ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 987 บัวอัคคีสีหยก
เดิมทีพวกหลัวเทียนเฉิงยังตกตะลึงกับการโจมตีเหนือจินตนาการของฉิวหลงจื่ออยู่ เวลานี้เห็นเขาร่วงลงมาจึงได้สติรีบเหาะเข้ามา
“ศิษย์พี่ฉิว ท่านไม่เป็นไรนะ?”
“ไม่เป็นไร เมื่อครู่ใช้วิชากระบี่ยุคโบราณวิชาหนึ่งจึงเสียลมปราณไปมากอยู่บ้างเท่านั้น พักสักช่วงหนึ่งก็หาย” ฉิวหลงจื่อถอนหายใจยาวเอ่ยขึ้น ในที่สุดสีหน้าก็ฟื้นเป็นปกติ
คนอื่นๆ ได้ยินคำนี้ก็ก็โล่งอก
นับตั้งแต่จินเทียนชื่อถูกเคลื่อนย้ายออกไปจากเศษซากโลกบนอย่างไม่คาดคิด ฉิวหลงจื่อก็เป็นเหมือนเสาหลักของผู้คนจากนิกายยอดบริสุทธิ์ เมื่อรวมกับวิชากระบี่น่าตะลึงที่เขาใช้สังหารอสูรอัคคียักษ์ได้ในครั้งเดียวเมื่อครู่ ก็ยิ่งทำให้ทุกคนทั้งเคารพทั้งยำเกรงขึ้นไปอีก
“รีบจัดการอสูรตัวนี้แล้วไปจากที่นี่เร็ว การต่อสู้เมื่อครู่อาจดึงความสนใจของคนอื่นมาก็เป็นได้” ฉิวหลงจื่อเอ่ยพลางพลิกมือเรียกโอสถเม็ดหนึ่งออกมากิน หลังจากนั้นเขาก็หลับตานั่งทำสมาธิอยู่ตรงนั้น
คนที่เหลือย่อมไม่เห็นเป็นอื่นกับเรื่องนี้ พวกเขารีบแยกย้ายไปรวบรวมวัตถุดิบที่มาจากร่างกายมโหฬารของอสูรอัคคียักษ์ตัวนี้ทันที
……
ครึ่งเดือนหลังจากนั้น หนึ่งมนุษย์กับหนึ่งอสูรกำลังประจันหน้ากันอยู่สองฟากฝั่งของบึงน้ำที่มีไอหมอกสีเขียวลอยอบอวลอยู่บนอากาศ
คนผู้นั้นก็คือหลิ่วหมิง ส่วนที่อยู่ไม่ไกลคือปีศาจอสูรคางคกหน้าตาอัปลักษณ์ตัวหนึ่ง ทั้งร่างเต็มไปด้วยตุ่มขรุขระสีเทาเข้ม ใต้คางพองลมส่งเสียงร้องอ้บๆ ไม่น่าฟังออกมาจากปาก
ตรงกลางบึงน้ำระหว่างทั้งสอง มีใบบัวสีเขียวเข้มที่ส่องแสงระยิบระยับกลุ่มหนึ่งลอยอยู่เหนือผิวน้ำ กลางใบบัวคือดอกไม้งดงามขนาดเท่าศีรษะมนุษย์ดอกหนึ่งที่แผ่แสงสีเขียวเรืองๆ ประหลาดออกมา คล้ายกับเพลิงภูตดวงหนึ่งกำลังลุกไหม้อยู่
“ข้ารู้ว่าเจ้าเกิดสติปัญญาแล้ว ฟังคำรู้เรื่อง! บัวอัคคีสีหยกในบึงน้ำข้าต้องเอาให้ได้ หากเจ้ารู้จักสถานการณ์ก็อย่าขวางข้า” หลิ่วหมิงเอ่ยขึ้นเรียบๆ แล้วยกมือข้างหนึ่งขึ้น แสงสีน้ำตาลอ่อนสว่างขึ้นกลางฝ่ามือ มุกบรรพตธาราปรากฏออกมา แรงกดดันจิตวิญญาณหนักอึ้งสายหนึ่งซัดสาดไปทั่วทุกสารทิศทันที
ดวงตามหึมาทั้งสองข้างของคางคกมองมุกบรรพตธาราเบื้องหน้าหลิ่วหมิงอย่างหวาดกลัวเล็กน้อย ทว่าไม่นานนิสัยดุร้ายก็กลบทับความหวาดกลัวนี้ไป อีกทั้งดอกบัวอัคคีสีหยกที่นี่เป็นสมบัติที่มันเฝ้าปกป้องมาเนิ่นนานปีจะทิ้งไปง่ายๆ ได้อย่างไร?
“อ้บ…”
คางคกอ้าปากกว้างพ่นหมอกสีเขียวหนาทึบอย่างที่สุดคำหนึ่งซัดเข้าใส่หลิ่วหมิงอย่างมืดฟ้ามัวดิน
หลิ่วหมิงรู้สึกว่ากลิ่นเหม็นเน่าไม่ธรรมดาโถมเข้าใส่จมูก เขาสีหน้าเคร่งขรึม ร่างกายขยับวูบเดียวพุ่งหลบพ้นขอบกลุ่มหมอกไป พร้อมกันนั้นแสงกระบี่สีม่วงสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากร่างแทงเฉียงเข้าใส่ดวงตาทั้งสองข้างของคางคกประหนึ่งอสรพิษเลื้อยออกจากโพรง
แม้ร่างกายของคางคกจะดูอ้วนฉุ แต่การเคลื่อนไหวกลับว่องไวยิ่งนัก ทันทีที่ขาหลังกระทืบพื้น ร่างกายก็ทะยานหลบพ้นกระบี่บินสีม่วงอย่างง่ายดายดั่งยกฝ่ามือแล้วร่วงลงริมบึงไกลออกไป
ในเวลานี้เองเงาคนก็พร่าเลือนวูบหนึ่ง เงาของหลิ่วหมิงปรากฏเบื้องหน้าคางคกดุจภูตพราย มือข้างหนึ่งยกขึ้น มุกบรรพตธาราบินพุ่งออกมาแล้วหมุนติ้วเปล่งแสงสีเหลืองสว่างจ้า พริบตาเดียวก็กลายเป็นเงาลวงภูเขาน้อยสีเหลืองลูกหนึ่งทับลงมาอย่างฉับพลัน
ครืน แรงกดดันจิตวิญญาณหนักหน่วงอย่างที่สุดสายหนึ่งระเบิดออกมา เงาภูเขาน้อยยังไม่ทันตกต้องถึงร่างมัน ร่างกายเกือบครึ่งหนึ่งของคางคกก็ถูกพลังมหาศาลที่ทะลักออกมาทับจมลงไปใต้พื้น
เวลานี้คางคกเพิ่งรับรู้ความร้ายกาจของมุกบรรพตธารา ดวงตาฉายแววหวาดกลัวอย่างที่สุด มันอ้าปากพ่นแก่นปีศาจสีน้ำเงินเข้มขนาดเท่าศีรษะมนุษย์ลูกหนึ่งออกมาแล้วพาหมอกสีเขียวหนาทึบพุ่งเข้าชนเงาภูเขาน้อย
“เหอะ!” ดวงตาของหลิ่วหมิงทอประกายเย็นเยียบ สองมือตั้งท่าเคล็ดวิชาท่าหนึ่งอย่างรวดเร็ว ด้านล่างเงาภูเขาน้อยมีแสงแวววาวสีน้ำตาลอ่อนชั้นหนึ่งปรากฏขึ้นมา
เมื่อแก่นปีศาจชนถูกเงาภูเขาน้อยก็ระเบิดดังปัง จากนั้นเงาภูเขาน้อยก็ดิ่งลงมาทับ
บึ๊ม!
เสียงดังสนั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน แผ่นดินสั่นไหวรุนแรงจนเป็นลูกคลื่นเหมือนบนผิวน้ำ หลุมขนาดใหญ่ลึกสิบกว่าจั้งหลุมหนึ่งปรากฏขึ้นบนพื้น
หลิ่วหมิงกวักมือข้างหนึ่ง เงาภูเขาน้อยกะพริบวูบเดียวก็กลับคืนมาเป็นมุกบรรพตธาราอีกครั้งแล้วบินกลับมาอยู่ในมือของเขา
คางคกสีเทาเข้มขนาดมหึมาตัวนั้นในหลุมลึกกลายเป็นเศษเนื้อกองหนึ่ง แทบจะมองหน้าตาดั้งเดิมไม่ออก
หลิ่วหมิงส่ายหน้า ร่างกายขยับวูบเดียวร่อนลงบนผิวน้ำ เก็บดอกบัวอัคคีสีหยกบนผิวน้ำมาอย่างระมัดระวังใส่เข้าไปในแหวนย่อส่วน
ครู่หนึ่งหลังจากนั้น แสงกระบี่สีม่วงสายหนึ่งก็แหวกท้องฟ้ามุ่งหน้าจากไปไกลอย่างรวดเร็ว
……
ท่ามกลางกองหินระเกะระกะกลางทะเลทรายแห่งหนึ่งบนเศษซากโลกบน สายลมแรงหอบพัดเศษหินกระจายไปรอบด้าน เป็นทิวทัศน์ที่เต็มไปด้วยความเสื่อมจากหายนะ
ตรงใจกลางทะเลทราย มีหอคอยศิลาทรุดโทรมที่เอียงน้อยๆ ตั้งตระหง่านอยู่หลังหนึ่ง
หอคอยแห่งนี้หน้าตาโบราณ สูงราวเจ็ดแปดสิบจั้ง ดูจากด้านนอกตั้งแต่ด้านบนจรดด้านล่างแบ่งได้ราวเก้าชั้น
เวลานี้ชั้นที่เก้าของหอคอยศิลาฉับพลันมีแสงสีฟ้าแสบตาส่องสว่าง
เปรี้ยง ด้านข้างหอคอยศิลาถูกระเบิดจนเป็นรูใหญ่ สตรีชุดฟ้าผู้หนึ่งหนีออกมาจากด้านในอย่างรวดเร็ว หากหลิ่วหมิงอยู่ที่นี่จะต้องจดจำได้ในทันทีว่าสตรีนางนี้ก็คือหลานซือแห่งเผ่าหลานมู่นั่นเอง
เวลานี้หลานซือสีหน้าเหนื่อยล้าอยู่บ้าง ในมือกำผลึกสีเหลืองขนาดเท่าศีรษะมนุษย์ชิ้นหนึ่งที่ด้านบนวาดภาพมนุษย์สีทองขนาดเท่าฝ่ามือกำลังนั่งขัดสมาธิด้วยสีหน้าโอบอ้อมอารีประหนึ่งมีชีวิตไว้แน่น
ภาพมนุษย์สีทองเปล่งแสงวงแล้ววงเล่าออกมาจากบนผิว แลดูลึกลับอย่างที่สุด
หลานซือเพิ่งเหาะออกมาจากหอคอยศิลาได้ไม่นาน ด้านหลังก็เกิดเสียงเปรี้ยงดังสนั่น เศษหินปลิวออกมาจากหอคอยศิลา อสรพิษปีกคู่ยาวยี่สิบถึงสามสิบจั้งตัวหนึ่งพุ่งออกมาจากด้านในพร้อมกับร้องคำรามฟังดูประหลาดแสบแก้วหู ร่างกายดีดตรงเข้าใส่หลานซือ
ทั้งร่างของอสรพิษประหลาดเปล่งแสงสีเหลือง สีสันไม่แตกต่างจากก้อนดินธรรมดามากนัก ดวงตาสีแดงเรียวเล็กสองข้างแลดูโหดเหี้ยมยิ่งนัก นอกจากปีกมหึมาเหมือนอินทรีสองข้างบนแผ่นหลัง ส่วนใต้คอก็มีกรงเล็บสั้นคล้ายวิหคสองข้างด้วย
อสรพิษประหลาดเร็วยิ่งนัก ขยับแต่ละครั้งก็ย่นระยะห่างลงได้ไม่น้อยจนกำลังจะขย้ำร่างของหลานซือได้อยู่แล้ว
ในเวลานี้เองหลานซือพลันหันกลับหลัง นางหมุนตัวดุจสายฟ้าแลบ มือเรียวยกขึ้นชี้ ขนนกสีฟ้าสามเส้นบนศีรษะพุ่งรวดเร็วออกไปปักตรงท้องน้อยของอสรพิษประหลาดแล้วทะลวงออกจากอีกด้าน
การโจมตีครั้งนี้เร็วดุจสายฟ้าแลบ อสรพิษประหลาดยังไม่ทันตอบสนอง ท้องน้อยก็เกิดรูเลือดขึ้นสามรู
อสรพิษประหลาดกรีดร้องอย่างทุกข์ทรมาน มันพลิกตัวร่วงลงไปเบื้องล่าง ดิ้นรนอยู่กลางอากาศด้วยความเจ็บปวด
หลานซือหยุดมองอสรพิษประหลาดที่บิดดิ้นอยู่บนพื้นด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นเหลือบมองผลึกสีเหลืองในมือ ครู่หนึ่งหลังจากนั้นสีหน้าของนางจึงผ่อนคลายลงแล้วถอนหายใจออกมา
“เห็นแก่ที่เจ้าเฝ้าปกป้องผลึกก้อนนี้มาหลายปี วันนี้จะไว้ชีวิตเจ้า”
พูดพลางนางก็เก็บผลึกสีเหลืองไป หลังจากนั้นร่างกายพลันกลายเป็นแสงสีฟ้าสายหนึ่งแหวกท้องฟ้าเหาะจากไป
……
ภายในถ้ำใต้ดินอันมืดสลัวและเงียบสงบแห่งหนึ่ง ได้ยินเสียงน้ำหยดดังก้องมาจากไกลๆ เป็นระยะ ทำให้ถ้ำแห่งนี้ดูลึกลับขึ้นมากกว่าเดิมเล็กน้อย
รอบด้านของที่แห่งนี้ล้วนเป็นศิลาสีดำสนิทบางชนิด แสงสีดำกะพริบวิบวับอย่างประหลาด ปราณดำขุ่นสายแล้วสายเล่าโผล่ออกมาจากด้านในเป็นระยะ นั่นเป็นไอปีศาจอันบริสุทธิ์ที่สุด
เหนือกองหินระเกะระกะ ศีรษะที่ผมสยายศีรษะหนึ่งกำลังหลับตาสองข้างสนิทลอยอยู่อย่างนิ่งสงบ นั่นก็คือศีรษะของมนุษย์ปีศาจระดับดาราพยากรณ์ที่หนีจากมือหลิ่วหมิงกับจินเทียนชื่อมานั่นเอง
เพียงแต่ลมปราณที่แผ่ออกมาจากตัวมันในเวลานี้หล่นลงมาถึงระดับแก่นแท้ระดับกลางแล้ว
ปากบนศีรษะอ้าหุบกลืนกินไอปีศาจบริสุทธิ์รอบด้าน หลังจากผ่านไปเนิ่นนานสองตาจึงลืมขึ้นช้าๆ
“ยังดีที่หาถ้ำหินพันธะมารแห่งหนึ่งพบ อาศัยไอปีศาจบริสุทธิ์ที่นี่ในที่สุดก็ฟื้นลมปราณมาได้เล็กน้อย แต่หากอยากฟื้นพลัง เกรงว่าคงต้องใช้เวลาหลายปีพักรักษาตัวเงียบๆ ถึงจะได้ การค้นหาสมบัติในเศษซากโลกบนคงต้องพอเท่านี้แล้ว” หัวของมนุษย์ปีศาจเอ่ยพึมพำ
“แผ่นดินจงเทียน นิกายยอดบริสุทธิ์! เหอะ หนี้แค้นครั้งนี้ข้าจะทวงคืนแน่นอน!” ศีรษะของมนุษย์ปีศาจเอ่ยออกมาประโยคหนึ่งอย่างเคียดแค้นแล้วจึงหลับตาทั้งสองข้างลงอย่างไม่ยินยอมอยู่บ้าง เริ่มดูดกลืนไอปีศาจรอบด้านต่อ
……
เวินเจิงกำลังเหาะไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วในทางถ้ำหินปูนใต้ดินของเกาะที่ถูกน้ำแข็งผนึกแห่งหนึ่ง
ภายในถ้ำหินปูนใต้ดินมืดสลัว แต่สำหรับผู้ฝึกฝนแล้ว เมื่อส่งจิตสัมผัสออกไปย่อมไม่นับเป็นปัญหา
เวินเจิงเหาะไปด้านหน้าราวหนึ่งเค่อ ก็พบกับถ้ำสีดำสนิทแห่งหนึ่งซึ่งมองเห็นร่องรอยซ่อมแซมของมนุษย์อยู่ชัดเจน
“ในที่สุดข้าก็หาพบ!” เวินเจิงเห็นเช่นนี้ บนใบหน้าก็เผยสีหน้าตื่นเต้นยินดีออกมาในทันใด แสงสีขาวส่องสว่างขึ้นบนมือ คัมภีร์หยกเก่าแก่ที่เริ่มเหลืองแล้วเล่มหนึ่งปรากฏออกมา
“เหอะ! หลิ่วหมิง หลัวเทียนเฉิง พวกเจ้าสองคนได้โดดเด่นในการค้นหาสมบัติในเศษซากโลกบนครั้งนี้ แต่ผู้แซ่เวินก็ไม่แพ้พวกเจ้าเช่นกัน!” เวินเจิงลูบคัมภีร์หยกในมือ ดวงตาทอประกายพร้อมกับที่เอ่ยพึมพำ
นับตั้งแต่เขาเข้ามายังเศษซากโลกบนก็โชคไม่ดีมาตลอด พบศัตรูแข็งแกร่งติดต่อกันหลายครั้งยังไม่ว่า ค้นหาสมบัติก็เจอเพียงไม่กี่ชิ้น
แต่ก่อนหน้านี้ไม่นานในที่สุดโชคก็มาหาเขา เขาได้คัมภีร์หยกโบราณชิ้นหนึ่งมาโดยบังเอิญ ในนั้นบันทึกสถานที่เร้นลับแห่งหนึ่งในเศษซากโลกบนไว้ เขาจึงหาโอกาสแยกออกจากกลุ่ม ค้นหาซากโบราณที่หลบซ่อนอยู่แห่งนี้ตามลำพังทันที
เขาขยับร่างร่อนลงในถ้ำแล้วเดินไปด้านหน้าสิบกว่าจั้ง ประตูศิลามหึมาที่ทอแสงสีฟ้าหม่นบานหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขา
เวินเจิงเห็นภาพตรงหน้า ในดวงตาก็ฉายแววยินดีเล็กน้อย
ในคัมภีร์หยกบันทึกไว้เพียงที่ตั้งสถานที่แห่งนี้แต่ไม่ได้บอกว่าด้านในมีสิ่งใด ทว่าดูจากสภาพนี้แล้ว ซากโบราณสถานแห่งนี้คงไม่อาจดูแคลนได้
เขาสูดลมหายใจลึกยาวจากนั้นสะบัดมือเรียกโล่น้อยหกเหลี่ยมสีเทาชิ้นหนึ่งออกมา หลังจากตั้งท่าเคล็ดวิชา โล่ก็เปล่งแสงสีเทาจางๆ ชั้นหนึ่งปกป้องทั้งร่างเอาไว้
เวินเจิงทำทุกสิ่งนี้เสร็จสิ้นจึงสงบจิตใจแล้วออกแรงผลักประตูศิลา
“แกรก” ประตูศิลาเปิดออกอย่างไม่คาดคิดโดยไม่ต้องใช้เรี่ยวแรงแม้แต่น้อย
เวินเจิงแปลกใจในตอนแรก แต่หลังจากความคิดหมุนเร็วไวเขาก็ก้าวเท้าเข้าไป
ด้านหลังประตูศิลาก็ยังเป็นทางสีดำสนิทเส้นหนึ่ง เขาเดินไปข้างหน้าราวหนึ่งเค่อก็เดินผ่านทางเลี้ยวจุดหนึ่ง ฉับพลันเบื้องหน้าก็สว่างไสว ห้องโถงแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า
เวินเจิงสีหน้าดีใจ ก้าวยาวเดินเข้าไป
ห้องโถงค่อนข้างกว้างขวาง ตรงกลางมีแท่นศิลาทรงสี่เหลี่ยมสูงหลายจั้งแท่นหนึ่งที่มีบันไดหยกขาวทอดยาวไปบนยอด
บนแท่นศิลามีหยกขาวทรงสี่เหลี่ยมชิ้นหนึ่งวางนอนอยู่ดูเหมือนเป็นโลงศพ สองข้างมีตะเกียงสองดวงฉายแสงส่องสว่างทั้งห้องโถงใหญ่
เบื้องหน้าโลงศพ หญิงสาวผู้สวมชุดนางในและห่มอาภรณ์สีแดงคนหนึ่งยืนนิ่งสงบอยู่
สตรีนางนี้รูปร่างสะโอดสะอง หันหลังให้กับประตูจึงไม่อาจมองเห็นโฉมหน้า