ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 994 อยู่เคียงข้างและไข่อสูร
หลิ่วหมิงออกจากยอดเขาหลักของนิกายยอดบริสุทธิ์ได้ก็ไม่รั้งรอแต่อย่างใด เขาขี่กระบี่ตรงไปยังถ้ำที่พักของตนเอง
จะว่าไปแล้วเวลาหนึ่งปีนี้เขาไม่ได้นอนหลับสนิทเลยสักคืน เขาต้องการพักผ่อนดีๆ สักหน่อย นอกเหนือจากนี้เขายังต้องจัดการสิ่งที่ได้มาจากการเดินทางในเศษซากโลกบนครั้งนี้ให้ดีก่อนเพื่อจะได้วางแผนก้าวต่อไป
ระหว่างที่ในใจเขาครุ่นคิด กระบี่บินสีม่วงใต้เท้าก็มาถึงท้องฟ้าเหนือยอดเขาถ้ำที่พักของเขา
เมื่อเขาได้สติกลับมาก็เห็นเงาร่างอรชรของสตรีนางหนึ่งยืนสะโอดสะองอยู่นอกถ้ำที่พักของเขาแต่ไกล ดูจากท่าทางเหมือนจะรอคอยมานานแล้ว
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ลมปราณของหญิงสาวผู้นี้เขาไม่มีทางคุ้นเคยไปมากกว่านี้อีกแล้ว นางคือเจียหลานนั่นเอง
“ศิษย์น้องเจียหลาน” หลิ่วหมิงเอ่ยเรียกคำหนึ่งจากบนท้องฟ้า พร้อมกับที่แสงกระบี่ดับลงแล้วร่อนลงมายังปากทางเข้าถ้ำที่พัก
เจียหลานได้ยินเสียงหลิ่วหมิง เรือนร่างงามก็ขยับเล็กน้อย ดวงหน้างามหันมา หลังจากเห็นหลิ่วหมิงก็แย้มยิ้ม
“พี่หลิ่ว ท่านกลับมาแล้ว”
นี่ดูเหมือนคำทักทายปกติทั่วไป แต่กลับทำให้หลิ่วหมิงอบอุ่นในอก ความรู้สึกอ่อนโยนเกิดขึ้นในใจจนอดไม่ได้ก้าวเข้าไปกางสองแขนกอดนางเข้ามาไว้ในอ้อมอก
เจียหลานคิดไม่ถึงว่าหลิ่วหมิงจู่ๆ จะกอดตน นางตัวสั่นเล็กน้อย สองแก้มแดงก่ำ แต่ไม่ได้ดิ้นหนี
“ศิษย์น้องเจียหลาน ข้า…” หลิ่วหมิงเพิ่งรู้สึกตัวว่าเสียกิริยาไปจึงรีบปล่อยมือทั้งสองข้างออก แล้วคิดจะเอ่ยปากอธิบาย
“พี่หลิ่วจากไปนานหนึ่งปีเต็ม หลายเดือนก่อนหน้านี้ได้ยินว่าศิษย์พี่จินผู้นำคณะเดินทางถูกเคลื่อนย้ายออกจากเศษซากโลกบนกะทันหันเพราะสาเหตุบางประการ ข้าสืบถามหลายครั้งกว่าจะรู้ว่าการเดินทางไปแดนลับเศษซากโลกบนครั้งนี้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นหลายครั้ง อันตรายยิ่งนัก…หลายวันนี้เดิมทีเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ควรเก็บตัวทะลวงเข้าสู่ขั้นปลาย แต่ข้าไม่อาจสงบใจได้ จึงเลิกเก็บตัวแล้วมารอพี่หลิ่วกลับมาที่นี่” ไม่ทันที่หลิ่วหมิงจะเอ่ยจบ เจียหลานก็ก้มหน้าอธิบาย แต่ในดวงตาเหมือนมีแววตัดพ้อแฝงอยู่
“ปล่อยให้ศิษย์น้องกังวลแล้ว” คำพูดของเจียหลานยิ่งทำให้หลิ่วหมิงเกิดความเอ็นดู
“ข้ารู้ว่าศิษย์พี่น่าจะเหน็ดเหนื่อย รีบกลับถ้ำที่พักไปพักผ่อนสักหน่อยเถิด ข้าจะไปเดินเล่นที่อื่นคนเดียวผ่อนคลายจิตใจสักหน่อย หลังจากนั้น…หลังจากนั้นก็จะกลับแล้ว” เจียหลานได้ยินคำนี้ฟันขาวพลันกัดริมฝีปากแดงแผ่วเบา แล้วเอ่ยออกมาเช่นนี้
“หากศิษย์น้องไม่รังเกียจ ผู้แซ่หลิ่วยินดีไปเป็นเพื่อน” หลิ่วหมิงฟังจบก็โพล่งออกมาราวกับมีเทพดลใจ
นับตั้งแต่วันนั้นที่ร่วมอภิรมย์กับเหยาจีในเศษซากโลกบน เขาก็เหมือนเปิดโลกเกี่ยวกับเรื่องชายหญิง
“ได้ ถ้าเช่นนั้นก็รบกวนพี่หลิ่วแล้ว”
เจียหลานได้ยินแรกสุดก็ตกตะลึง ทว่าจากนั้นก็พยักหน้ารัวอย่างยินดี
หลิ่วหมิงไม่พูดพร่ำยกแขนเสื้อขึ้นมาทันที เมฆดำก้อนหนึ่งยกทั้งสองคนขึ้นเหาะไปยังเทือกเขาหมื่นวิญญาณ
หลายวันต่อจากนั้นไม่ว่าบนทางเดินคดเคี้ยว ธารน้ำสายน้อย หรือศาลาบนเขา ม่านน้ำถ้ำน้ำตก ล้วนเห็นเงาของหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีปรากฏอยู่
หลิ่วหมิงเหมือนจะลืมเรื่องราวทุกสิ่งในโลกไป เพียงเที่ยวชมขุนเขาลำธาร ลิ้มรสชาถกปัญหาธรรมท่ามกลางทิวทัศน์งดงามของเทือกเขาหมื่นวิญญาณแห่งนี้อย่างตามใจ
จะว่าไปแล้วเทือกเขาหมื่นวิญญาณแห่งนี้เดิมทีก็เป็นแดนสวรรค์ที่มีภูมิทัศน์ยอดเยี่ยมแห่งหนึ่ง ขุนเขามหึมาตั้งตระหง่าน ยอดเขานับพันเรียงซ้อนกัน กระเรียนขาวโบยบิน ปราณสีม่วงลอยละล่อง เป็นทิวทัศน์ของแดนสวรรค์อันเขียวขจี อบอวลกลิ่นบุปผาและเต็มไปด้วยเสียงสกุณาร่ำร้องแห่งหนึ่ง
ความรู้สึกระหว่างทั้งสองคนเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็ว
ในสายตาของศิษย์คนอื่น ทั้งสองคนนี้ก็เป็นเหมือนคู่รักเทพเซียนมานานแล้ว นี่จึงทำให้ศิษย์ชายที่เดิมมีใจให้เจียหลานจำนวนหนึ่งทั้งอิจฉาทั้งริษยา แต่ไม่อาจทำอันใดได้
หลังจากซาทงเทียนเห็นเรื่องระหว่างหลิ่วหมิงกับเจียหลานกับตาตนก็ตัดใจได้อย่างเด็ดขาด หมกตัวอยู่ในหอเก็บคัมภีร์ของนิกาย
อย่างไรเสียเรื่องที่หลิ่วหมิงทำผลงานได้ยอดเยี่ยมระหว่างการเดินทางบนเศษซากโลกบน ตั้งแต่วันนั้นที่ทุกคนกลับมาก็เล่าลือกันไปทั่วนิกายแล้ว ชื่อเสียงอันดับหนึ่งของนิกายสายในยิ่งมั่นคงอย่างที่สุด ไม่มีใครสงสัยอีกต่อไป
ถึงขั้นมีถ้อยคำลือกันว่าระดับสูงของนิกายตัดสินใจแล้วว่าทันทีที่เขาเข้าสู่ระดับแก่นแท้จะรับเขาเข้าสู่วังเจดีย์ของนิกาย กลายเป็นศิษย์ลับ
……
วันนี้บนทุ่งหญ้ากว้างที่ตีนเขาแห่งหนึ่งหลิ่วหมิงกับเจียหลานนั่งเคียงไหล่พิงก้อนหินยักษ์ก้อนหนึ่งอยู่
“พี่หลิ่ว ยามนั้นบนแผ่นดินอวิ๋นชวน ท่านเคยช่วยเหลือข้าหลายต่อหลายครั้ง แม้ข้ากลับไปยังเผ่าเจ้าสมุทรแล้วก็ไม่ได้มองข้าเป็นศัตรู…หรือว่านับตั้งแต่ตอนนั้นท่านก็ไม่ได้มีแค่ไมตรีฉันท์ศิษย์พี่ศิษย์น้องธรรมดากับข้า?” เจียหลานจู่ๆ ก็กะพริบตาเอ่ยถามหลิ่วหมิงเสียงเบา
“ข้า…” หลิ่วหมิงใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ ชั่วขณะไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี
เจียหลานเห็นหลิ่วหมิงเกาหูเกาหัวอยู่เนิ่นนานจึงยิ้มหวานเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง
“ยามนั้นท่านต่อสู้เดิมพันแทนข้า ท้าสู้กับพี่น้องตระกูลเวิน เหตุใดจึงรับปากข้า? หลังจากนั้นท่านประมุขหมั้นหมายพวกเรา ท่านก็ไม่ออกปากปฏิเสธ ในใจท่านน่าจะมีข้าอยู่ในนั้นบ้างกระมัง?”
“ศิษย์น้องเจียหลาน ที่จริง…” หลิ่วหมิงมีสีหน้าลำบากใจ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยอะไรออกมานั่นเอง ทันใดนั้นเสียงครวญก็ดังออกมาจากป้ายตรงเอวของเจียหลาน
เจียหลานสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้วใช้มือข้างหนึ่งตบลงไป แสงจิตวิญญาณสายหนึ่งสว่างออกมาจากป้ายแล้วหยุดอยู่กลางอากาศ
“ข้าออกจากนิกายไปแค่เดือนกว่า เจ้ากลับเลิกเก็บตัวไปเที่ยวชมขุนเขาสายน้ำตามอำเภอใจ! ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับการข้ามระดับของเจ้า ยังไม่รีบกลับไปเก็บตัวต่อที่ยอดเขาอีก!”
ฟังจากเสียง นั่นคือเมี่ยวอินอาจารย์ของนางนั่นเอง
“ศิษย์พี่ อาจารย์เร่งให้ข้าไปเก็บตัวฝึกฝนแล้ว เกรงว่าคงต้องแยกจากท่านสักพัก” ดวงหน้างามของเจียหลานเศร้าสร้อย นางลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยอย่างไม่ใคร่จะยินยอมอยู่บ้าง
“ในเมื่ออาจารย์อาเอ่ยเช่นนี้ ศิษย์น้องก็กลับไปฝึกฝนก่อนจึงจะดี ที่ตัวข้ามีโอสถจิตวิญญาณที่ช่วยทะลวงคอขวดของระดับผลึกขั้นปลายอยู่บ้าง บางทีอาจมีประโยชน์กับการทะลวงคอขวดของเจ้า” หลิ่วหมิงฟังแล้วพลันขมวดคิ้ว จากนั้นพลิกมือเรียกโอสถจิตวิญญาณหลายขวดออกมา ในนั้นมีโอสถแฝงจิตวิญญาณระดับพสุธาอยู่หลายเม็ด
“ขอบคุณศิษย์พี่ยิ่งนัก”
หลังจากเจียหลานรับขวดน้อยที่หลิ่วหมิงส่งมาให้ นางดูไม่เท่าไรก็เก็บเข้าไปในกำไลเก็บของ
นางนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วทันใดนั้นก็ก้าวมาข้างหน้า แตะริมฝีปากบนแก้มของหลิ่วหมิงแผ่วเบา จากนั้นถอยหลังกลับไปด้วยใบหน้าเขินอาย แล้วใช้เคล็ดวิชาเหยียบเมฆสีฟ้าลอยขึ้นไป กลายเป็นแสงสีฟ้าสายหนึ่งลอยลิ่วแหวกท้องฟ้าไปยังยอดเขาเลื่อนลอยทันที
หลิ่วหมิงลูบแก้มตรงที่ถูกจุมพิต ในใจปั่นป่วนอยู่ครู่หนึ่ง ผ่านไปพักใหญ่จึงสงบความรู้สึกในใจลงได้
แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็มั่นใจว่าตนมีความสามารถในการควบคุมตัวเองสูงยิ่งนัก แต่กับเจียหลาน ในหัวใจมักจะมีความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้บางอย่างอยู่ตลอด
การได้อยู่ด้วยกันหลายวันนี้ทำให้ความรู้สึกนี้เหมือนจะโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ แต่ในนาทีสุดท้ายก็ยังไม่โผล่ขึ้นมา
หลิ่วหมิงกลับไปในห้องลับของถ้ำที่พัก หลังจากทำสมาธิสงบจิตใจอยู่หนึ่งวันหนึ่งคืนเต็ม จิตใจจึงกลับมาอยู่ในสภาวะนิ่งสงบ เขาลืมตาขึ้นโบกมือ ของมากมายกองโตปรากฏขึ้นบนพื้น
ของเหล่านี้ก็คือของทั้งหมดที่ได้มาในเศษซากโลกบน นอกเหนือจากมุกบรรพตธาราที่เสร็จสมบูรณ์ครึ่งเดียวลูกนั้น
ร่างตั้งต้นของมุกบรรพตธาราสิบเอ็ดลูก มุกผลึกมารหนึ่งลูก ผลจื่อหยวนหนึ่งผล ไข่ปีศาจอสูรกองโต ศิลารวมจิตวิญญาณหลายสิบก้อนรวมถึงสมุนไพรหลากหลายสีอีกจำนวนหนึ่ง
นอกเหนือจากไข่อสูรไก่ทองคำพิเศษที่เซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์หวาดกลัวฟองนั้น ไข่ฝ่อของปีศาจอสูรฟองอื่นไม่มีประโยชน์เท่าใดนักกับหลิ่วหมิงในตอนนี้ เขาคิดว่าจะหาโอกาสขายพวกมันทั้งหมดแลกเป็นหินจิตวิญญาณ
ส่วนสมุนไพรจิตวิญญาณที่มีประโยชน์กับการทะลวงแก่นแท้เหล่านั้นกับผลจื่อหยวน เขาคิดว่าจะเก็บไว้จัดการทีหลัง
ส่วนศิลารวมจิตวิญญาณ วันหน้ายามมีเวลาว่างเขาเตรียมจะวางค่ายกลรวมจิตวิญญาณขนาดเล็กแห่งหนึ่งไว้ในถ้ำที่พัก
หลังจากครุ่นคิดพักหนึ่งเขาก็จำแนกประเภทของเหล่านี้เก็บกลับไปในแหวนย่อส่วน เมื่อมองไปเห็นมุกผลึกมารลูกนั้น เขาก็คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเก็บมันไว้กับตัว
เมื่อทำทุกสิ่งนี้เสร็จสิ้น บนพื้นก็เหลือเพียงร่างตั้งต้นของมุกบรรพตธาราสิบเอ็ดลูกกับไข่อสูรไก่ทองคำสามมงกุฎพิเศษฟองนั้น
เขากวักมือ ลูกแก้วกลมสีเหลืองขมุกขมัวสิบเอ็ดลูกลอยขึ้น พวกมันแผ่วงแหวนแสงสีเหลืองวงแล้ววงเล่าออกมา
หลิ่วหมิงดวงตาเป็นประกาย ในใจครุ่นคิดเร็วไว
ตอนนี้ในมือเขาไม่มีหยดพลังวารีแล้ว แต่หากหลังจากนี้คอยสนใจตลาดและงานประมูลต่างๆ ไว้ให้ดีก็น่าจะมีโอกาสหาพบอยู่บ้าง หากหลอมร่างตั้งต้นของมุกบรรพตธาราสิบเอ็ดลูกนี้ให้กลายเป็นอาวุธเวทที่เสร็จสมบูรณ์ครึ่งหนึ่งได้ทั้งหมด พลังของเขาย่อมเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันจนถึงขั้นที่ยากจะจินตนาการได้
แน่นอน หากอยากใช้มุกบรรพตธาราสิบสองลูกนี้พร้อมกัน ต่อให้พวกมันเป็นเพียงอาวุธเวทที่เสร็จสมบูรณ์เพียงครึ่งเดียวก็ไม่ใช่เรื่องง่าย คงต้องให้พลังของเขาก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่งก่อน
หลังจากหลิ่วหมิงคิดคำนวณเรียบร้อยก็เก็บลูกแก้วสีน้ำตาลอ่อนสิบเอ็ดลูกไป แล้วหยิบไข่อสูรไก่ทองคำสามมงกุฎฟองนั้นออกมาอีกครั้ง เขาตรวจดูอยู่พักหนึ่งก็ยังคงไม่ได้อะไร
“หรือว่านี่จะเป็นไข่ของอสูรกลายพันธุ์ฟองหนึ่งจริงๆ!”
ปีศาจอสูรกลายพันธุ์คือปีศาจอสูรที่พลังงานเปลี่ยนแปลงไปกะทันหันอย่างไม่รู้สาเหตุระหว่างกระบวนการฝึกฝน จนพลังเฉพาะตัวเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย
การเปลี่ยนแปลงกะทันหันเช่นนี้มีทั้งดีและร้าย มันอาจทำให้ปีศาจอสูรธรรมดาตัวหนึ่งกลายเป็นสิ่งที่ร้ายกาจผิดธรรมชาติ แล้วก็อาจทำให้อสูรจิตวิญญาณระดับสุดยอดตัวหนึ่งกลายเป็นอสูรไร้ค่า
ปีศาจอสูรที่กลายพันธุ์ไม่ได้หาพบยากนักในประวัติศาสตร์ของแผ่นดินจงเทียน ไข่ของหนอนพลังจิตที่หลิ่วหมิงได้มาอย่างไม่ตั้งใจจากตลาดฉางหยางเมื่อตอนนั้นก็เคยถูกผู้ฝึกฝนสำนักเฮ่าหรานสองคนคิดว่าเป็นไข่ของจั๊กจั่นเขียวที่กลายพันธุ์
เซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์ในตอนนี้ก็เรียกว่าเป็นปีศาจอสูรกลายพันธุ์ได้ ทั้งสองตัวถูกลมปราณของปีศาจยักษ์โบราณแปดเปื้อนจึงได้ดูดกลืนพลังงานจากโลหิตปีศาจสวรรค์จำนวนหนึ่งเข้าไป จนเกิดการกลายพันธุ์หลายครั้ง
หลิ่วหมิงมองไข่อสูรสีทองในมือด้วยสีหน้าครุ่นคิด ครู่หนึ่งให้หลังเหมือนตัดสินใจได้แล้วจึงลุกขึ้นยืนออกจากถ้ำที่พัก จากนั้นเหาะไปยังสถานที่แห่งหนึ่งของเทือกเขาหมื่นวิญญาณ
หนึ่งชั่วยามให้หลังเขาก็ยืนอยู่บนเนินเขาเบื้องหน้ายอดเขาสองลูกที่ตั้งตรงขึ้นไปยังท้องฟ้าและมีเมฆหมอกวนเวียนซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในเทือกเขาหมื่นวิญญาณ เขายกมือไพล่หลังแล้วทอดสายตามอง
ระหว่างยอดเขาสองลูกมีสายโซ่มหึมาหลายเส้นเชื่อมกันอยู่ ใต้สายโซ่แขวนป้ายที่ทำจากไม้ขนาดเกือบร้อยจั้งแผ่นหนึ่งไว้
ทันทีที่ดูป้ายไม้แผ่นนี้ก็รู้ว่ามันแกะมาจากต้นไม้โบราณสูงเสียดฟ้าต้นหนึ่ง บนนั้นมีวงปีมากมายแผ่อยู่จนเต็ม มองดูคร่าวๆ อย่างน้อยก็เก่าแก่นับหมื่นปี ไม้ขนาดยักษ์เช่นนี้เดิมก็ไม่ใช่ของธรรมดา ป้ายแผ่นนี้ก็คงจะไม่ใช่ป้ายธรรมดาด้วย
บนป้ายเขียนตัวอักษรโบราณขนาดใหญ่ไว้ว่า “สวนอสูรจิตวิญญาณ”
ที่แห่งนี้คือสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของนิกายยอดบริสุทธิ์ มันคือสถานที่เลี้ยงและฝึกอสูรจิตวิญญาณโดยเฉพาะของนิกายสายใน