ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 446 ดรุณีบนหีบ
หญิงผู้นั้นสวมใส่เสื้อดำและกระโปรงดำ มีเครื่องประดับเงินตกแต่งศีรษะ และยังมีกำไลเงินประดับกระดิ่งนับสิบบนข้อมือของนาง รูปโฉมก็น่าประทับใจ ไม่ช้าก็มีคนเดินเข้ามาเพื่อรับเอาภาพวาดนั้นจากมือนางไปแปะไว้ที่กระดานประกาศข่าว
สตรีแห่งตำหนักสวรรค์แท้มองพวกเขาจากที่ยืนอันสูงส่งและกล่าว “ผู้หลบหนีจากแดนโบราณวินาศผู้นี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง และจะเข้ามาจากทางทะเลทรายเพลิงโหมภายในไม่กี่วันข้างหน้า ดังนั้นพวกเจ้าจะต้องตื่นตัวเอาไว้ หากว่าพวกเจ้าเห็นเขา ก็อย่ากระโตกกระตาก เพื่อไม่ให้เขาตื่นตกใจไป”
เสียงฉีเอ๋ออยากจะวิ่งเข้าไปดู แต่ฉินมู่คว้ามือเล็กๆ ของนางเอาไว้เพื่อป้องกันมิให้นางพลัดหลง
ข้างหน้าป้ายประกาศข่าวมีผู้คนเนืองแน่น และมันก็แทบจะแทรกเบียดเข้าไปไม่ได้ แต่ทว่าเสียงฉีเอ๋อก็ยังมุดเข้าไปข้างหน้าได้พลางดึงมือฉินมู่ตามไปข้างหลัง เขาจึงเงยหน้าขึ้นมองและเห็นตัวเขาเองในภาพวาด เหนือภาพนั้นเขียนเอาไว้ว่า ผู้หลบหนีจากแดนโบราณวินาศ ฉินมู่
เสียงฉีเอ๋อประหลาดใจและยินดี “มังกรอ้วน เจ้าก็อยู่ข้างๆ พี่ชาย! มีแต่ข้าที่ไม่อยู่ในภาพ”
รอบข้างนั้นแต่เดิมเต็มไปด้วยเสียงระเบ็งเซ็งแซ่ แต่มาบัดนี้ทุกคนกลับเงียบกริบ พวกเขามองไปยังฉินมู่
เขาดูเหมือนจะไม่สำเหนียกอะไรเมื่อเขามองไปยังป้ายประกาศด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นฝีมือของผานกงสั่ว เขาวาดมันด้วยมือตนเอง ซิงอ้านก็เคยมีรูปภาพของข้าที่เขาวาดไว้ให้ ดังนั้นข้าจึงจำรอยพู่กันของเขาได้”
พรึ่บ!
รอบข้างพลันโล่งว่างเมื่อกลุ่มคนกระจัดกระจายออกไป ออกห่างจากเขาให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้
ฉินมู่ไม่ใส่ใจเรื่องที่เกิดขึ้นและยังคงแย้มยิ้มอยู่ “ผู้สูงศักดิ์นับว่าคบหาสหายอย่างกว้างขวาง และรู้จักผู้คนมากมาย น่าเสียดายที่เขาวิ่งหนีเร็วเกินไป และข้าสังหารเขาไม่สำเร็จ”
“ผู้หลบหนีแดนโบรารวินาศ ตายซะ!”
เสียงตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดดังมาจากข้างหลังเขา ตามมาด้วยเสียงหวีดหวือ เมื่อมนุษย์ต้นไม้เงื้อเท้ามหึมาของมันกระทืบลงมายังเขา มนุษย์ต้นไม้นี้หนักอึ้งอย่างยากจะเปรียบปาน และพละกำลังของมันก็สุดจะหยั่ง ในเมื่อมีต้นไม้อยู่มากมายและราคาของมันไม่ได้สูงมากนัก ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งแผ่นดินตะวันตกจึงมักจะเลือกใช้มันเป็นพาหนะหลักและอาวุธคู่กายในการต่อสู้
กระนั้น มนุษย์ต้นไม้ที่ศิษย์หญิงแห่งตำหนักสวรรค์แท้ผู้นี้เลือกสรรมาก็เป็นสายพันธุ์ที่แตกต่างออกไป กิ่งของมัน ลำต้น และใบ ล้วนแต่เป็นสีแดงฉานประดุจโลหิต เมื่อดูจากรูปลักษณ์ของมันแล้ว มันน่าจะเคยผ่านการต่อสู้มานับครั้งไม่ถ้วน มีรัศมีอันเหี้ยมหาญในตัว
ฉินมู่ยื่นมือออกไปในท่าคว้าจับ และลูกกลมแสงสีเขียวก็ลอยออกมาจากร่างของมนุษย์ต้นไม้ อันแข็งค้างอยู่กับที่ เสียงซีอวี่ได้ถ่ายทอดวิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติให้แก่เขา ดังนั้นถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าบุรุษฝึกวิชานี้ได้ยากกว่าสตรี แต่เขาก็ได้ลงแรงฝึกปรือไปมิใช่น้อย
ศิษย์ตำหนักสวรรค์แท้ตกตะลึง และเครื่องประดับเงินบนศีรษะของนางก็พลันบินขึ้นไป แปลงกายเป็นหงส์เงินที่พุ่งเข้าใส่ฉินมู่ กำไลเงินที่แขนของนางก็พุ่งเข้าไปรัดศีรษะของเขา
เพลิงไฟพวยพุ่งรอบกายฉินมู่ และไม่ทันที่หงส์เงินกับกำไลเงินจะเข้าถึงตัว มันก็ละลายกลายเป็นโลหะหลอมเหลว
ศิษย์หญิงแห่งตำหนักสวรรค์แท้เห็นว่าสถานการณ์ย่ำแย่ จึงรีบหันกายหนีไป เสื้อผ้าของนางปลิวสะบัดในสายลมและยกร่างนางเหินขึ้นไปบนอากาศ นางไม่จำเป็นต้องใช้เวทมนตร์เหินหาวเลยด้วยซ้ำ
“วิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาตินี่มหัศจรรย์จริงๆ แม้แต่เสื้อผ้าก็ทำให้ผู้คนเหินบินได้” ฉินมู่อุทานด้วยความทึ่ง “ดูเหมือนว่าข้ายังดูเบาวิชานี้มากเกินไป”
หญิงนางนั้นครางเสียงหนักและร่วงลงมาจากท้องฟ้า
“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!” ฝูงชนรอบๆ วิ่งหนีไปทั่วทิศทาง พลางร้องตะโกนบอกกัน “ผู้ชายต่ำชั้นกำลังจะฆ่านายท่านหญิง!”
ฉินมู่มองไปรอบๆ และพบว่าถนนกลายเป็นว่างเปล่า ประตูและหน้าต่างของบ้านเรือนทุกหลังปิดปังๆ และไม่มีเลยสักคนที่ยังหลงเหลืออยู่ในบริเวณโดยรอบ มีก็แต่กิเลนมังกรและเสียงฉีเอ๋อที่ยังยืนข้างๆ เขา ส่วนศิษย์หญิงแห่งตำหนักสวรรค์แท้ยังคงคลานไต่อยู่กับพื้น การตกลงมาเมื่อครู่ยังทำให้นางงงไม่หาย
“เจ้ารู้ไหมว่าจะไปตำหนักสวรรค์แท้ไปอย่างไร” ฉินมู่ถามด้วยสีหน้าเป็นมิตร
ศิษย์หญิงตำหนักสวรรค์แท้ผู้นั้นพลันพลิกตัวไปข้างหน้า และปิ่นปักผมบนศีรษะของนางก็ยิงตรงไปยังดวงตาของเขาราวกระบี่ นางรีบเคลื่อนไหวไปยังบ้านข้างถนนหลักหนึ่ง และเอื้อมมือขึ้นไปดึงเอาเทวรูปบนป้ายจารึกออก
ตูม!
บ้านหลังนั้นพลันยืนขึ้นมา และแปรเปลี่ยนเป็นยักษ์ตนหนึ่ง ห้องเล็กๆ สองห้องกลายเป็นหมัดซึ่งซัดต่อยลงมายังฉินมู่!
ปิ่นปักผมแข็งค้างอยู่กับที่เมื่อมันเข้ามาใกล้ดวงตาของฉินมู่ วงจรพยุหะในดวงตานั้นหมุนเป็นเกลียววน และปิ่นปักผมก็ละลายกลายเป็นหยดโลหะหลอมเหลว
ฉินมู่เงยหน้าขึ้นไป และแสงดาวก็สาดประกายอยู่ในดวงตาของเขา กวาดไปยังยักษ์บ้านเรือน ผ่านเข้าไปทางหน้าต่าง เขามองเห็นครอบครัวหนึ่งกลัวตัวสั่นระริกไม่กล้าจะกระดุกกระดิก
“ข้าว่าแล้วว่าเทวรูปพวกนี้มันไร้ประโยชน์” ลำแสงสองลำยิงออกจากดวงตาของเขา และกวาดผ่านศิษย์หญิงแห่งตำหนักสวรรค์แท้ เขากล่าวอย่างไร้อารมณ์ “ผู้ฝึกทักษะเทวะอย่างเจ้า กลับไม่ไยดีชีวิตของคนธรรมดาพวกนี้เลยแม้แต่น้อย ข้าดูแคลนเจ้านัก”
ลำแสงนั้นหดสั้นลงไปทุกที กลับคืนมายังดวงตาของเขา วงจรพยุหะที่หมุนเป็นเกลียววนอย่างบ้าคลั่งในนั้นก็หายวับ และดวงดาวก็ค่อยๆ หรี่ดับ
ยักษ์บ้านเรือนร่วงลงมาด้วยเสียงโครมคราม และแปรเปลี่ยนกลับเป็นบ้านวงกลมตามเดิม
ฉินมู่หันกายจากไป ขณะที่หญิงสาวบนหลังคานิ่งแข็ง นางไม่กล้าขยับเขยื้อน
เมื่อฉินมู่อุ้มเสียงฉีเอ๋อและกระโดดขึ้นไปบนหลังกิเลนมังกร เสียงของประตูเปิดแง้มก็ดังมาจากข้างล่าง ศิษย์หญิงตำหนักสวรรค์แท้เผยสีหน้าหวาดผวาและร้องเสียงกระซิบ “อย่าเปิดประตู…”
แกร๊ก
ประตูค่อยๆ เปิดอ้ามากขึ้นอีกเล็กน้อย และหญิงผู้นั้นหวีดร้อง
“อย่าเปิดประ–”
ปราณชีวิตของนางมิอาจพยุงร่างกายนางได้อีกต่อไป และรอยเส้นของโลหิตก็ปรากฏที่คอและเอวของนาง ก้อนเนื้อสองก้อนร่วงลงจากเอวนางและกลิ้งหลุนๆ ไปบนถนน หลังจากนั้นขาของนางก็ร่วงลงมาจากหลังคา
“จ้าวลัทธิมีเมตตาจริงๆ” ข้างนอกเมืองเล็กแห่งนี้ กิเลนมังกรอดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความชื่นชม “หญิงผู้นั้นอำมหิตขนาดนี้ แต่จ้าวลัทธิก็ยัง–”
เขาพูดยังไม่ทันขาดตำ ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของหญิงนั้นจากข้างหลัง เขาจึงหันกลับไปดู และทันเห็นภาพของร่างท่อนล่างของนางร่วงลงมา อันทำให้เขาตัวสั่นเทิ้มอย่างระงับไม่อยู่
ฉินมู่ถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน “ข้ามิได้มีเมตตา การที่ผู้ฝึกวิชาเทวะลงมือกับคนธรรมดานั้นก็นับว่าเป็นข้อห้ามอยู่แล้ว พวกเราล้วนแต่เป็นมนุษย์ เช่นนั้นจะคร่าชีวิตของผู้อื่นตามอำเภอใจเพียงเพราะว่าพวกเราแข็งแรงกว่าได้อย่างไร เมื่อข้าอยู่ในจักรวรรดิสันตินิรันดร์และในแดนโบราณวินาศ การต่อสู้ของผู้ฝึกวิชาเทวะน้อยครั้งนักที่จะพัวพันคนบริสุทธิ์ แม้ว่าเมื่อข้าต่อสู้กับผานกงสั่ว พวกเราก็ต่อสู้กันนอกเมือง เมื่อท่านยายซีต่อสู้กับเจ้าเมืองเขตมังกร นางก็ได้กระทำบนท้องฟ้าเหนือเมืองนั้นแทนที่จะบุ่มบ่ามต่อยตีกันท่ามกลางผู้คนธรรมดาบนท้องถนน”
กิเลนมังกรหุบปาก และไม่กล้าต่อบทสนทนา
ตอนแรกเขากะจะเอ่ยชมฉินมู่ถึงความมีเมตตาที่ไม่คร่าชีวิตของศิษย์หญิงตำหนักสวรรค์แท้ แต่เขาไม่คาดคิดเลยว่าท้ายที่สุดนางก็จะถูกฉินมู่สังหารอยู่ดี ความมีเมตตาที่ฉินมู่เอ่ยถึงนั้น มุ่งเน้นเพียงแค่กับคนธรรมดาสามัญ
ตั้งแต่เขายังเล็กๆ เขาได้รับการอบรมสั่งสอนโดยผู้เฒ่าทั้งเก้าแห่งหมู่บ้านพิการชรา เรียนรู้ทั้งจากคำพูดและการกระทำของพวกเขา แม้ว่าเขาจะแบกยี่ห้อจ้าวลัทธิมารฟ้า แต่เขาก็ยังคงแยกแยะถูกผิดอย่างชัดเจน
จากประเด็นนี้เพียงอย่างเดียว เขาก็ได้เหนือล้ำกว่าผู้คนเที่ยงธรรมทั้งหลายในสำนักมีชื่อเสียงแล้ว
“ฉีเอ๋อน่าจะรู้ทิศทางไปตำหนักสวรรค์แท้ ใช่ไหม” ฉินมู่ถาม
เสียงฉีเอ๋อส่ายหัว “แม่ของข้าพาข้าออกมาเพื่อหลบหนีการไล่ล่า ดังนั้นพวกเราจึงเดินทางผ่านที่รกร้างมากมาย และข้าก็จดจำเส้นทางกลับไปไม่ได้”
ฉินมู่พึมพำไม่ได้ศัพท์กับตนเองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะกล่าว “มังกรอ้วน พวกเราไปตามถนนหลวงเถอะ พวกเราสามารถถามทางได้เมื่อไปถึงเมืองใหญ่สักแห่ง ผู้คนที่นั่นน่าจะรู้เส้นทางไปตำหนักสวรรค์แท้”
กิเลนมังกรเดินทางไปตามทางหลวง และเดินไปได้สักหลายสิบลี้ ไม่นานนัก ก็ค่อยๆ มีผู้คนสัญจรบนพื้นดินมากขึ้นทุกที ถนนนั้นกว้างขวางและราบเรียบเป็นอย่างยิ่ง ดีกว่าในสันตินิรันดร์มากนัก
แม่น้ำข้างๆ ถนนนั้นก็ใสกระจ่างขนาดที่ว่ามองไปเห็นถึงก้นบึ้ง มีทั้งปลา เต่า และงู พวกมันล้วนแต่ไม่ใช่เล็กๆ และยังมีผู้ฝึกวิชาเทวะและผู้ฝึกยุทธที่รีบเร่งเดินทางไปตามชลมารค ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นสตรี แต่ก็มีบุรุษอยู่ด้วยไม่ใช่น้อย
วิชาที่พวกเขาส่วนใหญ่ฝึกปรือนั้นก็ดูเหมือนว่าจะดำเนินตามมรรคาเต๋าของทุกสิ่งมีดวงจิตและทุกสิ่งมีดวงวิญญาณ หญิงและชายบางพวกก็จะหยุดอยู่บนผิวแม่น้ำ และเพรียกขานมัน คลื่นก็จะพลันโถมขึ้นมาสูงลิ่ว แบกพวกเขาพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็ว
และยังมีคนผ่านทางบนถนน พวกเขาส่วนมากเร่งรีบเดินทางไปบนมนุษย์ต้นไม้ มนุษย์เถาวัลย์ก็มี แต่ความเร็วของพวกมันช้ากว่าหน่อย
ยังมีผู้ฝึกวิชาเทวะที่ขี่สัตว์เถื่อนบินได้ทุกชนิดบนอากาศ ปีกหลากสีของพวกมันสะท้อนแสงพร่าพราย ดูสะดุดตาอย่างเหลือแสน
“ดูเหมือนว่าพวกเราจะเข้าใกล้เมืองแล้ว” ฉินมู่ระบายลมหายใจออกมาหลังจากมองเห็นผู้คนผ่านไปมาที่เพิ่มมากขึ้น
ทันใดนั้น เสียงครืนครันก็ดังมา และฉินมู่พลันเห็นภาพประหลาด ดรุณีจำนวนมากพุ่งออกมาจากช่องเขาและพลิกภูเขาเล็กๆ มากมายด้วยความรีบร้อนมายังถนนหลัก
สิ่งที่แบกดรุณีเหล่านั้นมาคือหีบใบใหญ่อันกว้างกว่าสิบคืบ มันก้าวอาดๆ และวิ่งได้รวดเร็ว
มีเด็กสาวอีกจำนวนหนึ่งพุ่งออกมาจากหมู่บ้านใกล้ๆ แต่ที่พวกนางขี่อยู่นั้นคือเรือไม้ มันก็มีขางอกออกมาและกำลังวิ่งอยู่บนพื้นดิน
ฉินมู่อึ้งกิมกี่ ราวกับว่าหีบและเรือได้สำเร็จเป็นปีศาจ สามารถวิ่งตะบึงได้เหมือนกิเลนมังกร นี่มันพิลึกเสียจริง
ในโลกไร้ขอบเขตใบนี้มีทุกสิ่งทุกอย่างที่แปลกพิสดาร และเวทมนตร์กับทักษะเทวะของสถานที่อื่นก็สามารถนำไปให้สันตินิรันดร์ใช้สอยได้ หากว่าเวทมนตร์แบบนี้ถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวางในจักรวรรดิสันตินิรันดร์ มันคงอัศจรรย์มิใช่หรือ
ฉินมู่กะพริบตาปริบๆ และคิดในใจ แต่ทว่า มันคงจะสร้างความโกลาหลอยู่บ้าง ใช่ไหมล่ะ ข้าเชื่อว่า พวกที่มีพลังวัตรเข้มๆ ก็อาจจะขี่ภูเขาวิ่งไปมาเพื่อโอ้อวดก็เป็นได้
พวกสาวๆ สนอกสนใจกิเลนมังกรที่เขาขี่อยู่เป็นอย่างยิ่ง และหีบยักษ์อันมีขามากกว่าสิบสองก็วิ่งเข้ามาใกล้ มันใหญ่โตมากและกว้างยาวหลายวา ทั้งยังมีพรมผ้าไหมที่ปูลาดประดุจเมฆบนยอดหีบ เด็กสาวเจ็ดคนนั่งอยู่บนนั้นพลางเพ่งพิศมองดูกิเลนมังกรและฉินมู่
ดรุณีซึ่งนั่งข้างหน้าสุดน่าจะเป็นผู้นำของพวกนาง และก็เป็นนางที่ใช้พลังวัตรในการควบคุมหีบ ทำให้มันแบกพวกนางไปข้างหน้า
นางดูน่ารักเป็นอย่างยิ่งด้วยยิ้มละไมและดวงตากลมโตใต้พู่อันถักทอขึ้นมาด้วยจี้เงินรูปจันทร์ เสียงของนางมีสำเนียงพิเศษเฉพาะของแผ่นดินตะวันตก แต่ก่อนที่นางจะพูด นางก็หัวเราะคิกคักเสียก่อน “บับบาน้อย หมูของเจ้าวิ่งไวเหลือเกิน เจ้าไปได้มาจากที่ไหน”
ฉินมู่งงงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตระหนักว่า บับบาน้อยนั่นน่าจะแปลว่าน้องชาย เขาแย้มยิ้มและกล่าว “นี่คือกิเลนมังกร เป็นลูกผสมระหว่างมังกรและกิเลน”
เสียงฉีเอ๋อโผล่ขึ้นจากขนของกิเลนมังกร และเผยใบหน้าเล็กจุ๋มจิ๋มของนางที่มองไปรอบๆ ด้วยความสนใจใคร่รู้ พวกสาวๆ ประหลาดใจและพบว่าเด็กหญิงผู้นี้หน้าตาน่ารักน่าชังเหลือเกิน อยากจะเข้ามากอดรัดฟัดเหวี่ยงนาง ฉินมู่จนปัญญาและได้แต่ให้กิเลนมังกรขยับไปใกล้ๆ พวกเขา เขาพาเสียงฉีเอ๋อขึ้นไป และส่งนางไปข้างบนหีบ
เขาเริ่มสนทนากับเหล่าดรุณีและพบว่าสาเหตุที่พวกนางประหลาดใจนั่นก็เพราะเขาพาเสียงฉีเอ๋อมาด้วย ธรรมเนียมสังคมของแผ่นดินตะวันตกนั้นแตกต่างจากที่เขาคุ้นเคยมา หลังจากที่หญิงและชายผ่านการวิวาห์เยือนแล้ว หากว่ามีเด็กเกิดขึ้นมา ถ้าเป็นทารกชายก็จะถูกส่งไปบ้านผู้ชาย ส่วนทารกหญิงนั้นฝ่ายหญิงจะเป็นคนเก็บเอาไว้
ธรรมเนียมสังคมนี้ทำให้เกิดสถานการณ์ประหลาดในแผ่นดินตะวันตก ครอบครัวนั้นหากมิใช่หญิงล้วนก็จะเป็นชายล้วน และมีหมู่บ้านมากมายที่มีแต่ผู้ชาย ไม่ก็มีแต่ผู้หญิง
เมื่อพวกสาวๆ เห็นฉินมู่พาเสียงฉีเอ๋อมาด้วย พวกนางก็คิดว่านั่นคือบุตรีของเขา แต่ทว่าเมื่อมองดูฉินมู่ก็ไม่ได้อายุมากอะไร และดูเหมือนเด็กหนุ่มแรกรุ่นที่สว่างสดใสราวดวงตะวัน พวกนางก็เปลี่ยนความคิด เขาดูเยาว์เกินกว่าที่จะมีลูก ดังนั้นพวกนางจึงอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง
“น้องสาวทั้งหลาย ข้าถามพวกเจ้าหน่อยได้ไหม” ฉินมู่งุนงงกับธรรมเนียมสังคมที่นี่และลองถามหยั่ง “ข้าได้พบกับเด็กสาวนางหนึ่ง และนางเชิญข้าให้ไปเยี่ยมเยือนบ้านของนาง แต่นางบอกข้าว่ามิให้เดินเข้าไปทางประตูใหญ่ แต่ให้ปีนเข้าไปทางหน้าต่างห้องนางแทน นี่มันเป็นมารยาทแบบไหนหรือ”
ดรุณีทั้งหมดหัวเราะคิกคัก และดวงตาของเด็กสาวที่เป็นหัวหน้าก็โค้งประจดุจพระจันทร์เสี้ยว “บางทีบับบาน้อยอาจจะไม่ได้ทึ่ม เมื่อเด็กสาวคนนั้นขอให้เจ้าปีนเข้าไปทางหน้าต่าง นี่หมายความนางอยากจะนัวเนียกับเจ้า เหมือนกับวิธีที่นกเป็ดน้ำเอาคอมาพันกัน ถูไถกันไปมา”
ฉินมู่เกาหัวแกรกๆ ด้วยความงุนงง “อะไรคือนกเป็ดน้ำพันกัน”
เด็กสาวที่เป็นหัวหน้ากระโดดมาบนหลังกิเลนมังกรและแย้มยิ้ม “อย่าขยับ” หลังจากที่นางกล่าวเช่นนั้น นางก็อิงเข้าไปแนบอกของเขาและหยิบมือของเขาขึ้นมาทาบที่หน้าอกของนาง นางเคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ และยื่นคอระหงของนางเข้าไปในอ้อมกอดของเขา นางถูไถใบหน้าของนางเข้ากับใบหน้าของเขา และใบหูนางก็แตะเข้ากับของเขา ให้ความรู้สึกนุ่มนิ่มและสัมผัสอันสนิทชิดเชื้อที่ยากจะบรรยาย ทั้งอ่อนโยนและมีเสน่ห์
ฉินมู่หน้าแดงเถือกเมื่อเขาถูกทิ้งไว้ให้ยืนเซ่อ จมูกเขาได้แต่กลิ่นกรุ่นของเด็กสาว
นางหัวเราะและกลับไปที่หีบของนาง เด็กสาวคนอื่นๆ มองไปที่ท่าทีอันหลงงมงายของเขา และทุกคนก็หัวเราะด้วยเสียงอันดังอย่างเบิกบาน
“พี่สาวใหญ่ หัวใจท่านหวั่นไหวหรือ ทำไมท่านไม่พาเขาไปวิวาห์เยือนเลยล่ะ” หนึ่งในพวกสาวๆ เย้าแหย่
นางเหลือบแลมองฉินมู่ และหัวใจนางก็หวั่นไหวบ้างเหมือนกัน นางกล่าวด้วยความลังเล “เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขาจะยินดีไหม…”
เด็กสาวคนอื่นๆ ผลักไสนางไปมา และนางก็นำถุงหอมออกมา โยนให้กับฉินมู่ด้วยเสียงหัวเราะระรื่น “บับบาน้อย เจ้าสามารถปีนข้ามหน้าต่างมาหาข้าได้ในคืนนี้ ข้าจะสอนเจ้าถึงวิธีที่นกเป็ดน้ำมันเล่นกัน”
สตรีในแผ่นดินตะวันตกใจกล้าและร้อนแรงยิ่งกว่าพวกสาวๆ ในเมืองหลวงสันตินิรันดร์ ฉินมู่รู้สึกว่าเขาไม่สามารถย่อยสิ่งที่เกิดขึ้นให้เข้าใจได้ และรีบเปลี่ยนเรื่องทันที “พวกเจ้ารู้วิธีเดินทางไปตำหนักสวรรค์แท้ไหม”