียวหยกดุจดั่งนรกภูมิ
หลิ่วหมิงผู้อยู่ภายใต้แรงกดดันของกรงเล็บมาร สภาพเหมือนว่าจะหลบไม่พ้น ทว่าทันใดนั้นเขาก็ยกมือขึ้นข้างหนึ่ง มุกกลมสีเหลืองขมุกขมัวบินออกมาอีกครั้ง มันสั่นอย่างรุนแรงก่อนจะกลายเป็นเงาภูเขาน้อยสีเหลืองลูกหนึ่งประจันหน้าเข้าหากรงเล็บมาร
เสียงปะทะกันสะเทือนฟ้าสะเทือนดินทำให้อากาศทั่วบริเวณสั่นไหว
กรงเล็บมารสีเขียวไม่ถูกภูเขาน้อยสีเหลืองบดขยี้จนพังทลายเหมือนเช่นที่หลิ่วหมิงคิด แต่กลับคว้าภูเขาน้อยทั้งลูกไว้แน่น ทั้งสองสิ่งต้านกันไปมาอยู่กลางอากาศชั่วขณะ
บนใบหน้าของหลิ่วหมิงปรากฏสีหน้าประหลาดใจ เขารีบชี้นิ้วไปทางภูเขาน้อยสีเหลือง
เสียงสั่นสะเทือนทุ้มต่ำดังขึ้น!
ภูเขาน้อยสีเหลืองที่อยู่กลางอากาศขยายขนาดเป็นเท่าตัวในพริบตาแล้วส่งเสียงครวญคราง พยายามกระแทกกรงเล็บมารสีเขียวให้เป็นชิ้นๆ
“ลูกไม้กระจอก!”
มนุษย์ปีศาจที่อยู่กลางเงาสีเขียวยกแขนขึ้น กรงเล็บมารสีเขียวกลายเป็นเพลิงปราณสีเขียวสายหนึ่งเริ่มเลื้อยพันจากฐานภูเขายักษ์สีเหลืองจนวนล้อมทั้งเขาลูกยักษ์ แล้วเหวี่ยงภูเขายักษ์ทั้งลูกโยนขึ้นไปด้านบน
“บึ๊ม” เสียงดังสนั่น!
ภูเขามหึมาสีเหลืองพุ่งทะลุยอดพระราชวัง เศษหินขนาดไม่เท่ากันร่วงเกลื่อนพื้น มุกกลมสีเหลืองลูกหนึ่งหล่นลงมา
มนุษย์ปีศาจเงาสีเขียวเห็นเช่นนี้ ในดวงตาพลันปรากฏความยินดี ร่างกายขยับวูบจะเข้ามาแย่งมุกกลมสีเหลือง
แต่ตอนที่เขาอยู่ห่างจากมุกกลมสีเหลืองเพียงก้าวเดียวนั่นเอง เงาสีดำร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นดุจภูตพรายแล้วคว้ามุกกลมสีเหลืองเข้าไปในมือดั่งสายฟ้าแลบ
เขาก็คือหลิ่วหมิงที่กระตุ้นเคล็ดวิชาเงาสามส่วนจนถึงขีดสุด
หลิ่วหมิงเงยหน้ามองมนุษย์ปีศาจเงาสีเขียวที่เกือบจะมาถึงแล้วยิ้มน้อยๆ แขนสะบัดครั้งหนึ่งโยนมุกกลมในมือออกมาอีกครั้ง
“ครืน” เสียงน้ำไหลดังขึ้น เงาแม่น้ำสายยาวสีดำเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า แม่น้ำยาวสีดำกว้างราวหนึ่งจั้งกว่า กระแสน้ำทะลักถาโถมไหลเร็วรี่ไม่หยุด
ทันใดนั้นทางเดินยาวของพระราชวังก็ถูกสายน้ำสีดำบนฟ้าทาบทับจนมืดหม่น
มนุษย์ปีศาจเงาสีเขียวตกตะลึง ร่างกายขยับวูบเดียวหลบแม่น้ำที่คดโค้ง เมื่อขยับอีกหนก็พุ่งถอยไปด้านหลัง
ในเวลานี้เองเงาภูเขาน้อยสีเหลืองขมุกขมัวลูกหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเหนือร่าง มนุษย์ปีศาจตกอยู่ใต้แสงสีเหลืองที่แผ่ออกมาจากภูเขาลูกน้อย ร่างกายเขาหนักอึ้งในฉับพลัน กระทั่งขยับก็ยังยากลำบากอยู่บ้าง
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น เจ้าใช่เล่ห์กลอันใด!” ใบหน้าพร่ามัวบนเงาสีเขียวเหี้ยมเกรียม คำรามคลุ้มคลั่งใส่หลิ่วหมิงทันที
หลิ่วหมิงยิ้มอย่างไม่ยี่หระ เคล็ดวิชาที่มือเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง แม่น้ำยาวสีดำเปล่งแสงสีดำสว่างจ้ากลบมนุษย์ปีศาจเงาสีเขียวเข้าไปทั้งร่าง แล้วกลายเป็นลูกบอลวารีสีดำขนาดยักษ์ลูกหนึ่งหมุนวนเร็วจี๋ราวกับพายุหมุนอยู่ที่เดิม
มนุษย์ปีศาจเงาสีเขียวที่อยู่ในลูกบอลวารีสีดำรู้สึกว่าปลายดาบเล็กจิ๋วนับไม่ถ้วนวาดผ่านบนร่าง เพลิงมารสีเขียวแทบจะต้านรับไม่ได้แม้แต่น้อย เพียงพริบตาเนื้อหนังของเขาก็ถูกกรีดเปิดแผลแล้วแผลเล่า
มนุษย์ปีศาจเห็นสถานการณ์พลันกัดฟันพ่นโลหิตบริสุทธิ์คำหนึ่งออกมา อาศัยสายน้ำกระจายโลหิตปกคลุมไปทั่วร่าง
ลวดลายจิตวิญญาณสีเขียวทั่วร่างเขาได้โลหิตบริสุทธิ์หล่อเลี้ยงก็ส่องสว่าง บาดแผลที่เดิมทีถูกกรีดขาดสมานเข้าหากันในพริบตา
ในเวลาเดียวกันไอปีศาจสีเขียวสายแล้วสายเล่าข้างกายเขาก็ก่อตัวขึ้นใหม่อีกครั้งกลายเป็นปลาไหลมารสีเขียวที่มีหนาวแหลมตัวแล้วตัวเล่า บิดไปมาเชื่องช้าอยู่กลางสายน้ำสีดำ หมายจะทลายลูกบอลวารีออกมา
หลิ่วหมิงย่อมไม่ให้โอกาสมนุษย์ปีศาจอีก เขายิงแสงสีทองสายหนึ่งเข้าใส่ลูกบอลวารีสีดำ
ความเร็วที่สายน้ำสีดำถาโถมเร็วขึ้นอีกหลายเท่าในทันใด เงาภูเขากับสายน้ำปรากฏขึ้นกลางพระราชวังผลึกแก้ว จากนั้นลูกบอลวารีสีดำทั้งลูกก็หดลงอย่างฉับพลัน
“จัดการ!”
หลิ่วหมิงยกมือข้างหนึ่งชี้กลางอากาศอีกหน ทันใดนั้นลูกบอลวารีสีดำก็หดตัว
ขุนเขากับสายน้ำส่งเสียงคำรามบ้าคลั่ง หยดน้ำสีดำหยดแล้วหยดเล่าด้านในลูกบอลวารีสีดำพุ่งทะลวงผ่านฝูงปลาไหลสังหารพวกมันในพริบตา จากนั้นพุ่งมืดฟ้ามัวดินเข้าใส่มนุษย์ปีศาจอย่างรวดเร็ว
มนุษย์ปีศาจเห็นเช่นนี้ก็ตกตะลึงจนหน้าถอดสี ไอปีศาจทั่วร่างรวมตัวกัน หลังจากนั้นทั้งร่างก็กลายเป็นเงาสีเขียวร่างหนึ่งคิดจะฝืนฝ่าวงล้อมออกมา
หลิ่วหมิงหัวเราะหยัน มือข้างหนึ่งกำเบาๆ
“ปัง” ลูกบอลวารีสีดำระเบิดเสียงดังกึกก้อง ไอน้ำสีดำปลิวว่อนไปทั่วฟ้าก่อนจะหมุนวนก่อตัวเป็นแม่น้ำสีดำสายยาวอีกครั้ง
มนุษย์ปีศาจผู้นั้นกรีดร้องโหยหวน ร่างกายและดวงวิญญาณแตกสลายหายไปท่ามกลางธารน้ำสีดำอย่างไร้ร่องรอย เหลือเพียงกำไลเก็บของสีดำขลับวงหนึ่งร่วงดังเคร้งบนพื้น
หลิ่วหมิงไม่ทันจะได้เห็นหน้าตาของมนุษย์ปีศาจผู้นั้นชัดด้วยซ้ำก็อาศัยมุกบรรพตธาราที่เสร็จสมบูรณ์เพียงครึ่งลูกหนึ่งสลายเขาเป็นฝุ่นธุลีด้วยธารน้ำสีดำ นี่ย่อมทำให้เขาทั้งตกตะลึงทั้งยินดี
เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นกวัก ธารน้ำสีดำที่วนล้อมอยู่รอบร่างม้วนตัวกลับเป็นมุกกลมสีเหลืองลูกหนึ่งลอยเข้าไปในแขนเสื้อเขาอีกครั้ง หลังจากนั้นมืออีกข้างก็ยกขึ้นชี้ กำไลเก็บของสีดำลอยมาร่วงลงในมือเขาอย่างช้าๆ
เขาแทรกจิตสัมผัสเข้าไปด้านในทันที
พลังของมนุษย์ปีศาจตนนี้ไม่อ่อนแอ คงจะคาดหวังอะไรจากกำไลของเขาได้อยู่บ้าง
ครู่หนึ่งหลังจากนั้นหลิ่วหมิงก็ดีใจอย่างยิ่ง
เพราะด้านในกำไลเก็บของวงนี้ นอกจากของที่พบเห็นได้ธรรมดาจำนวนหนึ่ง ตรงมุมที่แสงจิตวิญญาณทอประกายระยิบระยับมีสมุนไพรจิตวิญญาณหลากสีกับหินแร่นับร้อยกองเหมือนเป็นภูเขาขนาดเล็ก วัตถุจิตวิญญาณเช่นเยี่ยหลิงจือสี่สี หญ้าหกชีพจรในนั้นเป็นสิ่งที่คนระดับสูงของนิกายยอดบริสุทธิ์ออกคำสั่งต้องการรวบรวม แล้วยังมีผลไม้จิตวิญญาณกับหญ้าจิตวิญญาณมากมายที่กระทั่งหลิ่วหมิงก็ไม่รู้จักชื่อแม้แต่น้อย
ต้องรู้ว่าแม้สมุนไพรจิตวิญญาณเหล่านี้จะไม่มีประโยชน์กับหลิ่วหมิงมากนัก แต่ในหมู่สิ่งเหล่านี้อาจมีบางอย่างเป็นสิ่งที่ผู้อาวุธสระดับดาราพยากรณ์หรือระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ทุ่มเทตามหา
ไม่ว่าจะนำมันไปขายให้วิหารไท่เจินแลกแต้มคุณูปการหรือมอบให้แก่นิกายก็ล้วนเป็นแหล่งรายได้ก้อนใหญ่
เดิมทีหลิ่วหมิงยังปวดหัวเรื่องที่ต้องมอบมุกบรรพตธาราให้นิกายอยู่ แต่หากเป็นเช่นนี้เมื่อต้องมอบสิ่งที่ได้มาจากเศษซากโลกบนแก่นิกายก็มีของเติมให้ครบจำนวนนิดหน่อยแล้ว
“ดูท่ามนุษย์ปีศาจตนนี้จะไม่ได้เดินทางมาโลกบนเสียเที่ยว” หลิ่วหมิงพึมพำประโยคหนึ่งแล้วตบข้างเอว ไอหมอกสีเขียวกับสีดำสองสายลอยอออกมาแล้วก่อตัวกลายเป็นเซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์
“เซียเอ๋อร์ เจ้าไปค้นหาว่าใกล้ๆ ว่ามีสายแร่ล้ำค่าไหม เฟยเอ๋อร์ตามข้ามา” หลิ่วหมิงสั่งอสูรเลี้ยงทั้งสองตัว
“รับคำสั่ง!” เซียเอ๋อร์ประสานมือให้หลิ่วหมิงจากนั้นขยับวูบเดียวมุดลงไปใต้ดิน
“พวกเราก็ไปเถอะ ดูซิว่าที่นี่ยังมีสมบัติอย่างอื่นหรือไม่ พยายามลงมือไวหน่อย อย่าให้ที่แห่งนี้ถูกคนอื่นพบจนเกิดความขัดแย้งขึ้นเปล่าๆ อีก” หลิ่วหมิงเอ่ยเสียงเรียบประโยคหนึ่ง ปราณสีดำสายหนึ่งก็ล้อมรอบตัวทั้งสองคนแล้วกลายเป็นลำแสงสายหนึ่งเหาะไปยังพระราชวังเบื้องหน้า
ครึ่งวันให้หลังตรงทางเข้าพระราชวังแก้วผลึก หลิ่วหมิงยืนเอามือไพล่หลังชื่นชมทิวทัศน์ใต้ทะเลสาบเบื้องหน้าอยู่
ข้างกายเขาไม่ไกล เฟยเอ๋อร์กำลังไล่ตามมัจฉาจิตวิญญาณระดับต่ำจำนวนหนึ่งที่มุดไปมาระหว่างพืชน้ำที่ก้นทะเลสาบอยู่อย่างสนุกสนาน
ในตอนนี้เองเงาดำร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น เซียเอ๋อร์นั่นเอง
“นายท่าน หินแร่แถบนี้ข้าเก็บไว้ในกำไลเก็บของสองวงนี้หมดสิ้นแล้ว หินแร่บางอย่างข้าเองก็ไม่รู้จักแต่รวบรวมมาด้วย” เซียเอ๋อร์พูดพลางส่งกำไลเก็บของสองวงไปที่มือของหลิ่วหมิง
“มากมายปานนี้เชียว! ทำดีมาก” หลิ่วหมิงสำรวจหินแร่ในกำไลเก็บของอย่างนิ่งสงบ จากนั้นใบหน้าก็เผยสีหน้าพึงพอใจออกมา
“ต่อไปพวกเรามีแผนการอันใด” เซียเอ๋อร์คิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยปากถามขึ้น
“ยามนี้มีมุกบรรพตธาราอยู่ในมือแล้วก็ไม่จำเป็นต้องรีบไปรวมตัวกับคนของนิกายอีก เวลาครึ่งปีที่เหลือที่นี่ พวกเราไปค้นหาในแดนลึกลับเศษซากโลกบนแห่งนี้ตามลำพังให้ดี ไม่แน่อาจได้ของที่คิดไม่ถึงจากสถานที่อื่นก็เป็นได้ เอาล่ะ พวกเราออกเดินทางกันเถอะ”
หลิ่วหมิงพูดพลางตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณข้างเอวเก็บเซียเอ๋อร์ตรงหน้ากับเฟยเอ๋อร์ที่อยู่ไม่ไกลเข้าไป จากนั้นสยายปีกเนื้อบนแผ่นหลังกลายเป็นรุ้งยาวสีฟ้าสายหนึ่งแหวกน้ำในทะเลสาบพุ่งตรงขึ้นไปด้านบน
ระหว่างที่หลิ่วหมิงออกเดินทางท่องเศษซากโลกบนตามลำพัง การเข่นฆ่าที่เกิดขึ้นไม่หยุดหย่อนตามที่ต่างๆ ของเศษซากโลกบนก็เกิดขึ้นบ่อยครั้งและสาหัสยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ไม่น้อย
ในหุบเขาอันร้อนระอุแห่งหนึ่ง มองไปทุกหนทุกแห่งล้วนเป็นสีแดงแผดเผา รอบหุบเขาคือภูเขาไฟที่ยังระอุทอดต่อกันลูกแล้วลูกเล่า ควันดำลอยโขมง ได้ยินเสียงลาวาปะทุฮึ่มฮั่มดังสนั่นอยู่เป็นระยะ
ผู้ฝึกฝนแปดเก้าคนกำลังต่อสู้กับอสูรยักษ์ที่มีเปลวเพลิงลุกโชติช่วงทั่วร่างตัวหนึ่งอยู่ในหุบเขา เสียงคำรามดังลั่นลอยออกไปไกล
คนเหล่านี้ล้วนสวมชุดสีน้ำเงิน พวกเขาก็คือศิษย์ของนิกายยอดบริสุทธิ์นั่นเอง ผู้ที่เป็นหัวหน้าคือชายฉกรรจ์หนวดเคราครึ้มรูปร่างกำยำคนหนึ่ง เขาก็คือฉิวหลงจื่อหนึ่งในสองผู้นำระดับแก่นแท้ของคณะเดินทางที่เข้ามายังเศษซากโลกบนครั้งนี้ของนิกายยอดบริสุทธิ์
พี่น้องโอวหยาง หลัวเทียนเฉิงและหลงเหยียนเฟยต้นล้วนอยู่รอบตัวเขา มีเพียงเวินเจิงเท่านั้นที่ไม่เห็นร่องรอย
อสูรยักษ์ตัวนี้ที่ต่อสู้อยู่กับพวกเขา หน้าตาภายนอกคล้ายสิงห์แต่ก็คล้ายพยัคฆ์ รูปร่างมโหฬารประหนึ่งภูเขาน้อยลูกหนึ่ง ร่างกายปกคลุมด้วยเกล็ดสีแดงหม่น หน้าผากมีเขาเดี่ยวสีขาวพิสุทธิ์งอกออกมาคล้ายเทพอสูรกิเลนในเรื่องเล่าอยู่บ้าง
แม้อสูรยักษ์จะรูปร่างคล้ายกิเลนแต่กลับไม่รู้สึกถึงพลังของเทพอสูรแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับมีความดุร้าย ดวงตามหึมาทั้งสองดวงทอประกายดุร้าย จมูกมีไอหมอกสีขาวร้อนพ่นออกมาเป็นระยะ ระหว่างที่ต่อสู้เข่นฆ่ากับทุกคน เปลวเพลิงรอบร่างก็ยิ่งลุกโชติช่วง ไม่ตกเป็นรองสักนิด
ทันใดนั้นอสูรอัคคียักษ์ก็ส่งเสียงคำราม ร่างหายมหึมากระโจนเข้าใส่ กรงเล็บยักษ์ตวัดขวางโจมตีศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ที่อยู่ใกล้ที่สุดสามคนให้ปลิวออกไปพร้อมกับพ่นเลือดคำหนึ่งออกมาจากปาก
ฉิวหลงจื่อเห็นเช่นนี้สีหน้าพลันเปลี่ยนไปทันที แสงกระบี่สีทองเบื้องหน้าส่องสว่างรวมตัวเป็นเงากระบี่สีทองขนาดสิบกว่าจั้งเล่มหนึ่งฉวยช่องว่างชั่วครู่นี้ฟันด้านข้างของอสูรยักษ์อย่างแรง
อสูรยักษ์หลบไม่ทันถูกแสงกระบี่สีทองฟันเข้าอย่างจัง ปรากฏประกายโลหิตในทันใด บนร่างของอสูรยักษ์เกิดรอยแผลมหึมายาวหนึ่งจั้งกว่าเส้นหนึ่ง เลือดร้อนระอุทะลักออกมาทันที มันกระเซ็นใส่เกราะป้องกันของหลงเหยียนเฟยที่อยู่ด้านข้างแล้วเผาไหม้ดังฟู่
หากเป็นปีศาจอสูรทั่วไป การโจมตีครั้งนี้ของฉิวหลงจื่อคงได้แผลถึงชีวิตไปแล้ว แต่อสูรอัคคียักษ์กลับเมินผ่านไม่สนใจ ประกายอสนีบาตสีขาวส่งเสียงดังเปรี๊ยะผุดออกมาจากเขาเดี่ยวบนหน้าผาก แสงสีขาวสายหนึ่งพุ่งเข้าใส่ฉิวหลงจื่ออย่างรวดเร็วยิ่งนัก
นับตั้งแต่ฉิวหลงจื่อฟันแสงกระบี่ออกมาจนกระทั่งประกายอสนีบาตพุ่งออกมาจากเขาเดี่ยวของอสูรยักษ์ห่างกันแค่หนึ่งถึงสองลมหายใจ ยามนี้ร่างกายของฉิวหลงจื่อหลบไม่ทันอยู่บ้าง สีหน้าจึงเปลี่ยนไปทันที ปราณกระบี่สีทองบนร่างส่องสว่าง ร่างกายหมุนติ้วราวกับลูกข่างสีทอง
“บึ๊ม” เสียงดังสนั่น ลูกข่างสีทองถูกแสงอสนีบาตสีขาวที่อสูรอัคคียักษ์ยิงมาโจมตีเข้าอย่างจังจนปลิวถอยไปในพริบตา